บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1287: เหยียนเต้าหลิน
ตอนที่ 1287: เหยียนเต้าหลิน
นอกสันเขาอีกา
เมื่อเห็นซูอี้ออกมา เมิ่งฉางอวิ๋นซึ่งรออยู่ก็อดถอนใจโล่งอกไม่ได้ และรีบร้อนเข้ามาทักทาย
ส่วนหลูอวิ๋น ผู้บวงสรวงสวรรค์แห่งหอเก้าสวรรค์นั้นอ้าปากค้าง
“ส่งข้อความถึงเหยียนเต้าหลิน บอกไปแค่ว่าข้าจะไปยังหอเก้าสวรรค์เดี๋ยวนี้ หากเขากล้าซ่อนตัว ข้าจะเหยียบย่ำหอเก้าสวรรค์เสีย”
ซูอี้หันไปสั่งหลูอวิ๋นอย่างไร้อารมณ์
ร่างของหลูอวิ๋นชะงักค้าง เหงื่อกาฬผุดพลั่กบนหน้าผาก และรีบนำยันต์ลับชิ้นหนึ่งออกมาส่งข้อความ
……
หอเก้าสวรรค์
หุบเขาตั้งเดียวดาย หมอกควันสูงละลิ่ว ณ ตรงหน้าอาคารไม้ไผ่ครึ่งทางก่อนถึงยอดเขา
เหยียนเต้าหลินนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ ถือหยกชิ้นหนึ่งพินิจศึกษาเงียบ ๆ
เขาสวมอาภรณ์อันเรียบง่าย รูปลักษณ์สะอาดสะอ้าน นัยน์ตาลึกล้ำดุจทะเล เปี่ยมบรรยากาศนิ่งสงบไร้อารมณ์
สายลมโชยเอื่อย ป่าไผ่พลิ้วไสว
บ่าวเฒ่าผู้หนึ่งเดินมาจากไกล ๆ และกล่าวเสียงเบา “เจ้าหอ ทัศนาจารย์ออกจากสันเขาอีกากับเว่ยซานแล้วขอรับ”
เหยียนเต้าหลินตะลึง และกล่าวเบา ๆ “เสี้ยวเจตจำนงของเซียนเสวี่ยหลิวล้มเหลว ดูเหมือนว่าทัศนาจารย์จะยังไม่อาจปลุกความทรงจำของเสิ่นมู่ขึ้นมาได้”
เขาเก็บหยกในมือไปพลางกล่าวยิ้ม ๆ “ทัศนาจารย์ต้องแค้นข้าที่หลอกใช้เขาเป็นแน่ หากไร้สิ่งใดอื่น เขาคงกำลังมุ่งหน้ามาคิดบัญชีกับข้าที่หอเก้าสวรรค์แล้ว”
บ่าวเฒ่าครุ่นคิด “เจ้าหอต้องการเตรียมสิ่งใดไว้หรือไม่ขอรับ?”
เหยียนเต้าหลินส่ายหน้าน้อย ๆ และกล่าวว่า “ไม่หรอก กลอุบายใด ๆ ถือได้เพียงเรื่องเล็กน้อย แต่แรกเดิมที ข้าก็ไม่เคยคิดอยู่แล้วว่าทัศนาจารย์จะตายในสันเขาอีกา”
เขานำถ้วยชาบนโต๊ะข้างกายขึ้นมาจิบ “นอกจากนั้น ข้ายังเข้าใจทัศนาจารย์ด้วย หากต้องการเอาชนะเขา ทุกกลอุบายไร้ค่า ท้ายที่สุดก็ขึ้นกับฝีมือตนเท่านั้น”
“และข้าก็รอวันนี้มาแสนนาน…”
ท้ายที่สุด เหยียนเต้าหลินก็อดถอนใจมิได้
บ่าวเฒ่าพลันเงียบไป
เหยียนเต้าหลินวางถ้วยชาลง ลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ไผ่และกล่าวว่า “ไปกันเถอะ ไปพบทัศนาจารย์กัน”
……
นอกประตูหอเก้าสวรรค์
พิรุณห่าใหญ่เพิ่งพ้นผ่าน ทั่วบรรพตลำธารชุ่มแฉะ
“อาจิ่ว บิดาเจ้าจะมารับเจ้าแล้วนะ”
