บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1285: บรรพชนช่วยด้วย
ตอนที่ 1285: บรรพชนช่วยด้วย
ราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดเหล่านี้ล้วนมาจากขุมกำลังสูงสุด
พวกเขาแต่ละคนถือครองกฎสูงสุดแห่งภูมิดารา มีพื้นฐานแข็งแกร่งและสมบัติลับอันน่าอัศจรรย์ ห่างไกลเกินเทียบได้กับตัวตนทั่วไปในขอบเขตเดียวกัน
ทว่าเพียงหนึ่งดาบ ซูอี้กลับทลายการร่วมมือของราชันแห่งภูมิขอบเขตไร้ขีดจำกัดสิบเก้าคนนี้ได้!
ภายในวิหารเซียน เมื่อเว่ยซานผู้คุ้นเคยใกล้ชิดกับทัศนาจารย์ที่สุดได้เห็นเช่นนี้ เขาก็อดตะลึงค้างไม่ได้
นี่เป็นเพียงร่างเวียนวัฏซึ่งมีการฝึกฝนในขอบเขตอสงไขยลึกล้ำขั้นสมบูรณ์เท่านั้น แต่นายน้อยแข็งแกร่งเพียงนี้แล้วหรือ?
จะเถื่อนเกินไปแล้วหรือไม่?
ซูอี้รู้สึกเสียดายน้อย ๆ ในใจ
ดาบนี้บรรจุทุกเคล็ดวิชาสูงสุดที่เขาฝึกฝนมาจวบปัจจุบัน ไร้การออมมือใด ๆ
ทว่าท้ายที่สุด มันก็ทำได้เพียงทำลายการโจมตีประสานของศัตรู ไม่ได้ตัดสินแพ้ชนะในดาบเดียวอย่างที่ซูอี้หมายใจ
“ทุกท่าน ข้าเตือนนานแล้วว่าคนผู้นี้น่าจะเป็นตัวตนบรรพกาลชั่วร้ายที่ซุกซ่อนการฝึกฝนของตน เราจึงไม่ควรเลินเล่อให้เขาแสร้งเป็นหมูหลอกกินพยัคฆ์ได้”
สีหน้าของเฟิงอวิ๋นเลี่ยเย็นชา “ยามนี้ ทุกท่านน่าจะได้เห็นแล้วว่าหากไม่ใช้ไม้ตายก้นหีบโจมตีไม่ยั้ง ก็คงไม่มีทางทำอันใดคนผู้นี้ได้!”
ทุกผู้ล้วนดูมืดหมอง
พวกเขาเก่าแก่และฝึกฝนมาแสนนาน ย่อมรู้ว่ามีสมบัติลับอันพิเศษยิ่งบางอย่างในโลกหล้าที่มิเพียงปิดบังการฝึกฝนได้เท่านั้น แต่ยังบิดเบือนอายุกระดูกได้อีกด้วย!
และชายหนุ่มชุดเขียวซึ่งอยู่ห่างออกไปนี้ อายุกระดูกและการฝึกฝนที่เขาแสดงออกมาก็ทำให้ผู้อื่นประมาทได้อย่างแสนง่ายจริง ๆ
“โชคดีที่สหายเต๋าเตือนเราไว้ทันท่วงที หาไม่ เราคงได้ถูกเจ้าชั่วนี่เล่นงานโดยมิทันตั้งตัวได้จริง ๆ”
สีหน้าของอวี่ฮว่าเซิงมืดหมอง
หนึ่งดาบทำลายการโจมตีประสานของราชันแห่งภูมิขอบเขตไร้ขีดจำกัดสิบเก้าคน นี่หรือจะเป็นตัวตนในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงได้?
มิต้องสงสัยเลยว่าอีกฝ่ายต้องซ่อนการฝึกฝนของตนอยู่ตามที่เฟิงอวิ๋นเลี่ยคาด แม้จะดูเยาว์วัย แต่แท้ที่จริงเขาคือเจ้าเฒ่าที่น่าหวาดหวั่นยิ่ง!
