บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1282: ต่ำตมโดยแท้
ตอนที่ 1282: ต่ำตมโดยแท้
หนึ่งดาบฟาดฟันลงมาอย่างเรียบง่าย
ทว่าอำนาจดาบสูงสุดระเบิดออกมา ทำให้วิหารเซียนทั้งหลังพลันตกอยู่ในบรรยากาศกดดัน
และภายใต้ดาบนี้ แสงเซียนจากทั่วสารทิศก็ถาโถมเข้ามา ก่อนจะแหลกสลาย
พวกมันเปราะบางเยี่ยงฟองคลื่น
ไม้เท้าสีดำในมือเทียนฉีแหลกสลายดังเปรี๊ยะ ร่างอ้อนแอ้นกระเด็นไปชนผนังดังโครม
ผิวกายกระจ่างใสโชกเลือด กระดูกในร่างแหลกละเอียด
ริมฝีปากสีชมพูมีหยดโลหิตย้อยลงมา
เปรี้ยง!
ท้ายที่สุด ทั้งโถงก็สั่นสะเทือน ลวดลายอักขระบนผนังทั้งสี่ด้านพลันแหลกละเอียด
หนึ่งดาบแปรสถานการณ์ตาลปัตร!
ท่ามกลางหมอกควัน เทียนฉีเงยหน้าขึ้นกล่าวอย่างยากลำบาก “นี่ไม่ใช่พลังของเจ้า!”
น้ำเสียงของนางเจือความหวาดกลัวและไม่เต็มใจ
ร่างของซูอี้เต็มไปด้วยบาดแผล ทว่ามันก็เป็นเพียงผิวถลอก หาร้ายแรงไม่
ในทางกลับกัน บาดแผลของเทียนฉีนั้นร้ายแรงจนทำให้นางนอนราบอยู่กับพื้น เส้นผมสยายรุงรัง ร่างชุ่มโชกไปด้วยเลือด
“แล้วที่เจ้าใช้ก่อนหน้านี้ใช่พลังของเจ้าหรือไร?”
น้ำเสียงของซูอี้แฝงความแดกดัน
ในศึกที่ผ่านมา เขาสัมผัสได้แล้วว่าพลังที่สตรีผู้นี้ใช้มาจากค่ายกลซึ่งปกคลุมผนังสี่ด้านของวิหารเซียนแห่งนี้
บางทีนางอาจบรรลุสู่ขอบเขตจุติสรวง มีอำนาจเหนือกว่าราชันแห่งภูมิแล้วจริง ๆ
แต่นางใช้ร่างของเทียนฉีอยู่ หาใช่ร่างจริงนางไม่!
นางคืนสู่กิริยาเย็นชาเย่อหยิ่ง แววตาคู่นั้นดูเฉยชา
ซูอี้ก้าวมาหาพลางกล่าว “ไยจึงเป็นเช่นนั้น?”
ดวงตาของสตรีผู้นั้นจ้องมองซูอี้ผู้เดินเข้ามาใกล้อย่างซับซ้อนกว่าเดิม “ในอดีตชาติของเจ้า เจ้าสาบานต่อข้าด้วยหัวใจวิถีว่าจะปกป้องข้าด้วยชีวิต และเต็มใจตายเพื่อข้า!”
ซูอี้ขมวดคิ้วกล่าว “แสดงว่าเสิ่นมู่ทำลายจิตรู้คิดของตนเพราะคำสาบานนี้หรือ?”
สตรีผู้นั้นส่ายหน้า น้ำเสียงเผยความชังอย่างหาได้ยาก “เขาคือเจ้า หากเจ้ายังอยู่ เขาจะตายจริง ๆ ได้เช่นไร?”
ซูอี้ว่า “เสิ่นมู่คือเสิ่นมู่ ข้าคือข้า คำสาบานที่เขาสร้างไว้ไร้ค่าในสายตาข้า”
สตรีผู้นั้นหัวเราะ “เจ้าดูนี่ ยังจำมันได้หรือไม่?”
