บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1284: เสน่ห์แห่งดาบนั้น
ตอนที่ 1284: เสน่ห์แห่งดาบนั้น
เว่ยซานพยักหน้าพลางพูดเสริม “ข้าเคยสงสัยอยู่ ทว่าท้ายที่สุดข้าก็เชื่อว่าเหยียนเต้าหลินไม่น่าเกี่ยวข้องกับศัตรูเหล่านั้น”
ซูอี้ว่า “ไฉนจึงเชื่อเช่นนั้นเล่า?”
เว่ยซานตอบ “เหยียนเต้าหลินเคยกล่าวอยู่หนหนึ่ง ว่าความแค้นระหว่างเขากับนายน้อยจะไม่พาผู้อื่นไปพัวพัน และเขาก็ดูแคลนว่าจะฆ่าเรา”
ซูอี้ตะลึงไปชั่วขณะ และกล่าวว่า “แม้เจ้าเฒ่านี่จะไร้ความปรานี ทว่าเขาก็จะไม่ทำเรื่องเช่นนั้นจริง ๆ ด้วย”
เขาเข้าใจแล้ว
คนผู้นี้ลึกล้ำยิ่ง แต่ก็กระทำการอย่างมีหลักการมาโดยตลอด
แม้หนนี้จะใช้เว่ยซานเป็นเหยื่อล่อเขามาติดกับที่สันเขาอีกา แต่อีกฝ่ายก็หาเจตนาทำร้ายเว่ยซานแต่ต้นจนจบไม่
หลังจากคุยกันชั่วครู่ ซูอี้ก็พลันถามขึ้น “เหยียนเต้าหลินนำโอกาสในวิหารเซียนนี้ไปนานแล้วหรือ?”
เว่ยซานตอบ “ถูกต้อง”
“กะแล้วเชียว โดนไอ้แก่นี่หลอกอีกแล้ว”
ซูอี้ถูหว่างคิ้ว
เขาแน่ใจว่ายามก้าวออกจากวิหารเซียนนี้ ยอดฝีมือจากสามขุมกำลังใหญ่ซึ่งอยู่ด้านนอกจะเชื่อแน่นอนว่าโอกาสในวิหารเซียนนี้อยู่ในมือเขา!
นี่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการโยนเผือกร้อนใส่มือ และมิอาจสลัดหลุดได้
เพราะถึงอย่างไร ใครเล่าจะเชื่อว่าวิหารเซียนนี้ไร้โอกาสใด ๆ?
“เจ้ารอที่นี่ก่อนนะ”
ซูอี้ว่าพลางเดินออกไปนอกวิหาร
…
นอกวิหารเซียน เมฆาทมิฬปกคลุมนภาเยี่ยงม่าน อสนีบาตสีเลือดเวียนวนลอยสูง
เหล่ายอดฝีมือจากสามขุมกำลังใหญ่ เผ่าภูตหลวนคราม ลัทธิทางช้างเผือกและตระกูลอวี่โบราณต่างรออย่างอดทน
เมื่อเห็นซูอี้เดินออกมาจากวิหารเซียน รอบข้างพลันเกิดเสียงอึกทึกครึกโครม
“ออกมาแล้ว!”
ดวงตาทุกคู่จรัสแสงราวได้เห็นเหยื่อตัวอ้วนเดินออกมาหาเอง
“สหาย เจ้าก็เห็นแล้วว่าเราทั้งหลายขวางที่นี่ไว้แล้ว ไม่คิดจะนำหยกมรดกที่บรรพชนเขาเทพอีกาทิ้งไว้ออกมาทำความเข้าใจร่วมกันหน่อยหรือ?”
อวี่ชิงอันเสสรวลกล่าว
“ถูกต้อง เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องต่อสู้แย่งชิง ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย”
น้ำเสียงของอวี่ฮว่าเซิงเฉยชา “หาไม่ ต่อให้เจ้าจะซ่อนตัวในวิหารเซียนต่อไปได้ แต่… เจ้าจะซ่อนได้อีกนานเพียงใดเชียว?”
