บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1286: นกกระจอกเฒ่า
ตอนที่ 1286: นกกระจอกเฒ่า
เปรี้ยง!
ยันต์ลับเปื้อนเลือดแหลกสลาย
ร่างอันยิ่งใหญ่น่าหวาดหวั่นพลันปรากฏบนเวหา
ทั่วฟ้าดินสะเทือนสั่นรุนแรง แสงศักดิ์สิทธิ์แผดจ้าจากร่างทรงพลังนั้นดุเดือดเยี่ยงพายุโหม
เมื่อมองใกล้ ๆ ก็พบว่าเขาเป็นชายชราผู้มีเส้นผมดกดำเยี่ยงหมึก อำนาจทรงพลังแม้ไร้โทสะ ร่างของเขาสูงใหญ่ คิ้วเรียวคมเยี่ยงคมมีด
“ใครกันที่บ้าขนาดกล้าทำร้ายคนของเผ่าภูตหลวนครามของข้า?”
ทันทีที่ชายชราร่างสูงปรากฏตัว เขาก็เอ่ยปากอย่างเย็นชา เสียงสะท้อนทั่วเก้าสวรรค์สิบทิศหล้า
อำนาจที่แผ่จากร่างของเขากดดันเสียจนราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดหลายจนหายใจมิออก
เฟิงเทียนเจี่ย!
หนึ่งในตัวตนบรรพกาลระดับลายครามไม่กี่คนในเผ่าภูตหลวนคราม
“บรรพชน คนผู้นั้นขอรับ!”
เฟิงอวิ๋นเลี่ยกัดฟันยื่นนิ้วชี้ซูอี้ซึ่งอยู่ห่างออกไปอย่างเคืองแค้น
ขณะเดียวกัน ซูอี้ผู้ถือตราประทับวิถีบรรพตทักษิณในหนึ่งมือ ดาบวิถีในอีกมือก็มองชายชราผู้ปรากฏตัวบนฟ้าอย่างประหลาดใจ
“หืม ไฉนเป็นเจ้านกกระจอกเฒ่านี่ไปได้เล่า”
ซูอี้ประหลาดใจ และจำชายชราผู้นี้ได้ทันที
นกกระจอกเฒ่า?
เมื่อได้ยินชื่ออันหยามเหยียดนี้ เฟิงอวิ๋นเลี่ยและราชันแห่งภูมิที่หลงเหลืออีกคนสองจากเผ่าภูตหลวนครามล้วนเดือดดาล
ขณะเดียวกันนั้น เฟิงเทียนเจี่ยตะลึงค้าง ดวงตาจ้องมองซูอี้นิ่งงัน สีหน้าเผยความประหลาดใจ
“อวิ๋นเลี่ย คนผู้นี้คือผู้ใด?”
เฟิงอวิ๋นเลี่ยสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวว่า “บรรพชน คนผู้นี้ต้องสงสัยว่ามาจากหอเก้าสวรรค์ จงใจปิดการฝึกฝนและที่มาของตน ทว่าแท้จริงการฝึกฝนร้ายกาจอย่างยิ่งขอรับ…”
ทันทีที่เขากล่าวเช่นนี้ เสียงหัวเราะชอบใจก็ดังออกมาจากในวิหารเซียน
“หอเก้าสวรรค์อันใด ปิดการฝึกฝนอันใด พวกเจ้าจวบยามนี้ก็ยังมิเข้าใจหรือ?”
ร่างของเว่ยซานปรากฏออกมาที่หน้าประตูวิหารเซียน
ทุกผู้ล้วนตะลึง มีผู้อื่นอยู่ในวิหารเซียนหรือ!?
เมื่อเขาเห็นเว่ยซาน สีหน้าของเฟิงเทียนเจี่ยก็แปรเปลี่ยนเล็กน้อย และในที่สุดก็อ้าปากค้างราวเพิ่งจำบางเรื่องได้
เว่ยซานกล่าวออกมาแล้ว “นกกระจอกเฒ่า เจ้าไม่ควรหลงกลโดนลูกหลานมีตาแต่ไร้แววของเจ้าหลอกนะ เห็นแก่ความที่เจ้าเคยรับใช้เป็นพาหนะให้นายน้อยของข้าอย่างซื่อสัตย์มาก่อน ข้าบอกให้ว่าเขาคือร่างเวียนวัฏนายน้อยของข้า!”