ขณะกล่าวเช่นนั้น เงื่อนอายุยืนเส้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของนาง
ของสิ่งนี้ธรรมดายิ่งนัก เป็นเครื่องประดับที่เด็กสวม เป็นพรที่ขอให้พวกเขามีอายุยืนร้อยปี
เมื่อเขาเห็นของชิ้นนี้ ซูอี้หารู้สึกอันใดไม่
ทว่าในห้วงความนึกคิดของเขา หนึ่งตรวนซึ่งพันรอบดาบเก้าคุมขังอยู่สะท้านสั่นรุนแรง
ตรวนนี้ผนึกอำนาจมหาวิถีก่อนตายของเสิ่นมู่ไว้!
ยามนี้ เมื่อตรวนดังกล่าวระรัวไหว จิตวิญญาณของซูอี้ก็ได้รับผลกระทบไปด้วย อารมณ์เศร้าโศกหนักหนาเกิดขึ้นในใจเขาอย่างมิอาจระงับ
อารมณ์นี้เป็นดั่งภูเขาไฟปะทุ กระทบต่อซูอี้ทั้งจิตใจและวิญญาณ
ซูอี้พลันชะงัก คิ้วขมวดเข้าหากัน สีหน้าหวั่นไหวปรากฏขึ้น ทั่วร่างชะงักราวกับตะลึง
“เสิ่นมู่ ข้ารู้ว่าเจ้าจะไม่ลืม”
น้ำเสียงของสตรีผู้นั้นอ่อนหวาน “เงื่อนอายุยืนจากโลหะสามัญชนนี้เป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของเจ้า และกาลก่อนเจ้าก็มอบมันให้ข้า สาบานว่าจะพิทักษ์ข้าชั่วชีวิตมิตีจาก…”
ท้ายที่สุด นางก็รำพึงเบา ๆ “ความใกล้ชิดแน่นแฟ้นนั้นล้ำค่ายิ่งกว่าเงื่อนอายุยืนนี้มาก…”
สีหน้าของซูอี้ยากคาดเดา ดวงตาเหม่อลอย สีหน้าของเขาเศร้าโศกมากขึ้นเรื่อย ๆ
ราวเปลี่ยนเป็นคนละคน ดูเหม่อลอยและหมดอาลัย
เมื่อเห็นเช่นนี้ ดวงตาของสตรีผู้นั้นก็ฉายประกายดูแคลน
นางจับจ้องไปยังซูอี้พลางกล่าวว่า “กาลก่อน ข้าบอกเจ้าไปตรง ๆ แล้วว่าศิษย์สำนักมารหกโลกีย์เช่นข้าต้องทำลายความรัก พิสูจน์วิถีอย่างไร้ปรานี ยิ่งเลือกคู่วิถีแข็งแกร่งเพียงใด ยามตัดพันธะก็ยิ่งสามารถควบคุมอำนาจมหาวิถีได้แข็งแกร่งเท่านั้น”
“ข้ายังบอกเจ้าอีกว่ายามข้าตกหลุมรักเจ้า ข้าทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้เจ้ามา ทว่ายามที่เจ้าหลงรักข้าโงหัวไม่ขึ้น นั่นจะเป็นวันที่ข้าสะบั้นความรัก สังหารเจ้าด้วยมือข้า เพื่อที่ข้าจะฝึกฝนมหาวิถีสูงสุดได้”
“นี่คือมหาวิถีของข้า ดังนั้นในอนาคต ข้าจะไม่ต้องเผชิญกับมารใด ๆ หัวใจไร้สิ่งปลอมปน ลืมเลือนสิ้นทุกสิ่ง ถามหน่อยเถิดว่าจะมีอันตรายใดหยุดข้าบนวิถีนี้ได้อีกหรือไม่?”