มิต้องสงสัยเลยว่า เหตุที่พวกเขาไม่ลงมือทันทีก็เป็นเพราะกลัวซูอี้จะหนีเข้าไปในวิหารเซียนอีก
“ขอเพียงเจ้าร่วมมือ ความแค้นเล็กน้อยก่อนหน้านี้ ข้าจะพอทนไว้ชีวิตเจ้าให้พ้นสันเขาอีกาไปได้”
ทางฝั่งเผ่าภูตหลวนคราม เฟิงอวิ๋นเลี่ยกล่าวเบา ๆ ขณะไพล่มือไว้เบื้องหลัง “หาไม่ เจ้าต้องตายวันนี้!”
มีหรือซูอี้จะไม่เห็นว่ายอดฝีมือสามฝ่ายร่วมมือกันแล้ว?
เขาถูหว่างคิ้วพลางกล่าวอย่างจนใจเล็กน้อย “หากข้าบอกว่าโอกาสในวิหารเซียนนี้ถูกหอเก้าสวรรค์นำไปนานแล้ว พวกเจ้าจะเชื่อกันหรือไม่?”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าว คนมากมายก็หัวเราะลั่น
“เหตุผลเช่นนี้ หลอกผียังไม่ได้เลย!”
อวี่ฮว่าเซิงแค่นเสียงอย่างเย็นชา
อวี่ชิงอันกล่าวช้า ๆ “สหายเอ๋ย เราแสดงความบริสุทธิ์ใจแล้ว หากยังมัวหมกมุ่น จะเป็นการฆ่าตัวตายเอานะ”
“ตอบข้ามาเร็ว ๆ ตกลงหรือไม่?”
เฟิงอวิ๋นเลี่ยขมวดคิ้ว ตาคู่นั้นเจิดจรัสด้วยจิตสังหาร ใจร้อนกระวนกระวายเล็กน้อย
ซูอี้อดถอนใจเบา ๆ มิได้
ว่าแล้วเชียว เผือกร้อนนี่โยนทิ้งไม่ได้
“บัญชีนี้ก็ต้องไปคิดกับเหยียนเต้าหลินเช่นกัน!”
ซูอี้กล่าวเสียงขรึม
“สหายเอ๋ย แม้โอกาสนี้จะดีเลิศ แต่ก็ยังต้องมีชีวิตจึงได้มันมา โปรดคิดอีกที!”
อวี่ชิงอันกล่าวเตือนอย่างเคร่งขรึม
พวกเขากดดันทั้งวาจาและท่าทาง ทำเหมือนซูอี้เป็นสัตว์ร้ายในกรง
“งั้นก็ลงมือเถอะ”
ซูอี้เงยหน้ามองท้องนภา “ยามนี้ยังไม่เช้า ศึกต้องเร็วกระชับเสียหน่อย”
วาจาแผ่วเบาเลื่อนลอย ทว่าทุกผู้ได้ยินล้วนชะงักไป
ลงมือ?
คนผู้นี้คิดต่อสู้กับพวกเขาจริง ๆ หรือ?
ช่างบ้าโดยมิต้องสงสัย!!
“เหตุใดต้องลำบากด้วย?”
อวี่ชิงอันถอนใจเบา ๆ คิดว่าการกระทำของซูอี้ไม่ได้ฉลาดเลย
“เมื่อสวรรค์อยากให้เขาตายก็ให้เขาบ้า บางที… เขาคงคิดกระมังว่าจะสามารถฝ่าวงล้อมออกไปได้”
ดวงตาของอวี่ฮว่าเซิงฉายประกายเย็นชา
“แต่ไม่ว่าอย่างไร ความกล้าของคนผู้นี้… ก็น่าชื่นชม”
เฟิงอวิ๋นเลี่ยแย้มยิ้ม
ทว่ารอยยิ้มนั้นช่างหนาวเหน็บนัก
ไม่ใช่เพราะพวกเขาเย่อหยิ่ง แต่ทั่วจักรวาลพร่างดาวนี้ ผู้ใดเล่าที่มิก้มหัวลงยามเผชิญแรงกดดันของสามขุมกำลังหลักเช่นพวกเขา?
กระทั่งตัวตนซึ่งมีฐานะและการฝึกฝนระดับเดียวกัน เกรงว่ายังต้องกล้ำกลืนโทสะเลย!