เหยียนเต้าหลินกล่าวเบา ๆ เขายืนนิ่งกับที่ เงาร่างสูงตระหง่านของเขาดูราวต้นสนเก่าแก่เปี่ยมชีวิต
ยมบาลยืนเงียบอยู่ด้านข้าง ในใจนางรู้สึกตึงเครียดหดหู่อย่างมิอาจอธิบาย ร่างเกร็งนิ่ง
นางฝึกฝนอยู่ในหอเก้าสวรรค์มาแต่ยังเล็ก แต่ก็ไม่อาจเข้าใจเจ้าหอข้างกายนางเลยสักนิด
ในใจของนาง เจ้าหอนั้นลึกลับและร้ายกาจดุจขุมนรกอันเกินคาดหยั่ง ยิ่งนางฝึกฝนสูงส่งเพียงไร ยิ่งได้สัมผัสความน่ากลัวมากขึ้นเท่านั้น
ยามนี้ ปราณของเหยียนเต้าหลินเยือกเย็นสงบสุข ทว่าเพียงยืนข้างเขา ยมบาลก็รู้สึกราวถูกทิ่มแทงด้วยเข็มทั่วกาย
“เจ้าไม่ต้องกลัวไปหรอก การที่ข้าให้เจ้าฝึกฝนในหอเก้าสวรรค์ เดิมทีก็เป็นข้อตกลงระหว่างข้าและบิดาเจ้าอยู่แล้ว”
เหยียนเต้าหลินกระซิบ “จากนี้ไป ทั้งเจ้าและบิดาก็จะเป็นอิสระ ไม่ถูกข้าผูกมัดอีก”
ยมบาลรวบรวมความกล้าเอ่ยถาม “ขอบังอาจถามเจ้าสำนัก นี่เป็นเพราะ…ใต้เท้าทัศนาจารย์มาเยือนหรือ?”
เหยียนเต้าหลินพยักหน้ากล่าว “ถูกต้อง”
เขาไม่ได้อธิบายมากไปกว่านี้
ยมบาลงุนงง ไม่อาจเข้าใจเหตุผลได้
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน
เหยียนเต้าหลินพลันถามขึ้น “เจ้าคิดว่าร่างเวียนวัฏแห่งทัศนาจารย์เป็นคนเช่นไร?”
ยมบาลนิ่งไป นางย้อนคิดถึงการเดินทางร่วมกับซูอี้ของนาง และตอบกลับในครู่ต่อมา “แข็งแกร่งยิ่ง!”
“แข็งแกร่งเพียงไรหรือ?”
เหยียนเต้าหลินสนใจมาก
ยมบาลกล่าวอย่างครุ่นคิด “ทุกคราที่ข้าพบเขา ความรู้สึกที่ข้ามีมากที่สุดคือ ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่เขาทำมิได้”
เหยียนเต้าหลินอดรำพึงมิได้ “เขาก็เป็นคนเช่นนี้จริง ๆ แหละ”
ยมบาลเอ่ยถาม “เจ้าหอรออยู่ที่นี่ คิดรับมือใต้เท้าทัศนาจารย์ด้วยตนเองหรือ?”
เหยียนเต้าหลินมิได้ตอบ ทว่าถามย้อน “เจ้าคิดว่าโลกนี้มีผู้ใดไร้พ่ายตลอดกาลหรือไม่?”
ยมบาลชะงักไป และกล่าวว่า “น่าจะ…ไม่มีหรือไม่?”
เหยียนเต้าหลินเสสรวลกล่าว “ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”
วาจานั้นราบเรียบ ทว่าเผยความมั่นใจแน่วแน่
ทันทีที่กล่าวเช่นนั้น เสียงแหวกอากาศก็ดังขึ้นจากไกล ๆ
“บิดาเจ้ามาแล้ว”
วาจานั้นแผ่วเบา
ยมบาลตะลึงงันเงยหน้าขึ้น
ไกลออกไป ใต้ท้องนภา คนกลุ่มหนึ่งทะยานตรงมาหา
ผู้นำสวมอาภรณ์เขียวพลิ้วไสว ร่างสูงใหญ่ ไม่ใช่ผู้ใดอื่นนอกจากซูอี้
เมิ่งฉางอวิ๋นและเว่ยซานตามประกบซ้ายขวา
และผู้บวงสรวงสวรรค์แห่งหอเก้าสวรรค์หลูอวิ๋นตามติดรั้งท้าย
“ท่านพ่อ!”