“แต่เจ้าก็โง่งมเหลือเกิน หลังจากรู้เรื่องทั้งหมดนี้ เจ้าก็บอกว่าเต็มใจสละตนเพื่อเติมเต็มมหาวิถีของข้า…”
กล่าวเช่นนั้น สตรีผู้นั้นก็ถอนใจเบา ๆ “หากเป็นเช่นนั้นก็ดี ข้าจะสามารถไร้เมตตาโดยสมบูรณ์ได้ หัวใจไร้สิ่งกีดขวาง แต่ใครเล่าจะคิด… ว่าเจ้าจะเวียนวัฏคืนชาติภพใหม่!”
กล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าของสตรีผู้นั้นก็แสดงความขมขื่น “เสิ่นมู่ เจ้ารู้หรือไม่ว่ายามข้ารู้ความจริง สภาพจิตใจของข้าแทบถูกกระทบจนเป็นบ้า?”
ซูอี้ยืนนิ่ง สีหน้าว่างเปล่า แววตาวูบไหวเศร้าโศก
เมื่อเห็นเช่นนี้ สตรีผู้นั้นก็ลุกจากพื้นอย่างยากลำบาก ขณะจ้องมองไปยังซูอี้เขม็งพลางกล่าวเบา ๆ “หากเจ้ายังจำความรักแต่กาลก่อนได้ หากยังจำคำสาบานในความหลังได้ เจ้า… ทำให้ข้าสมบูรณ์ได้หรือไม่?”
ซูอี้ยกมือขึ้นตบ
เพียะ!
สตรีผู้นั้นล้มลงก้นจ้ำเบ้า
ใบหน้างดงามบวมแดง
นางกล่าวอย่างอึ้ง ๆ “เจ้า…”
ซูอี้ลูบแก้มของนาง ความเศร้าโศกในดวงตาจางหาย ทั่วร่างคืนสู่บรรยากาศสงบเงียบ
“เจ้านี่อย่างไรกัน ข้าบอกแล้วนี่ว่าไม่ใช่เสิ่นมู่”
ซูอี้ยิ้มเยาะ “ทว่าสิ่งที่เจ้าพูดเมื่อครู่ทำให้ข้าเข้าใจเสียทีว่าเจ้าคนงมงายเสิ่นมู่ตายเช่นไร ช่าง… น่ารำคาญใจนัก!”
ท้ายที่สุด ซูอี้ก็รู้สึกขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยโทสะ
ความหมกมุ่น?
งั้นก็ต้องไปหาคนที่ถูกต้องก่อน!
เกี่ยวดองกับคนชั่ว นำชีวิตไปเสี่ยง ช่าง… โง่เง่านัก!
ว่าแล้วเชียว คำว่ารักก่อความทุกข์มหันต์!
ต้องทราบว่าด้วยการตัดสินจากประสบการณ์ของทัศนาจารย์ เสิ่นมู่นั้นคืออัจฉริยะอันล้ำเลิศในวิถีดาบที่สุด ไร้ผู้ใดเทียบได้ในโลกหล้า!
จากสิ่งที่เขาได้เห็น ไม่มีผู้ใดเทียบความสามารถและความเข้าใจในวิถีดาบกับเสิ่นมู่ได้!
อายุสิบห้าปี หลังจากตระหนักรู้แจ้งสิบวันสิบคืน เขาก็พิสูจน์วิถีเป็นจักรพรรดิ
ยามอายุสิบเจ็ด หลังผ่านประตูเป็นตายลึกล้ำ เขาก็เลื่อนวิถีสู่ขอบเขตราชันแห่งภูมิ
ยามอายุยี่สิบสาม เขาบรรลุขอบเขตไร้ขีดจำกัด หนึ่งดาบค้ำเหนือวิถีสู่สวรรค์!
อัจฉริยะยากเทียบเช่นนี้กลับต้องจิตรู้คิดสลายตายด้วยสตรีเพียงหนึ่ง
ช่างอัปยศยิ่ง
“เป็นไปไม่ได้ เสิ่นมู่และข้าอยู่ด้วยกันมาหลายต่อหลายปี ต่อให้เขาเวียนวัฏเกิดใหม่ ขอเพียงฟื้นความทรงจำสักนิด เขาก็จะมีแต่เชื่อฟังข้าทุกวาจา ต่อให้ข้าบอกให้เขาตาย เขาก็จะไม่แม้แต่ขมวดคิ้ว!”