ทว่ายามนี้ ราชันแห่งภูมิขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงผู้ไม่ทราบที่มากลับปฏิเสธความปรารถนาดี คิดต่อกรกับพวกเขา!
เป็นคนแรกในตลอดมาจริงแท้
พิลึกจนพวกเขาทั้งหลายล้วนรู้สึกมิอยากเชื่อ
ทว่าซูอี้หาสนใจเรื่องเหล่านี้ไม่
หนึ่งมือถือไหสุรา อีกมือถือดาบมารดาฟ้าดินเดินออกมา
ซูอี้กล่าวแนะเสียงเบา “จำไว้ว่าให้ทุ่มสุดกำลัง หาไม่ เจ้าจะมีแต่ตายเร็วขึ้น”
ทุกคน “…”
พวกเขาทั้งหลายเกือบหลุดหัวเราะ
ก่อนหน้านี้ เฟิงอวิ๋นเลี่ยกล่าวเตือนไว้แล้วว่าศัตรูหนนี้พิเศษมาก มีความแข็งแกร่งน่าหวาดหวั่น ไม่อาจใช้ระดับขอบเขตมาชี้วัดได้
นี่ยังทำให้อวี่ชิงอันกับอวี่ฮว่าเซิงต้องกลับมาให้ความสนใจ
ดังนั้นพวกเขาจึงเผยความปรารถนาดี เต็มใจเจรจากับซูอี้
ทว่าไม่มีผู้ใดคาดว่าคนผู้นี้ ไม่เพียงปฏิเสธความปรารถนาดีของพวกเขา และยังมีท่าทีบ้าคลั่งอย่างยิ่ง!
“ทุกคน เช่นนั้นเราส่งสหายผู้นี้สู่โลกหน้าก่อน แล้วค่อยทำตามที่ตกลงกันไว้เถิด!”
จิตสังหารของอวี่ฮว่าเซิงเดือดพล่าน แทบมิอาจรั้งตนเองไว้ได้อีก
“ได้!”
ทุกคนต่างเห็นชอบ
ตู้ม!
ทั่วฟ้าดินสะเทือนป่วน เพลิงศักดิ์สิทธิ์ทะยานสู่สรวง
ยอดฝีมือจากสามขุมกำลังล้วนโจมตีพร้อมกันอย่างไร้ลังเล
ไม่มีผู้ใดออมมือ
ไร้ความยุติธรรมใด ๆ
เหล่าผู้เฒ่าซึ่งต่อสู้ตรากตรำมานานล้วนคุ้นชินกับความพลิกผันแห่งครรลองโลกา ทำให้ต่างคนต่างเด็ดเดี่ยวไร้ปรานียิ่งนัก
ทันทีที่ลงมือ พวกเขาล้วนใช้สมบัติสูงสุด ทุ่มกำลังสุดตัว ไร้การออมมือใด ๆ
ยามนี้ เพลิงศักดิ์สิทธิ์ทะยานสู่นภา สารพัดสมบัติโบยบินและจรัสแสง คลื่นพลังทำลายล้างน่าหวาดหวั่นสะท้อนเป็นนิมิตถล่มโลกา
ยามนี้ จิตสังหารไร้คู่เปรียบนั้นกดดันเสียจนทั่วฟ้าดินบิดเบี้ยว ส่งผลให้สันเขาอีกาอันไพศาลสะเทือนไหว
เว่ยซานซึ่งหลบอยู่ในวิหารเซียนอดอ้าปากค้างมิได้ หนังศีรษะของเขาชาวาบ นายน้อยไปเรียกศัตรูแบบใดมากัน เหตุใดจึงต้องถูกล้อมสังหารอย่างน่าสะพรึงกลัวเยี่ยงนี้?
ยามนี้ ยอดฝีมือจากสามขุมกำลังนำโดยเฟิงอวิ๋นเลี่ย อวี่ฮว่าเซิงและอวี่ชิงอันล้วนมั่นใจนตนอย่างแรงกล้า
ว่าด้วยการโจมตีนี้ ไม่ว่าราชันแห่งภูมิผู้ใดในหล้าล้วนแต่ต้องตาย!