ดวงตาของยมบาลแดงก่ำยามได้พบเว่ยซาน นางร้องออกมาอย่างตื่นเต้น
เว่ยซานชะงักไปครู่หนึ่ง และแย้มยิ้มอย่างแสนสุขออกมาทันที “อาจิ่วน้อยของข้าโตเป็นสาวแล้วหรือนี่!”
เขาตื่นเต้นเสียจนมือเท้าสั่นเล็กน้อย
หลังเกิดโศกอนาฏกรรม ภรรยาของเขาตายตก บิดาบุญธรรมเลือกอยู่ต่อสู้กับศัตรู
มีเพียงเขาที่พาบุตรสาว อาจิ่ววัยสามขวบเข่นฆ่าเปิดทางหนีรอดไปได้
ยามนี้ หลังผ่านไปเนิ่นนาน คู่บิดาบุตรีก็ได้กลับมาพานพบ ต่างคนต่างรูปลักษณ์เปลี่ยนไปอย่างมาก ทว่าสายเลือดเข้มข้นกว่าน้ำ ไม่อาจถูกกาลเวลาชะล้างไปได้
ยมบาลถลาเข้ามากอดเว่ยซานแน่นจากไกล ๆ น้ำตาหลั่งริน น้ำเสียงสะอื้นไห้ จมูกแดงก่ำน้ำตารื้น
เว่ยซานเองก็ตื้นตันเสียจนแสบจมูก
เหยียนเต้าหลินหาหยุดพวกเขาไว้ไม่
หรือกล่าวอีกนัยคือ นับแต่ร่างของซูอี้ปรากฏขึ้น เขาก็ไม่มีใจมาสนสิ่งอื่นอีก
“ตาเฒ่า ล้างคอรอตายไว้แล้วหรือไม่?”
ซูอี้กล่าวอย่างครุ่นคิด
การที่เหยียนเต้าหลินมารออยู่หน้าประตูหอนั้นเหมือนเช่นลางบอกเหตุ
เหยียนเต้าหลินแย้มยิ้มมิใส่ใจ “ไม่ได้พบกันมาหลายปี แต่ทัศนาจารย์ก็ยังเฉียบคมเช่นกาลก่อน”
บรรยากาศทั่วฟ้าดินมืดหม่นหดหู่ลงอย่างเงียบ ๆ
เว่ยซานและยมบาล บุตรีของเขายืนอยู่ด้านข้าง
เมิ่งฉางอวิ๋นเกร็งนิ่งทั้งใจและกาย สัมผัสได้ถึงแรงกดดันพุ่งปะทะหน้า
เจ้าหอเก้าสวรรค์เหยียนเต้าหลิน!
นี่คือหนึ่งในยักษ์ใหญ่สูงสุดในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว!
คำร่ำลือส่วนใหญ่ของเขาดูสูงส่งลึกลับ เนื่องจากเหยียนเต้าหลินปรากฏตัวสู่โลกหล้าน้อยครั้ง ลงมือน้อยหน
ทว่าขุมกำลังสูงสุดแห่งโลกหล้า ไม่ว่าจะกล่าวถึงหอเก้าสวรรค์ขึ้นมายามใด พวกเขาก็ยังล้วนยำเกรง!
ไม่ใช่การกล่าวเกินไปหากจะบอกว่าในจักรวาลพร่างดาวทุกวันนี้ ในฐานะเจ้าหอเก้าสวรรค์ เหยียนเต้าหลินกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในตัวตนสูงสุดในขอบเขตราชันแห่งภูมิ
เนิ่นนานกาลก่อน มีผู้คนเพียงหยิบมือที่เทียบกับเขาได้!
ตัวตนเช่นนี้ เพียงหนึ่งวาจาเลื่อนลอยก็สามารถกระทบต่อทิศทางหนึ่งภูมิดารา แก้ชะตาขุมกำลังผู้ฝึกตนในโลกหล้าทั่วจักรวาลพร่างดาวได้!
