บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1281: ใครพูดกับเจ้าเรื่องความเสมอภาค
ตอนที่ 1281: ใครพูดกับเจ้าเรื่องความเสมอภาค
ในวิหารเซียนนั้นว่างเปล่าเย็นเฉียบ
ไม่มีสิ่งใดนอกจากตะเกียงสำริดแขวนบนผนัง
เมื่อร่างของซูอี้เข้ามาถึง ประตูวิหารเซียนก็ปิดลง
หัวใจของซูอี้ชะงักค้าง
เขากวาดตามองไปรอบ ๆ แล้วจึงมองไปยังสุดโถง
บนพื้น ณ ที่แห่งนั้นมีชายผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่
ชายผู้นั้นสวมอาภรณ์สีเทา ใบหน้าหยาบกร้านเฉียบขาด แม้จะนั่งอยู่ แต่ร่างสูงใหญ่ของเขาก็มิต่างจากภูเขาลูกย่อมตระหง่านค้ำ
เว่ยซาน!
ดวงตาของซูอี้หรี่ลงน้อย ๆ หัวใจดุจธารน้ำกระเพื่อม
เขาคิดความเป็นไปได้มามากมาย แต่ไม่คาดว่าจะได้พบเว่ยซานทันทีที่เข้ามายังวิหารเซียนลึกลับนี้
ทว่าไม่นานนัก ซูอี้ก็พบบางอย่างผิดปกติ
แม้เว่ยซานจะนั่งขัดสมาธิอยู่ แต่เขาก็เหมือนสิ้นสติ ร่างนิ่งสงัดมิไหวติงเยี่ยงรูปปั้นดิน
“เสิ่นมู่ ในที่สุดเจ้าก็มา”
เสียงเย็นชาแผ่วเบาเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น
พิรุณแสงก่อตัวบนเวหา สร้างเป็นร่างหนึ่ง
สตรีผู้นั้นสวมชุดกระโปรงยาวสีฟ้าอ่อนเรียบ ๆ เส้นผมยาวรวบสูง สวมมงกุฎหยกสีทอง เอวคาดเข็มขัดหยก
มือหนึ่งของนางถือไม้เท้าสีดำ คิ้วได้รูป งดงามดุจหญิงสาว และยังเหมือนชิงหว่านทุกกระเบียดนิ้ว!
“เทียนฉี?”
ซูอี้เลิกคิ้ว แปลกใจกะทันหัน
ไกลออกไป กาน้ำสำริดซึ่งห้อยอยู่ข้างเอวบางของเทียนฉีพลันส่งเสียงอย่างร้อนรน
จิ่วเย่า!
จิตวิญญาณผู้ติดตามข้างกายเทียนฉีมายังภูมิดาราฟ้าดิน และพบซูอี้ที่หน้าถ้ำเสวียนจวิน
เมื่อจิ่วเย่าส่งเสียง ซูอี้พลันตระหนักว่าเรื่องราวมิชอบมาพากล
โอกาสแห่งเซียนที่ว่าซึ่งจู่ ๆ ก็โผล่มาหนนี้ น่าจะเป็นกับดักที่เตรียมไว้สำหรับเขา!
เมื่อความคิดคล้อยเคลื่อน ซูอี้ก็ตระหนักหนึ่งอย่าง
สตรีตรงหน้าซึ่งชิงร่างเทียนฉีอยู่เรียกเขาว่าเสิ่นมู่!
“เจ้ายังมิฟื้นความทรงจำในอดีตชาติหรือ?”
เทียนฉีถามเบา ๆ
นางกล่าวพลางวาดนิ้วไปบนกาน้ำสำริดข้างเอว และทันใดนั้น จิ่วเย่าซึ่งอยู่ในนั้นก็ถูกผนึกมิอาจกล่าววาจาได้อีก
ซูอี้ถูหว่างคิ้ว กล่าวขึ้นว่า “ก่อนคุยกัน บอกข้าก่อนได้หรือไม่ว่าเกิดอันใดขึ้น?”