เพราะถึงอย่างไร ยอดฝีมือจากสามขุมกำลังนี้รวมแล้วก็มีทั้งสิ้นสิบเก้าคน โดยผู้อ่อนแอที่สุดมีการฝึกฝนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดขั้นต้น
และผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็เป็นถึงตัวตนบรรพกาลขอบเขตไร้ขีดจำกัดขั้นปลาย!
ไม่ว่าจะสุ่มเลือกผู้ใดก็ล้วนแต่เป็นขุมกำลังยิ่งใหญ่ซึ่งสะเทือนหนึ่งภูมิดารายามกระทืบเท้าได้ทั้งสิ้น
และยามนี้เมื่อทุกคนร่วมมือทุ่มสุดแรง ใครเล่าจะควรค่าเป็นคู่มือ?
ร่างสูงใหญ่ของเขาสะท้านเคลื่อน พลังมหาวิถีในกายระเบิดออกมาเยี่ยงคลื่นถล่มปฐพีแหลกทลาย ถ้ำโกลาหลมหาวิถีจรัสพิรุณแสงพร่างพราว ปราณมารดาฟ้าดินอันอลหม่านเดือดพล่าน รากแห่งฟ้าดินที่ดูราวพฤกษาศักดิ์สิทธิ์เปี่ยมประกายเจิดจ้า เคล็ดมหาวิถีสูงสุดอุบัติ
และจิตวิญญาณ ร่างเนื้อ รวมถึงการฝึกฝนล้วนถูกกระตุ้นตื่นตัวถึงขีดสุดยิ่งกว่ายามใดในพริบตา!
ดาบมารดาฟ้าดินอันเรียบง่ายในมือของเขาส่งวจีราวกับกระหายโลหิต
เหนือใบดาบมีนิมิตหกวิถีเวียนวัฏสะท้อนวูบไหว กฎอนันตกาลจรัสแสงคล้อยเกี่ยว และเคล็ดพลังเวิ้งลึกล้ำเรืองรองดุจนภารุ่งตะวัน…
คงไม่กล่าวเกินไปหากจะบอกว่ายามนี้ ซูอี้ได้ใช้เคล็ดวิชาสูงสุดทั้งหมดที่ฝึกฝนตราบยามนี้ออกมาโดยพร้อมเพรียง
ไร้การออมมือใด ๆ!
เขาอยากจะลองดูว่า ก่อนบรรลุสู่ขอบเขตคืนสู่สามัญ ด้วยวิถีเต๋าขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงขั้นสมบูรณ์ จะเกิดสิ่งใดขึ้นยามเขาลงมือทุ่มสุดตัว
ดูเหมือนเชื่องช้า ทว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในพริบตา
ดาบของซูอี้ฟาดฟันออกไป
ในโลกหล้าอันสับสนอลหม่าน หนึ่งปราณดาบวูบไหวทอประกายดุจนภาครามแห่งบรรพกาล ปกคลุมเวหาด้วยความรู้สึกไร้เทียมทาน
สว่างจ้าตระการยิ่งนัก
ทันทีที่มันปรากฏ มันก็กลายเป็นแสงอันสว่างไสวที่สุดในฟ้าดิน ราวกับพร้อมตัดผ่านนภา ทลายพันธะแห่งมิติเวลาลงได้
และภาวะดาบในปราณดาบนี้ก็มิอาจใช้วาจาใดมาบรรยายได้ มันหลากท่วมทั่วฟ้าดินดุจน้ำป่า ดุจเตาหลอมที่บรรจุโลกทั้งใบ ทั้งกฎเกณฑ์สูงสุด โชคลาภแห่งสวรรค์ ความลึกลับนับพันหลอมรวมอยู่ภายใน
และเมื่อดาบนี้ฟาดลง
ดวงตาของทุกผู้ก็เจ็บแปลบ ผิวกายหนาวสะท้าน
ตู้ม!
ดุจท้องนภาพังทลาย ทุกสิ่งสรรพแหลกสลาย มหาวิถีสูญสิ้น
สมบัติลับระดับราชันแห่งภูมิสิบเก้าชิ้นที่ทะยานสู่เวหา ยามพบเข้ากับคลื่นทำลายล้างนี้ พวกมันก็ถูกปราณดาบขยี้แหลกสลาย!