ทันทีที่วาจานี้ถูกกล่าว ผู้อื่นมิได้เข้าใจ ทว่าเฟิงเทียนเจี่ยตะลึงงันเยี่ยงถูกอสนีบาตฟาด
เหงื่อกาฬแตกพลั่กบนหน้าผาก ดวงตาจ้องซูอี้แน่นิ่ง สีหน้าซีดขาวราวระลึกถึงประสบการณ์อันเกินทนไหวขึ้นมาได้
เฟิงอวิ๋นเลี่ยอ้าปากกล่าวบางอย่าง
ทว่าเฟิงเทียนเจี่ยตบเข้าใส่เขาแล้ว
เพียะ!
แก้มของเฟิงอวิ๋นเลี่ยเจ็บแปลบ ร่างของเขาโซเซแทบหล่นจากเวหา
“คุกเข่าลง!”
เฟิงเทียนเจี่ยตวาดลั่น สีหน้าเดือดดาล แววตาดุร้ายจนแทบฆ่าคนได้
การเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้มิเพียงทำให้เฟิงอวิ๋นเลี่ยและราชันแห่งภูมิคนอื่น ๆ จากเผ่าภูตหลวนครามตกตะลึงพรึงเพริดกันเท่านั้น กระทั่งอวี่ฮว่าเซิงและอวี่ชิงอันก็ตะลึงนิ่ง นี่… มันเรื่องอันใด?
ดวงตาของเฟิงอวิ๋นเลี่ยเห็นดวงดาราพร่างพราย กล่าวอย่างงุนงง “บรรพชน ข้า…”
ก่อนที่เขาจะทันได้ถาม เฟิงเทียนเจี่ยก็ฟาดฝ่ามือเข้าตบอีกครั้งจนเฟิงอวิ๋นเลี่ยทรุดลงคุกเข่า และกล่าวก่นด่า “กระทำการไม่เข้าเรื่อง! หากยังอยากมีชีวิตก็จงคุกเข่าอย่างว่าง่ายเสีย!”
เขาโกรธจนเส้นเลือดปูดโปนเต็มหน้าผาก
คิดให้หัวแตก เขาก็ไม่คาดหรอกว่าทายาทสายตระกูลหลักผู้เป็นที่รักของตระกูลและถือเป็นว่าที่เจ้าตระกูลอันเหมาะสมที่สุดจะโง่จนไปเหยียบเท้าทัศนาจารย์ได้!
ใจร้อนอยากตายนักหรือ?
หรือคิดว่าสร้างปัญหาให้ตระกูลมิมากพอจนต้องลากไปตายกันให้หมด?
“ร่างเวียนวัฏหรือ? หรือว่า… หรือว่า…”
ในที่สุด อวี่ฮว่าเซิงก็ดูจะจำบางอย่างได้ เขากล่าวอย่างยากเย็น “เจ้าคือทัศนาจารย์หรือ!?”
ทัศนาจารย์!
ไม่กี่คำนี้เป็นดุจสายฟ้าฟาดกลางวันแสก ๆ ทำให้ทุกผู้สั่นสะท้านทั้งกายใจ ลึกซึ้งถึงทรวง
เมื่อปีก่อน ข่าวที่ทัศนาจารย์เวียนวัฏฝึกฝนใหม่ในภูมิดาราฟ้าดินสร้างเสียงฮือฮาไปทั่วทุกซอกมุมจักรวาลพร่างดาว
เพียงแค่ว่าในข่าวลือยามนั้น ร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์มีการฝึกฝนเพียงขอบเขตจักรพรรดิ ดังนั้นก่อนหน้านี้ จึงไม่มีผู้ใดคาดเลยว่าศัตรูหนนี้จะเป็นทัศนาจารย์!