เทียนฉีส่ายหน้าน้อย ๆ น้ำเสียงของนางนิ่งเงียบเย็นชา “ทั้งหมดนี้ไม่สำคัญ ข้ารอเจ้าที่นี่เพื่อคิดสะสางผลกรรมเท่านั้น”
ซูอี้แค่นเสียงหึ “มันเกี่ยวกับเสิ่นมู่หรือไม่?”
“ใช่”
เทียนฉีพยักหน้า จับจ้องซูอี้ด้วยนัยน์ตาเย็นชาเยี่ยงหิมะ และกล่าวว่า “เสิ่นมู่ต้องตายโดยสมบูรณ์ แม้จะเป็นร่างเวียนวัฏ…ก็ปล่อยไว้ไม่ได้”
การวางตนของนางแสนเย่อหยิ่งทว่าตรึงตา ดุจนางสวรรค์เหนือเก้าชั้นสรวง แตกต่างจากผู้คนทั้งมวล
และความหมายของวาจานั้นก็ช่างยะเยือก
เทียนฉีชี้เว่ยซานซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ไกล ๆ “อย่าห่วงไป หากเจ้าตาย เขาจะได้รอดชีวิตกลับไป ข้าไม่มีวันนำผู้บริสุทธิ์เข้ามาพัวพันยามกระทำการ”
กล่าวถึงตรงนี้ รอยยิ้มอันมิอาจอธิบายก็ปรากฏบนริมฝีปาก วาจาของนางแผ่วเบา “ท้ายที่สุด นี่ก็คือความแค้นระหว่างเราสอง”
ซูอี้นำไหสุราขึ้นยกจิบ “หากเข้าใจไม่ผิด เจ้าก็คือสตรีผู้ทำให้สติรู้คิดของเสิ่นมู่พังทลายถึงตายหรือไม่?”
สีหน้าของเทียนฉีมืดหมอง กล่าวอย่างใจเย็น “นั่นเป็นเรื่องเนิ่นนานมาแล้ว ในเมื่อเจ้าไม่ได้ฟื้นความทรงจำของเสิ่นมู่ เจ้าก็มิต้องใส่ใจเรื่องนี้หรอก”
“ในเมื่อข้าในยามนี้หาใส่เสิ่นมู่ไม่ ไฉนเจ้าจึงยังหมายหัวข้า?”
ซูอี้ไม่เข้าใจเหตุผลเรื่องนี้เลยจริง ๆ
เทียนฉีกล่าวอย่างจริงจัง “เจ้าในยามนี้ไม่ใช่เขา แต่ภายหน้าเจ้าจะกลายเป็นเขาอีกคนแน่ ขอเพียงยังมีเขาอยู่ นั่นจะเป็นเรื่องที่ข้าทนรับมิได้”
ขณะที่ซูอี้กำลังจะถามอีกครั้ง
เทียนฉีก็ส่ายหน้าน้อย ๆ “เจ้าจะตายวันนี้ ถามไปอีกก็เท่านั้น”
น้ำเสียงเย็นชายังมิทันสร่าง นางก็โบกไม้เท้าสีดำในมือแล้ว
ตู้ม!
แสงเซียนนับไม่ถ้วนพลันปรากฏ แปรเปลี่ยนเป็นตรวนทิพย์คลุมซูอี้ไว้
ปราณอันน่าสะพรึงกลัวทำให้ผิวกายของซูอี้เจ็บแปลบ สัมผัสวิกฤติได้อย่างหนักหนา
เขาฟาดดาบอย่างดุเดือดโดยไร้ลังเล
วิถีเต๋าทั่วร่างถูกโคจรในดาบนี้อย่างรุนแรงยิ่งกว่าหนใด เคล็ดพลังกฎเร้นลับต้องห้ามคล้อยเคลื่อนเหนือคมดาบ
เปรี้ยง!