เพียงพริบตา
สมบัติทั้งสิบเก้าชิ้นอันบรรจุการโจมตีสุดตัวของตัวตนขอบเขตไร้ขีดจำกัดมากมายล้วนกระจัดกระจาย!
ทันใดจากนั้น สารพัดเพลิงศักดิ์สิทธิ์และนิมิตอันปกคลุมด้วยพลังกฎเกณฑ์ล้วนถูกอำนาจดาบนี้บดขยี้ จนระเบิดแหลกดังสนั่นประหนึ่งคลื่นยักษ์ถล่มซัด
ฟ้าดินในถิ่นพลันถล่มประหนึ่งถึงวันอวสาน
เพลิงศักดิ์สิทธิ์กระเพื่อมคลั่งแผดเผาทั่วทศทิศ กระทั่งวังวนอสนีบาตสีเลือดเหนือท้องนภายังมิแคล้วสั่นสะท้านรัวแรง
ภาพดังกล่าวไม่ต่างอันใดกับวันพิพากษาบังเกิด!
ท่ามกลางฝุ่นควันมีเสียงอุทานมากมาย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาล้วนตะลึงกับอำนาจดาบนี้
และเมื่อฝุ่นควันจางลง…
ทั่วฟ้าดินเต็มไปด้วยหลุมบ่อ ทลายสิ้นราวกับถูกบีบเค้นอย่างรุนแรง มีร่องรอยสงครามน่าประหวั่นพรั่นพรึงอยู่ทั่วไปหมด
เฟิงอวิ๋นเลี่ย อวี่ฮว่าเซิง อวี่ชิงอัน และคณะล้วนสภาพดูไม่จืด สีหน้าแปรเปลี่ยนไปจากเดิม
แม้ท้ายที่สุดพวกเขาจะต้านรับดาบนั้นไว้ได้ แต่พวกเขาก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เลือดลมในกายปั่นป่วนพลุ่งพล่าน จนอึดอัดไม่สบายตัว
ตัวตนบางผู้ซึ่งการฝึกฝนอ่อนแอกว่าหน้าซีดลง
และเมื่อพวกเขาเห็นคนที่ยืนอยู่หน้าวิหารเซียนไกลออกไป ทุกคนต่างก็ตะลึงอึ้ง
อาภรณ์เขียวของชายผู้นั้นพลิ้วไสว เส้นผมยาวปลิวไสว หนึ่งมือถือดาบ อีกหนึ่งมือถือไหสุรา กำลังกระดกดื่มสบายใจ
ทั่วร่างไร้ร่องรอยบาดแผลใด ๆ!
“หยุด… หยุดไว้ได้หรือ!?”
หัวใจของผู้เฒ่าบางคนสั่นคลอน ขณะเดียวกันก็อดสงสัยมิได้ว่ามองผิดไป
“เหมือนว่า… เขาจะหยุดไว้ได้จริง ๆ”
บางคนกลืนน้ำลายเอื๊อกอย่างยากลำบาก ลมหายใจพลันสะดุดลง
ขณะนั้น มือเท้าของเฟิงอวิ๋นเลี่ยสั่นเล็กน้อย สีหน้าของเขายากเข้าใจ
ร่างของอวี่ฮว่าเซิงเกร็งเครียด สันหลังหนาวยะเยือก
ดวงตาของอวี่ชิงอันเบิกกว้างอย่างตะลึงอึ้ง
สิบเก้ายอดฝีมือในขอบเขตไร้ขีดจำกัดจากสามขุมกำลังสูงสุดแห่งโลกหล้าโจมตีสุดกำลัง ทั่วจักรวาลพร่างดาว ใครหรือจะรับไหว?
ทว่ายามนี้ การโจมตีที่ว่า… ถูกขวางไว้ได้จริง ๆ!
มันถูกทำลายลงด้วยหนึ่งดาบของชายหนุ่มในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยง!
ชั่วขณะนั้น ทั่วฟ้าดินเงียบสงัด ทุกคนล้วนตกตะลึง
มีเพียงซูอี้ที่ยืนถือดาบ ยกไหสุรากระดกดื่ม สูงส่งเยี่ยงเทพเซียน