ช่างมิน่าเชื่อเลย
เพราะถึงอย่างไร กาลเวลาก็เพิ่งผ่านไปปีเดียว ใครเล่าจะคิดว่าทัศนาจารย์ผู้เพิ่งอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิจะมีการฝึกฝนในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงไปแล้ว?
ใครเล่าจะคิดว่าชายหนุ่มผู้นี้จะเป็นตัวตนดุจตำนานผู้ใช้หนึ่งดาบเป็นหนึ่งเหนือจักรวาลพร่างดาวผู้นั้น?
ซ่อนการฝึกฝนอันใด ปลอมเป็นหมูเพื่อหลอกกินพยัคฆ์อันใด เกี่ยวข้องกับหอเก้าสวรรค์อันใด จอมปลอมทั้งเพ!
อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นเลยสักนิด!
“ทัศนาจารย์!??”
เฟิงอวิ๋นเลี่ยผู้คุกเข่าอยู่ร้องเสียงหลง
ยามนี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าเหตุใดบรรพชนจึงเกรี้ยวกราดนัก มือเท้าของเขาเย็นเฉียบ วิญญาณละล่องลอย
เขาตระหนักแล้วว่าตนถึงคราวเคราะห์เสียแล้ว
ไม่เพียงเขาไม่อาจล้างแค้นแก้อายได้ แต่ยังถูกบรรพชนทำโทษ กระทั่งอาจเสียตำแหน่งนายน้อยของตนอีก!
ยามนี้ เฟิงเทียนเจี่ยจัดอาภรณ์โค้งคำนับซูอี้พลางรำพัน “โลกหล้าพลิกผันขึ้นลง กาลเวลาผ่านเนิ่นนาน ผู้น้อยในตระกูลส่วนใหญ่ไม่เคยได้พบพานใต้เท้า พวกเขาจึงมืดมัวโอหังมิรู้ความ ล่วงเกินศักดิ์ศรีใต้เท้าเข้า ขอใต้เท้าโปรดเห็นแก่ผลงานความดีเก่าก่อนรามืออันสูงส่งของท่าน ปล่อยเราไปด้วยเถิด”
ทุกผู้ล้วนหัวใจปั่นป่วน
เฟิงเทียนเจี่ย ตัวตนบรรพกาลระดับลายครามผู้นี้ ทั่วจักรวาลพร่างดาว ต่อให้เป็นตัวตนในขอบเขตเดียวกันยังต้องให้เกียรติเขาเป็นผู้อาวุโส
ทว่าหนนี้ เขาเป็นฝ่ายก้มหัวลงขอขมา เรียกร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์เป็นใต้เท้าอย่างนอบน้อม!
“เจ้านกกระจอกเฒ่าเรียกข้าเป็น ‘ใต้เท้า’ ข้าหรือจะมิไว้หน้าเจ้า?”
ซูอี้กระซิบ
เมื่อนานมาแล้ว เฟิงเทียนเจี่ยเคยรับใช้เป็นพาหนะให้เขายามเป็นทัศนาจารย์พันปีด้วยแพ้เดิมพัน
ยามนั้น แม้นกกระจอกเฒ่าจะไม่เต็มใจ แต่เขาก็ยังรักษาวาจาโดยไม่เสียใจภายหลัง มิกระทำการใดผิดคำพูด
เฟิงเทียนเจี่ยถอนหายใจโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด “ขอบคุณใต้เท้า!”
เมื่อมองใกล้ ๆ ก็พบว่าเขาคืออวี่ฮว่าเซิง
เขามาจากลัทธิทางช้างเผือก และรู้ว่าด้วยฐานะของเขา ย่อมมิอาจหาทางรอดใด ๆ ได้ จึงหนีไปทันที
“วอนตาย!”