อึดใจต่อมา ปราณดาบก็แหลกสลาย
ร่างของซูอี้ถูกกระแทกกระเด็นไปชนกับผนังด้านหนึ่ง ทำให้วิหารเซียนไหวเอนเลื่อนลั่น
เขาอดขมวดคิ้วไม่ได้
แม้จะไม่บาดเจ็บ อำนาจการโจมตีนี้ทำให้เขาตระหนักว่าความแข็งแกร่งสตรีผู้ยึดครองร่างของเทียนฉีตรงหน้าเขาเหนือล้ำกว่าขอบเขตราชันแห่งภูมิไปเนิ่นนาน!
กล่าวคือ สตรีผู้นี้น่าจะเป็นตัวตนร้ายกาจผู้ก้าวย่างสู่วิถีจุติสรวง!
“ไร้ประโยชน์ อำนาจในขอบเขตราชันแห่งภูมินั้นไม่ต่างจากตั๊กแตนขวางเกวียนตรงหน้าข้าเลย”
ไกลออกไป อาภรณ์ของเทียนฉีสะบัดพลิ้ว ใบหน้างดงามดุจภาพวาดของนางช่างงดงาม ในขณะที่กล่าววาจาเรียบเฉยราวเรื่องธรรมดา
“หากเจ้าเป็นผู้ฝึกตนในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยง เกรงว่าคงไม่กล้ากล่าววาจาไร้ยางอายเช่นนี้”
ซูอี้ปัดฝุ่นบนอาภรณ์ สีหน้าเรียบเฉยเช่นกาลก่อน
“อ่อนโลกเสียจริง ในการต่อสู้ชี้เป็นตาย ผู้แข็งแกร่งคือผู้ทรงเกียรติ ใครพูดกับเจ้าเรื่องความเสมอภาค?”
น้ำเสียงของเทียนฉีเฉยเมย “ไม่ต้องขุ่นเคืองไปหรอก หากเสิ่นมู่ตายไปโดยสมบูรณ์ เจ้าคงไม่ได้เกิดมาเช่นทุกวันนี้อยู่แล้ว”
นางโบกไม้เท้าสีดำในมืออีกเล็กน้อย
ตู้ม!
แสงเซียนกวาดผ่านนภา ทะลักโจมตีซูอี้เยี่ยงน้ำตก
ซูอี้ใช้กฎแสงพริบตาพยายามหลบเลี่ยง
ทว่า อึดใจต่อมา หัวใจของเขาก็ดิ่งวูบ เพราะกฎแสงพริบตาของเขาถูกสยบลง!
ซูอี้ฟาดดาบสุดแรงโดยมิมัวครุ่นคิด
เบื้องหลังเขา เงานิมิตหกวิถีเวียนวัฏละล่องเคลื่อน คมดาบดูราวถูกห่อด้วยม่านนภารัตติกาล ทะยานผ่านเวหา
เกิดเป็นเสียงกระทบสนั่นโลกา
เงานิมิตหกวิถีเวียนแหลกสลาย ร่างของซูอี้ถูกซัดกระเด็นอีกหน เลือดลมในกายปั่นป่วน
“นี่คือเคล็ดเวียนวัฏสงสารหรือ? ร้ายกาจจริงแท้ ขวางการโจมตีของข้าทั้ง ๆ ที่ยังอยู่ในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงได้”
เทียนฉีกล่าวอย่างครุ่นคิด เห็นได้ชัดว่าเขาประหลาดใจเล็กน้อย
ทว่า การเคลื่อนไหวมือของนางหาได้ย่อหย่อนไม่
ตู้ม!
แสงเซียนดุจตรวนทิพย์นับไม่ถ้วนทะยานลงจากสุญญะ พุ่งเข้าหาซูอี้พร้อมเพรียง
สตรีผู้นี้ดูเหมือนสงบเสงี่ยม ทว่านางกลับก้าวร้าวเย่อหยิ่ง เมื่อเริ่มลงมือก็ไร้พิธีรีตอง ถือซูอี้เป็นลูกแกะรอเชือดไปทันที
นอกจากนั้น พลังที่นางควบคุมยังน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง หมอกเซียนโปรยปราย เพลิงแสงกระหวัดเกี่ยว ทรงพลังยิ่งนัก
กล่าวให้กระชับก็คือ นี่คือศัตรูผู้แข็งแกร่งที่สุดตราบเท่าที่ซูอี้พบพานนับแต่หวนสู่ส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว
สตรีผู้นี้ซึ่งคาดว่าก้าวสู่วิถีจุติสรวงแล้ว!