สตรีผู้นั้นนั่งนิ่ง มิอาจสงบใจได้แม้แต่น้อย ความเย่อหยิ่งเย็นชาสูญหายไปไม่เหมือนก่อน
ซูอี้กดฝ่ามือลงบนกระหม่อมสตรีผู้นั้น
ฝ่ามือออกแรงผลัก และร่างวิญญาณหนึ่งก็ถูกฉีกออกจากร่างของเทียนฉี
เมื่อมองใกล้ ๆ แม้ว่าร่างวิญญาณนี้จะเลือนราง ทว่ารูปลักษณ์ช่างงดงามตระการ กิริยาดุจนางสวรรค์
ทว่าเมื่อร่างวิญญาณถูกจับอยู่ในมือซูอี้ขณะนี้ ร่างของนางก็ดูหมดสภาพสิ้นดี
“เราคุยกันดี ๆ ได้หรือยัง?”
ซูอี้ว่า
ร่างวิญญาณของสตรีผู้นั้นยิ้มเย้ย “แค่เสี้ยวร่างวิญญาณ เสียไปก็ได้อยู่ ทว่า… เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าชนะแล้ว?”
ร่างวิญญาณของสตรีผู้นั้นยกมือชี้เทียนฉี กล่าวโดยมิรอให้ซูอี้ถาม “นางเป็นศิษย์ข้า ยามนี้เจ้าน่าจะเข้าใจความหมายที่ข้าสื่อแล้วกระมัง?”
สีหน้าของซูอี้แย่ลง
เทียนฉีและชิงหว่านเดิมเป็นคน ๆ เดียวกัน
ทว่ายามนี้ สตรีผู้นี้กลับบอกว่าเทียนฉีคือศิษย์นาง!
นี่ย่อมหมายความว่าชิงหว่านเองก็เป็นศิษย์นางด้วย!
สตรีผู้นั้นกล่าวอย่างราบเรียบ “เหยียนเต้าหลินบอกข้าแล้วว่าเจ้าและชิงหว่านมีสัมพันธ์ลึกล้ำ ทว่าข้าบอกเจ้าได้เลยว่าเมื่อการฝึกฝนของนางคืบหน้า ปานอู่วิญญาณในร่างของนางจะค่อย ๆ ตื่นขึ้น ถึงยามนั้น นางจะจำอดีตทั้งหมดของนางได้”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ นางก็หันมาหัวเราะเยาะซูอี้ “เจ้าเองก็เดาได้ว่าถึงยามนั้น นางก็จะกวัดแกว่งกระบี่สะบั้นรักเพื่อพิสูจน์วิถีเช่นข้าหรือไม่?”
ซูอี้ขมวดคิ้วกล่าว “ยามชิงหว่านปรากฏกายมาหาข้า เจ้าก็เป็นผู้จัดการอยู่เบื้องหลังหรือ?”
สตรีผู้นั้นแย้มยิ้มอย่างสุขใจยิ่ง “มันไม่มีค่าอันใดแล้วไม่ใช่หรือ?”
“หลอกใช้แม้แต่ศิษย์ ไม่รู้สึกไร้ยางอายบ้างหรือ?”
สตรีผู้นี้ดูเย็นชาเย่อหยิ่ง กว่าที่จริงนางก็แค่ไร้สามัญสำนึก!
อย่าว่าแต่เสิ่นมู่ผู้รักนางประหนึ่งชีวิต กระทั่งศิษย์ใกล้ชิดยังถูกนางหลอกใช้ นี่มันสันดานหญิงงามล่มเมือง ไร้ยางอายโดยแท้
รอยยิ้มบนใบหน้าสตรีผู้นั้นจางหาย ก่อนที่นางจะกล่าวขึ้นว่า “สำนักมารหกโลกีย์ของข้าฝึกฝนหัวใจวิถีไร้เมตตา ค้นหาวิถีลืมรัก และชิงหว่านก็เป็นศิษย์ข้า หากนางมีโอกาสฆ่าเจ้าในภายหน้า มิเพียงนางจะสามารถสะบั้นมาร ยังได้ฝึกฝนวิถีเต๋าสูงสุดอีกด้วย กล่าวได้ว่ามีแต่ได้กับได้”
ซูอี้ว่า “เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยเรื่องนี้ให้เกิดหรือไร?”