เฟิงเทียนเจี่ยแค่นเสียงอย่างเย็นชา วูบไหวร่างขวางทางอวี่ฮว่าเซิงไว้ ฝ่ามือฟาดฟันดุจดาบในอากาศ
อวี่ฮว่าเซิงถูกผลักกระเด็นกลับโดยพลัน
ก่อนที่เขาจะทันยืนตั้งหลักได้ หนึ่งปราณดาบก็วูบไหว สังหารเขาทันที
เห็นเช่นนี้ เฟิงเทียนเจี่ยก็ลอบตะลึงในใจ เดิมเขาคิดจะจับตัวอวี่ฮว่าเซิงมาทดแทนบุญคุณร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์
ใครเล่าจะคิดว่าอีกฝ่ายจะสังหารเจ้าเฒ่าในขอบเขตไร้ขีดจำกัดขั้นปลายเช่นนี้ได้ด้วยดาบเดียว!
“หลังเวียนวัฏฝึกฝนใหม่ อยู่ในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงก็ร้ายกาจได้เพียงนี้แล้ว หากเขาหวนคืนสู่ขอบเขตไร้ขีดจำกัดอีกคน เขาไม่ใช่ว่าจะฆ่าตัวตนในวิถีจุติสรวงได้เลยหรือ?”
เฟิงเทียนเจี่ยลอบตะลึง
ขณะเดียวกับ อวี่ชิงอันและคนจากตระกูลอวี่โบราณล้วนลนลาน พวกเขามิกล้าลังเลและโค้งหัวลงคำนับ “ใต้เท้าทัศนาจารย์ ‘บรรพชนซิ่งหยาง’ ของเรามีมิตรภาพกับท่านอยู่ โปรดเห็นแก่มิตรภาพนี้ยกโทษที่เราล่วงเกินท่านสักหนด้วยเถิด!”
ราชันแห่งภูมิข้างกายเขาเองก็รีบร้อนคำนับ
“อวี่ซิ่งหยาง?”
ซูอี้ครุ่นคิดหนัก “เจ้าแก่นั่นยังไม่ตายอีกหรือ?”
อวี่ชิงอันไร้วาจา มิรู้จะตอบเช่นไร
“ก็ได้ พวกเจ้าไปเถอะ”
ซูอี้โบกมือ
เมื่อนานมาแล้ว ทัศนาจารย์และอวี่ซิ่งหยางเคยพบพานกันมาก่อนจริง ทว่าก็เป็นเพียงคนรู้จัก
เหตุเป็นเพราะอวี่ซิ่งหยางเป็นตัวตนสูงสุดในตระกูลอวี่โบราณแท้ ๆ แต่ยืนกรานกระทำสิ่งต่าง ๆ เคียงข้างทัศนาจารย์
ทัศนตาจารย์ตอบเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเบื่อเต็มทนกับเรื่องพัวพันยุ่งยากจึงต้องรีบ ๆ ไล่เจ้าพวกนี้ไป
“ขอบคุณใต้เท้า!”
อวี่ชิงอันรู้สึกราวรอดชีวิตจากหายนะได้ รู้สึกซาบซึ้งยินดีนัก
ไม่นาน เขาและพรรคพวกก็รีบร้อนจากไป
“พวกเจ้าก็ไปเถอะ”
ซูอี้หันไปกล่าวกับเฟิงเทียนเจี่ย
เฟิงเทียนเจี่ยโล่งใจ มิกล้าลังเล รีบพาพวกเฟิงอวิ๋นเลี่ยจากไป
เว่ยซานเดินออกมาจากวิหารเซียน เที่ยวเดินเก็บสินสงคราม
“นายน้อยคงไม่ว่าข้าที่พูดมากเกินไปเมื่อครู่หรือไม่?”
เขาถามขณะง่วนกับงาน
ซูอี้เก็บดาบวิถีและตราประทับวิถีบรรพตทักษิณไป ขณะกล่าวว่า “ยามที่ข้าใช้นกกระจอกเฒ่าเป็นพาหนะ เขาก็ช่วยข้ามามาก เห็นแก่หน้าเขา ข้าก็จะปล่อยพวกนั้นรอดไปได้”
ซูอี้กล่าวพลางนำไหสุราออกมา มองเว่ยซานผู้ง่วนกับการเก็บสมบัติและเอ่ยถาม “เดิมเจ้าก็เป็นราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดขั้นกลางกันอยู่แล้ว ไฉนจึงยังคงที่มิต่างจากเดิมเลยเล่า?”