แม้ว่าเดิมนักซ่อนกลก็เข้าสู่วิถีจุติสรวงแล้วเช่นกัน แต่กฎมหาวิถีที่นักซ่อนกลบรรลุนั้นแพ้ทางเคล็ดเวียนวัฏสงสารโดยธรรมชาติ
ทว่าสตรีผู้นี้แตกต่างออกไป แสงเซียนระเบิดออกทุกการเคลื่อนมือ อำนาจช่างร้ายกาจน่าหวาดหวั่น
ซูอี้หาสะท้านสะเทือนไม่
เขาก็ตั้งใจลองเชิงศัตรูในขอบเขตจุติสรวงด้วยขอบเขตราชันแห่งภูมิอยู่เช่นกัน ศัตรูเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง ไฉนเล่าจึงถอย?
ตู้ม!
ดาบมารดาฟ้าดินจรัสแสงสาดส่อง ซูอี้ใช้เคล็ดพลังเวิ้งลึกล้ำโดยหารีรอไม่ ภาวะดาบระเบิดประหนึ่งกำเนิดจักรวาลท้องนภาแรกอรุณ ตัวดาบประหนึ่งโลกันตร์คราม ยามปราณดาบพุ่งผ่าน แสงเซียนก็มลายสูญ
แม้ซูอี้จะบาดเจ็บจากผลกระทบ แต่เขาก็ยังดูสุขุม
“นี่มันเคล็ดพลังมหาวิถีอันใดกัน?”
เทียนฉีประหลาดใจ นัยน์ตาเฉยชาสั่นไหว
นางตระหนักชัดเจนว่าเคล็ดมหาวิถีที่ซูอี้ใช้ยามนี้ดูจะแข็งแกร่งกว่าเคล็ดเวียนวัฏสงสารเสียอีก!
ซูอี้เมินนาง ฟาดดาบโจมตี
ริมฝีปากเทียนฉียกยิ้มเย็นชา มิพูดพร่ำทำเพลงและลงมือสุดตัว
ตู้ม!
มหาสงครามบังเกิด ทั่ววิหารเซียนสั่นสะเทือนโคลงเคลง
ซูอี้เร่งวิถีดาบของเขาสุดกำลัง ดุร้ายสูงส่งเยี่ยงมังกร
เทียนฉีโบกไม้เท้าสีดำในมือ ลากแสงเซียนโจมตี บางคราเหมือนน้ำตก บางหนเหมือนธารล้นเขื่อน บ้างแปรเปลี่ยนเป็นตรวนทิพย์ระเริงเวหา บ้างรวมตัวเป็นขุนเขาถล่มลงทับ…
เมื่อกาลผ่าน ร่างของซูอี้ก็เริ่มบาดเจ็บ มุมปากของเขามีหยาดโลหิตย้อยหยด
แม้จะลงมือสุดกำลัง แต่ความต่างของขอบเขตสูงล้ำเกินไป เขาจึงเริ่มรับมิไหว
ทว่า ซูอี้หาถอยหนีไม่
นัยน์ตาลึกล้ำของเขาดุจเพลิงโหม จิตต่อสู้ปะทุเต็มกำลัง เมินเฉยต่อบาดแผลอันเพิ่มขึ้นทุกขณะบนร่าง ขณะที่การโจมตีของเขาเฉียบคมมากขึ้นทุกเมื่อ
กล้าหาญอิสระไร้จำกัด ใช้ชีวิตผ่าเผยสูงสุด
คิ้วของเทียนฉีขมวดเล็กน้อย
นางอดตะลึงมิได้ ไม่คาดเลยว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้แม้มีการฝึกฝนเพียงขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงเท่านั้น ช่างมิน่าเชื่ออย่างจริงแท้
“ในหอกาสวรรค์นี้ ต่อให้เจ้าจะมีวิชาเลิศล้ำค้ำฟ้า แต่ก็ไร้โอกาสพลิกสถานการณ์อยู่ดี”
น้ำเสียงของเทียนฉีเย็นชา “ถึงกาลต้องจบแล้ว”
สีหน้าของนางปรากฏเค้าความมุ่งมั่น ยกไม้เท้าสีดำในมือของนางขึ้น
“ย๊าก!”