“แปลกจริง ผู้อาวุโสมีอำนาจมหาศาลเพียงนี้ ข้าก็ว่าไม่น่าใช่คนทั่วไป ไฉนจึงซ่อนการฝึกฝนและที่มากันเล่า? กลัวว่าเราจะมิอาจมองทะลุได้หรือ?”
อวี่ชิงอันขมวดคิ้ว ถามซูอี้จากไกล ๆ
นี่คือสิ่งที่คนอื่น ๆ ก็สับสนเช่นกัน
ก่อนซูอี้จะทันได้พูด เฟิงอวิ๋นเลี่ยก็กล่าวอย่างเย็นชา “พวกท่านไม่เข้าใจหรือ คนผู้นี้ต้องมาจากหอเก้าสวรรค์เป็นแน่! มิต้องพูดถึง… ว่าเป็นเจ้าแก่เหยียนเต้าหลินนั่น!”
ทันทีที่วาจาถูกกล่าว ทุกผู้ก็ประหลาดใจ
ซูอี้อดหัวเราะไม่ได้
ราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดแล้วเช่นไร?
ยามพบบางอย่างที่มิอาจเข้าใจ พวกเขาก็ยังใช้ความรู้ความเข้าใจตนพยายามหาคำอธิบายอันเป็นเหตุเป็นผลอยู่ดี
นี่แหละหนาเหตุที่ความเข้าใจผิดมักบังเกิด
ทว่า เมื่อนึกว่าอีกฝ่ายกำลังปฏิบัติต่อเขาเช่นเหยียนเต้าหลิน หัวใจของซูอี้ก็เต้นกระตุก ในเมื่อไอ้แก่นั่นโยนเผือกร้อนให้เขา ไฉนเลยเขาจะโยนคืนมิได้?
ดังนั้น ซูอี้จึงทำเพียงยิ้ม หาปฏิเสธหรือยอมรับไม่
ทว่าการกระทำของเขายิ่งทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าเขาถูกเฟิงอวิ๋นเลี่ยพูดจี้ใจดำ ชายหนุ่มผู้ซุกซ่อนการฝึกฝนและที่มาของเขา แม้จะมิใช่เหยียนเต้าหลินก็ต้องเกี่ยวพันอย่างแยกมิออกกับหอเก้าสวรรค์!
ชั่วขณะนั้น ทุกผู้ล้วนรู้สึกเจ็บแค้นในใจ หอเก้าสวรรค์นี่ทำเกินไปแล้วจริง ๆ!
ปากบอกจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว แต่กลับลอบส่งคนมาชิงโอกาสไปก่อน ชั่วช้าเสแสร้งนัก!
“ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้า ไปเสีย แล้วข้าจะลืมเรื่องเก่าก่อน ไว้ชีวิตพวกเจ้า”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยชา
นี่คือการวิวาทชิงโอกาส ไร้ความแค้นใด ๆ ข้องเกี่ยว ในเมื่อสามารถโยนเผือกร้อนคืนเหยียนเต้าหลินได้ เขาย่อมมิจำเป็นต้องไร้ปรานี
“ลืมเรื่องเก่าก่อน? เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าตนชนะแล้ว?”
เฟิงอวิ๋นเลี่ยยิ้มเยาะ
เขาไม่คิดพูดพร่ำ โบกมือกล่าว “ทุกผู้ ถึงกาลใช้ไม้ตายก้นหีบของทุกท่านแล้ว!”
“ได้”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น”
อวี่ฮว่าเซิงและอวี่ชิงอันล้วนเห็นชอบ
ซูอี้ขมวดคิ้วน้อย ๆ
ทว่า ก่อนที่เขาจะทันได้พูด เหล่ายอดฝีมือจากสามขุมกำลังใหญ่ก็รุมโจมตีเข้ามาอย่างสุดกำลังแล้ว
“ย๊าก!”
เฟิงอวิ๋นเลี่ยตะโกนลั่น ใช้หอกสีดำอันเรืองรองเล่มหนึ่ง ใบหอกเฉิดฉายด้วยประกายแสงทอง เผยปราณกดดันน่าสะพรึงกลัว
หอกเทพขจัดมาร!