เว่ยซานอดเสสรวลมิได้ “ปัญหาเก่าแก่ จะแก้ได้ง่าย ๆ เช่นไร?”
ตลอดกาลผ่านมา เขาติดตามทัศนาจารย์ท่องโลกหล้าไปด้วยกัน ทัศนาจารย์มีหน้าที่สังหารศัตรู ในขณะที่เขาทำหน้าที่เก็บสินสงคราม เรื่องนี้กล่าวได้ว่าเป็นความเข้าใจโดยทั่วกัน
ซูอี้เองก็แย้มยิ้ม หาได้กล่าวสิ่งอื่นไม่
นับแต่หวนคืนสู่ห้วงลึกจักรวาลพร่างดาว ประสบการณ์และความทรงจำของทัศนาจารย์ก็จะหวนคืนพร้อมบุคคลและสิ่งของบางอย่าง
ไร้ความรู้สึกผิดแปลก เพราะทุกสิ่งล้วนเป็นของอดีตชาติเขาทั้งสิ้น
ทว่าซูอี้รู้ดี ว่าท้ายที่สุดอดีตชาติก็คือดีตชาติ ในชาตินี้ เขาจะไม่เป็นทัศนาจารย์คนที่สองอีก
หลังรวบรวมสินสงคราม เว่ยซานก็ก้าวเข้ามายื่นสมบัติที่เก็บได้ด้วยรอยยิ้ม “พวกมันทั้งหลายล้วนแต่เป็นของดีหายาก เกรงว่ากระทั่ง ‘หอสี่สมุทร’ จากภูมิดาราเทพนครยังเขมือบไม่ลงทั้งนั้น”
ภูมิดาราเทพนคร
ภูมิดาราอันดับหนึ่งในส่วนลึกจักรวาลพร่างดาว ถือเป็นภูมิดาราศูนย์กลางจักรดาราตงเสวียนเช่นกัน!
และหอสี่สมุทรก็คือหอวาณิชอันดับหนึ่งแห่งภูมิดาราเทพนคร มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ธุรกิจเฟื่องฟูทั่วจักรวาลพร่างดาว อ้างตนว่าไม่มีสมบัติใดในโลกหล้าที่หอสี่สมุทรเขมือบไม่ลง
นี่แสดงให้เห็นว่าหอสี่สมุทรร่ำรวยทรงพลังเพียงไร
และเมื่อพูดถึงภูมิดาราเทพนคร ซูอี้ก็อดคิดถึงชิงถังมิได้
กาลก่อน ชิงถังมาจากตระกูลเจียง หนึ่งในตระกูลโบราณอารักษ์วิถี และแดนบรรพชนตระกูลเจียงก็ตั้งอยู่ในภูมิดาราเทพนคร
“ไม่รู้ป่านนี้ยายหนูนี่จะกลับสู่ภูมิดาราเทพนครหรือยัง…”
ดวงตาของซูอี้เลื่อนลอยเล็กน้อย
ศึกที่ถ้ำเสวียนจวินเมื่อกาลก่อนทำให้เขาเข้าใจที่มาอันมิอาจทราบของชิงถัง และจากนั้น หลังหลอมรวมความทรงจำของทัศนาจารย์ เขาก็ตระหนักว่าชิงถังคือศิษย์หนึ่งเดียวในชั่วชีวิตของทัศนาจารย์
และชีวิตของชิงถังก็อธิบายได้เพียง ‘ชีช้ำอับโชค’ สี่คำนี้
ซูอี้รับปากไว้ว่าหลังหวนคืนสู่จักรวาลพร่างดาว เขาจะช่วยชิงถังสืบหาเบาะแสการทำลายตระกูลของนาง
เขาจะไม่มีวันลืมเรื่องนี้
ซูอี้สูดหายใจลึก ๆ ทิ้งความคิดฟุ้งซ่าน และออกคำสั่ง “เจ้าเว่ยน้อย เจ้าไปพาเทียนฉีมา เราจะไปหอเก้าสวรรค์กัน!”
………………..