สตรีผู้นั้นกล่าวอย่างหนักแน่น “เว้นแต่เจ้าจะฆ่าชิงหว่าน หาไม่ ยามปานอู่วิญญาณของนางฟื้นคืน หากได้ความทรงจำเก่ามา นางย่อมลบอุปสรรคอย่างเจ้าไปเหมือนข้า กล่าวง่าย ๆ ก็คือ มีเพียงการฆ่าเจ้าเท่านั้นที่จะทำให้นางได้ท่องวิถีต่อ”
นางเว้นช่วงเล็กน้อย แล้วกล่าวขึ้นอีกว่า “เจ้าล่ะ… เต็มใจฆ่าชิงหว่านหรือไม่?”
เพียะ!
ซูอี้ตบร่างวิญญาณของสตรีผู้นั้นจนวิญญาณแทบแหลกสลาย
นางโกรธอย่างเห็นได้ชัด และกล่าวอย่างมิชอบใจทันที “มีเพียงผู้ไร้น้ำยาเท่านั้นที่โกรธเคืองได้เช่นเจ้ายามนี้”
“ไร้น้ำยา? ผิดแล้ว ข้าแค่ตบเจ้าแทนชิงหว่านเท่านั้น นั่นเพราะเจ้าไร้ค่าสำหรับนาง”
ซูอี้ว่าพลางตบอีกครั้ง ทำให้วิญญาณของสตรีผู้นั้นสะท้านรุนแรง
สตรีผู้นั้นกล่าวด้วยแววตาเย็นชา “ไม่ช้าก็เร็ว ข้าจะทำให้เจ้ากระดิกหางใต้ฝ่าเท้าข้าทุกวันเยี่ยงสุนัข!”
เพียะ!
ซูอี้ตบนางอีกครั้งอย่างไม่ไว้หน้า
“เจ้า…”
สีหน้าของสตรีผู้นั้นดูอับอายอย่างเห็นได้ชัด
ฐานะของนางสูงส่งอย่างยิ่ง เป็นตัวตนสูงส่งเหนือผู้ใดในสำนักมารหกโลกีย์
แม้ยามนี้จะเป็นเพียงเสี้ยววิญญาณ แต่การถูกตบเช่นนี้ก็ยังทำให้นางรู้สึกถูกลบหลู่อย่างรุนแรง
“บอกเจ้าเลยก็ได้ ถึงข้าจะไม่ใช่เสิ่นมู่ แต่ภายหน้าข้าจะช่วยเขาฆ่าเจ้า สะบั้นหญิงชั่วเช่นเจ้าเสีย!”
ซูอี้กล่าวอย่างเรียบเฉย
เสียงของเขายังมิทันสร่าง มือของเขาก็ออกแรง
เปรี้ยง!
วิญญาณสตรีผู้นั้นพลันระเบิดเป็นพิรุณแสง
“ต่ำตมโดยแท้”
ซูอี้ส่ายหน้าชั่วขณะ มิอาจคาดเดาได้จริง ๆ ว่าเสิ่นมู่รักสตรีเช่นนี้จนมิสนชีวิตตนได้เช่นไร
นี่คงเป็นดังคำว่า ผู้ผ่านทางเห็นภาพกว้างกว่าผู้ประสบ
และเสิ่นมู่ในกาลก่อนก็อยู่ประชิดเสียจนหูตาพร่ามัว
คนนอกมองดูเหมือนละคร
ผู้ละเล่นเผยความรู้สึกแท้จริง
ทว่าทั้งในและนอกเวทีต่างตัดสินภาพแตกต่างกัน
………………..