หนึ่งในสมบัติศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของเผ่าภูตหลวนคราม ลึกลับเกินคาดหยั่ง เกินพอจะสังหารราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดลงได้
เมื่อสมบัตินี้ปรากฏ ทั่วฟ้าดินก็สะเทือน ปราณสังหารดุร้ายเกินเทียบแผ่กระจายบ้าระห่ำ กรีดสุญญะแหลกลาญเป็นรอยร้าวระราน
“ขึ้นมา!”
แขนเสื้อของอวี่ฮว่าเซิงสะบัดโบกขณะใช้งานขวานศึกสำริดเล่มหนึ่งรูปร่างคล้ายจันทราครึ่งเสี้ยว สลักสารพัดลวดลายลี้ลับหนาแน่น ประกายดาราสีเงินเคลื่อนคล้อยวูบไหวดุจทางช้างเผือกยาตรา
ขวานเทพหลอมดารา!
หนึ่งในเจ็ดสมบัติสูงสุดของลัทธิทางช้างเผือก กล่าวกันว่าเพียงหนึ่งการโจมตีกลับเหมือนหมื่นดาราพร่างพรมจากสรวง มีอำนาจเพียบพร้อมทำลายทั่วฟ้าดิน
ขณะเดียวกัน อวี่ชิงอันก็ยกมือขึ้นสะบัด เตาหลอมสีแดงเพลิงพลันปรากฏ มันมีสามขาสองหู เป็นสีแดงเพลิงทั้งใบ สลักภาพมังกรอันสมจริงเก้าตนขนรัดรอบปากเตา
เสียงมังกรคำรามสนั่นลั่นทั่วฟ้าดิน
เตาวิญญาณเก้ามังกรเพลิง!
สมบัติของตระกูลอวี่โบราณซึ่งลือกันว่าบรรพชนในตำนานผู้หนึ่งแห่งตระกูลอวี่หล่อหลอมขึ้นมาเองสมัยบรรพกาล และบรรจุจิตวิญญาณแท้แห่งมังกรฟ้าเอาไว้!
แล้วราชันแห่งภูมิขอบเขตไร้ขีดจำกัดทั้งหลายจากสามขุมกำลังล้วนใช้ท่าสังหารสูงสุดของตนทันที
เช่นยันต์ลับ สมบัติโบราณ เศษคัมภีร์เต๋าและอื่น ๆ
ทันใดนั้น ทั่วฟ้าดินนี้ดูราวเดือดพล่าน สุญญะบิดเบี้ยว
วังวนอสนีบาตสีเลือดซึ่งลอยอยู่ใต้ท้องนภามิอาจรับอำนาจร้ายกาจเช่นนี้ได้อีกจนแตกพล่านป่วนระแหง
ไม่อาจทราบได้ว่ามีวิญญาณอาสัญอยู่ในวังวนนั้นมากมายเพียงไร แต่พวกมันก็แปรเปลี่ยนเป็นควันสีครามตายอนาถโดยไร้โอกาสแม้แต่จะให้หลบ
เป็นการตายที่อยุติธรรมจริงแท้ เพราะวิญญาณอาสัญเหล่านี้ไม่เคยแม้แต่จะปรากฏตัว
แต่ก็ถูกสลายทิ้งไปในวังวน
ทว่าไร้ผู้ใดหันมาเหลียวแล
สารพัดไม้ตายก้นหีบเล็งเป้าไปทางซูอี้โดยพร้อมเพรียง
เห็นเช่นนี้ แววตาของซูอี้ก็เย็นเยือก จิตสังหารพลุ่งพล่านดุเดือดในใจ
อุตส่าห์ใจดีเตือนแล้วแท้ ๆ แต่สถานการณ์เช่นนี้ เห็นชัด ๆ ว่าศัตรูไม่คิดถอนใจ!
ซูอี้ยิ้มเยาะ
เขาโบกแขนเสื้อ แล้วตราประทับวิถีบรรพตทักษิณซึ่งปกคลุมด้วยแสงเซียนก็ทะยานสู่ฟ้า
สมบัติชิ้นนี้จนมุมอับรัศมีในยามที่เขาต่อสู้กับ ‘เซียนเสวี่ยหลิว’ แห่งสำนักมารหกโลกีย์เมื่อกาลก่อน
ทว่าเมื่อซูอี้ใช้มันในยามนี้ สมบัตินี้ก็เผยอำนาจเกินจินตนาการ
เปรี้ยง!