ตู้ม!
วิหารเซียนประโคมคำราม ผนังสี่ทิศปรากฏอักขระค่ายกลหนาแน่นนับไม่ถ้วน แสงเซียนอันทรงพลังระเบิดออกมาเยี่ยงสายน้ำ
และแสงเซียนเหล่านี้ก็ถูกเทียนฉีควบคุมให้พุ่งเข้าใส่ซูอี้
เป็นกาลโจมตีอันน่ากลัวยิ่งนัก
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าราชันแห่งภูมิคนใดก็มิอาจต่อกรมันได้ และจะถูกสังหารลงง่าย ๆ คาที่
ยามนี้ ซูอี้เรียกใช้ตราประทับวิถีบรรพตทักษิณโดยไม่ลังเล
ตู้ม!
ตราประทับวิถีทะยานสู่เวหา แสงเซียนแผดกล้าดุจขุนเขาเซียนโบราณกระแทกลง ขวางแสงเซียนจากทั่วทิศลงกะทันหัน
“สมบัติวิญญาณขอบเขตจุติสรวง? ไม่คาดเลยว่าเจ้าจะมีสมบัติเช่นนี้อยู่ด้วย แต่น่าเสียดาย สำหรับข้า มันมิมีค่าพอ”
เทียนฉีกล่าวพลางฟาดไม้เท้าสีดำในมือใส่อากาศ
ตราประทับวิถีบรรพตทักษิณถูกตีโต้อย่างรุนแรง
สมบัติชิ้นนี้เดิมเสียหายอยู่แล้ว และยามนี้เมื่อถูกแสงเซียนกระหน่ำสาดใส่ มันพลันสั่นไหว เผยสัญญาณมิอาจทานทนได้ต่อ
แต่ถึงอย่างนั้น อำนาจของสมบัตินี้ก็ทำให้ซูอี้รู้สึกทึ่งได้แล้ว
เพราะถึงอย่างไร สมบัติแตกร้าวของวิถีจุติสรวงนั้นช่างหายากจริง ๆ ที่ทนมายังยามนี้ได้
ซูอี้มิฝืนอีก
เขาเก็บตราประทับวิถีบรรพตทักษิณไป และใช้พลังดาบเก้าคุมขังทันที
ตู้ม!
ดาบมารดาฟ้าดินระเบิดแสงศักดิ์สิทธิ์มหาศาล วจีขับขานดุดัน อำนาจดาบชวนขนลุกแผ่ออก
ดาบยังไม่ทันตวัด แต่เพียงอำนาจจากดาบก็สลายแสงเซียนทั่วทิศลงได้!
“นี่…”
ใบหน้างดงามเย็นชาของเทียนฉีแปรสีหน้าในที่สุด นางดูตะลึงงันอย่างหาได้ยาก
ผิวกายของนางสั่นระรัว สัมผัสถึงภัยคุกคามถึงตายหนักหนากว่าคราใด เรียกใช้ไม้เท้าสีดำในมือของนางอย่างเต็มขีดจำกัดโดยมิลังเล
ตู้ม!
วิหารเซียนสะเทือนสั่น ลวดลายวิถีบนผนังทั้งสี่เรืองจ้า แสงเซียนพลุ่งพล่านพรั่งพรูเยี่ยงคลื่นน้ำถาโถม
ยามนี้เองที่ซูอี้ฟาดดาบออกไป