เมื่อตราประทับวิถีบรรพตทักษิณฟาดเข้าใส่ ท้องนภาก็ระเบิดแสงสีเจิดจ้า ทั่วแดนดินถูกฟาดเป็นหลุมยักษ์
อาวุธสังหารมากมายของเหล่าราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดถูกป่นแหลกโดยพลัน และถูกตราประทับวิถีบรรพตทักษิณขยี้ดุจกระดาษเปื่อย
มีเพียงหอกเทพขจัดมาร ขวานเทพหลอมดาราและเตาวิญญาณเก้ามังกรเพลิง สามสมบัตินี้เท่านั้นที่ต่อกรตราประทับวิถีบรรพตทักษิณได้
แต่ก็ทำได้เพียงยื้อยุด
ขณะเดียวกัน ซูอี้ก็ได้กวัดแกว่งดาบมารดาฟ้าดินในมือเข้าโจมตีแล้ว
วูบ!
ร่างของเขาพริบพรายเยี่ยงประกายแสง เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ รวดเร็วเยี่ยงเคลื่อนไหวพริบตา
คมดาบในมือของเขายิ่งรวดเร็วเสียจนโลกตะลึง ในพริบตา ยอดฝีมือผู้หนึ่งจากตระกูลอวี่โบราณก็ถูกสังหารในดาบเดียว
สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ ในยามที่คนผู้นี้สิ้นใจ เขามิอาจตอบสนองใด ๆ ได้เลย จนกระทั่งยามที่ร่างและวิญญาณของเขาแหลกสลาย สีหน้าตะลึงตกใจจึงเพิ่งปรากฏ
และนั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น
ในขณะที่ซูอี้ใช้งานตราประทับวิถีบรรพตทักษิณ หนึ่งคนหนึ่งดาบก็พุ่งเข้าสู่วงล้อมศัตรูและเข่นฆ่าละเลงเลือด
เปรี้ยง!
แสงสมบัติปะทะกันลั่นสนั่น ส่งประกายแสงพรั่งพรู
ตราประทับวิถีบรรพตทักษิณร้ายกาจเกินไป มันเป็นเหมือนบรรพตศักดิ์สิทธิ์ ณ โบราณกาลถูกเทพยกขึ้นขว้างใส่โลกหล้า โหดร้ายกดดัน ฉีกสุญญะสะเทือนทั่วแดนดิน
แล้วอาวุธสังหารของเหล่าราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดจะเอาสิ่งใดมาประชันกับสมบัติในขอบเขตจุติสรวงเช่นนี้ได้?
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือการประหัตประหารของซูอี้
เขาเดินกฎอนันตกาลจรัสแสงอย่างเต็มกำลัง ดาบของเขาพร่างพรายดุจกลายเป็นเส้นแสง ที่ใดที่คมดาบชี้ไปหา หนึ่งศัตรูก็จะถูกสังหารในพริบตา
รวดเร็วเกินไป!
แม้ศัตรูจะระวังตนมาแสนนาน ยังมิอาจรับมือยามอยู่ต่อหน้าความสำเร็จวิชาดาบอันร้ายกาจของซูอี้ได้ และถูกสังหารในพริบตา
บ้างถูกผ่าครึ่งท่อน
บ้างถูกหนึ่งดาบบั่นหัวปลิดปลิว
บ้างร่างกายแหลกสลาย
บางถูกทะลวงทะลุคอ
…ฟ้าดินอันปั่นป่วนรวนเร เสียงกรีดร้องอันเปี่ยมความหวาดกลัวมิอยากตายดังลั่นระงมเสียงแล้วเสียงเล่า โลหิตระเบิดฟุ้งเป็นหมอก คลื่นพลังกระฉอกปั่นป่วนย้อมทั่วฟ้าดินแดงฉาน
“หนี เผ่นเร็ว!”
ราชันแห่งภูมิบางคนสิ้นสติ กรีดร้องโวยวายพลางตะเกียกตะกายหนีสุดชีวิต
ก่อนหน้านี้ พวกเขาสามขุมกำลังใหญ่ร่วมมือ แสนมั่นอกมั่นใจ ไม่ว่าจะเผชิญศัตรูใดก็ชนะได้ง่าย ๆ
และต่อให้จะพบเหตุพลิกผัน พวกเขาแต่ละคนก็ยังมีไพ่ตายวิชาสังหารซุกซ่อน มิคิดย่อยอมแพ้
ทว่ายามนี้กลับสิ้นหวังโดยแท้จริง พวกเขาก็เข้าใจลึกซึ้งว่าความกลัวเป็นเช่นไร!
การวางตัวของศัตรูเป็นดั่งเทพเซียน ทว่ายามชักดาบกลับดูไร้เทียมทาน ทุกที่ที่ดาบของเขาชี้ไปล้วนทลายสิ้น ไร้สิ่งใดหลงเหลือ ร้ายกาจน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง
เพียงไม่กี่อึดใจราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดสิบกว่าคนก็ถูกสังหารโหดคาที่ สถานการณ์ในบริเวณย่อยยับเละเทะ ใครเล่าจะไม่ตกใจ?
และในเมื่อเขาเริ่มลงมือ ซูอี้ย่อมมิปล่อยราชันแห่งภูมิเหล่านั้นหนีได้
ตู้ม!
เขาใช้กฎเร้นลับต้องห้ามกับตราประทับวิถีบรรพตทักษิณ และฟ้าดินนี้ก็ดูราวหยุดนิ่ง ศัตรูที่เหลืออยู่ล้วนแล้วดูราวติดหล่ม!
สองราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดผู้ลี้ไปแสนไกลก็มิอาจหลบกฎเร้นลับต้องห้ามพ้น ก่อนที่จะถูกซูอี้เข่นฆ่าในดาบเดียว
วิชาสังหารอันเฉียบคมตรงไปตรงมาทำให้หัวใจทุกผู้สั่นสะท้าน
“หลังนายน้อยเวียนวัฏฝึกฝนใหม่ เขาก็แข็งแกร่งกว่าการฝึกฝนมหาวิถีเดิมยามอยู่ในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงไปมากแล้ว…”
ในวิหารเซียน เว่ยซานผู้ได้เห็นฉากละเลงเลือดของซูอี้ในสนามรบตระหนักชัดเจนว่าเมื่อเทียบกันในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยง นายน้อย ณ ชาติภพนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่านายน้อยเมื่อกาลก่อนมากนัก!
เนื่องจากว่า แม้ทัศนาจารย์ในกาลก่อนจะสามารถสังหารคู่ต่อสู้ในขอบเขตไร้ขีดจำกัดขณะตนอยู่ในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงได้เช่นกันก็ตาม แต่เขาก็ยังต้องทุ่มเทลงทุนมหาศาล มิอาจเรียบง่ายลอยชายได้เช่นยามนี้
เหลือคนอยู่เพียงหกคนในสนามรบ
สามคนมาจากเผ่าภูตหลวนคราม สองคนจากตระกูลอวี่โบราณ และลัทธิทางช้างเผือกเหลืออวี่ฮว่าเซิงผู้เดียว!
สีหน้าของพวกเขาล้วนเปี่ยมความตื่นกลัว แต่ละคนล้วนหวาดผวา
ไพ่ตายวิชาสังหารทั้งหลายล้วนไร้ประโยชน์ ซ้ำยังถูกอีกฝ่ายเข่นฆ่าสูญเสียหนักหนาอย่างที่มิมีผู้ใดคาดไว้
สิ่งที่ยิ่งชวนสิ้นหวังก็คือ จวบยามนี้ กระทั่งหนียังทำมิได้!
ยามนี้ เมื่อเห็นซูอี้เดินเข้ามาหา เฟิงอวิ๋นเลี่ยไม่กล้าลังเล กัดปลายลิ้นของตนอย่างแรง ถ่มโลหิตขั้วหัวใจใส่ยันต์ลับในมือพลางเค้นเสียง
“บรรพชนช่วยด้วย!”
………………..