เมิ่งฉางอวิ๋นรู้ดีแก่ใจ ว่าหากเป็นกาลก่อน เขาจะไม่มีกระทั่งคุณสมบัติมาพบหน้าเจ้าหอเก้าสวรรค์ผู้นี้…
“ในใจทัศนาจารย์คงมีความสับสนมากเป็นแน่แท้ และยังมีโทสะกรุ่นเต็มท้อง”
ไกลออกไป เหยียนเต้าหลินปริปากพูด สีหน้าของเขาเยือกเย็น “และข้าก็รอที่นี่ด้วยกังวล ว่าทัศนาจารย์จะถล่มหอเก้าสวรรค์ของข้าเสียก่อน”
เหยียนเต้าหลินกล่าวพลางหยิบม้วนหยกขึ้นมาแผ่นหนึ่ง “คำตอบที่ทัศนาจารย์ต้องการทราบ ทั้งหมดอยู่ในม้วนหยกนี้ ขอเพียงเอาชนะข้าได้ ม้วนหยกนี้จะเป็นของเจ้า”
ทั่วฟ้าดินพลันหนักอึ้งกดดัน บรรยากาศแทบชวนลืมหายใจแผ่ฟุ้ง
“เอาชนะเจ้า?”
ซูอี้เลิกคิ้วกล่าว “เจ้าคิดว่าข้ามาที่นี่เพื่อแบ่งปันชัยชนะกับเจ้า และเพื่อปลดความข้องใจหรือไร?”
ดวงตาของเหยียนเต้าหลินแปรเปลี่ยนละเอียดอ่อนขณะกล่าวว่า “หากข้าชนะ เจ้าตาย แต่หากข้าแพ้ ข้าไม่ตายหรอก”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “ไฉนจึงเห็นเช่นนั้น?”
เหยียนเต้าหลินกล่าวอย่างสุขุม “เมื่อสิบกว่าปีก่อน ร่างจริงของข้าจากไปยังเขตหวงห้ามเซียนละล่องแล้ว สิ่งที่เจ้าเห็นตรงหน้าเป็นเพียงร่างอวตารของข้าเท่านั้น”
ร่างอวตาร!?
เว่ยซาน เมิ่งฉางอวิ๋นและคนอื่น ๆ ล้วนมองหน้ากัน
ซูอี้กล่าวแดกดัน “อันใดนี่ หลังจากตรากตรำแสนนาน ในที่สุดเจ้าก็ยังไม่กล้าใช้ร่างจริงพบข้าอีกหรือ?”
เหยียนเต้าหลินส่ายหน้ากล่าว “นั่นเป็นเพราะเจ้ามาช้าเกินไป ในสิบกว่าปีมานี้ คนเฒ่าเช่นข้าแข่งกับเวลาเพื่อชิงโอกาสเคลื่อนวิถีสู่ขอบเขตจุติสรวงกันอยู่ เหมือนเช่นเติ้งจั๋วจากสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิและข้า”
กล่าวถึงจุดนี้ เขาก็ทอดถอนใจ “วิถีจุติสรวงซึ่งหายไปแสนนานจะหวนคืนสู่โลกหล้า ใครเล่าจะไม่หวังเป็นคนแรกที่ก้าวถึงมัน? เทียบกับเรื่องเหล่านี้แล้ว ความแค้นใด ๆ ก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย”
ซูอี้นำไหสุราออกมายกจิบ
จริงอย่างที่เหยียนเต้าหลินว่า สำหรับพวกเจ้าเฒ่าสูงสุดในส่วนลึกจักรวาลพร่างดาว สิ่งที่พวกเขาบากบั่นใฝ่หามาชั่วชีวิตคือการก้าวสู่วิถีอันสูงกว่าเข้าสักวัน
กระทั่งทัศนาจารย์ในกาลก่อนยังทุ่มเทกายใจแสนนาน พยายามไขว่คว้าหาวิถีจุติสรวงเช่นกัน
ยามนี้ หลังจากผ่านมาเนิ่นนาน วิถีจุติสรวงจะหวนคืนสู่โลกหล้า เจ้าเฒ่าผู้ใดเล่าจะมิคลั่งไปเพราะมัน?
ไม่นานมานี้ ยามเขาอยู่ในสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ ซูอี้ก็ได้พบเฒ่าจมูกวัวเติ้งจั๋ว และร่างจริงของอีกฝ่ายก็ไปยังเขตหวงห้ามเซียนละล่องเพื่อค้นหาวิถีจุติสรวงแล้วเช่นกัน!
และซูอี้ก็ได้ยินความนัยอื่นในวาจาของเหยียนเต้าหลิน
เขามาช้าไป หมายความว่าหากต้องการหาโอกาสไต่สู่วิถีจุติสรวง เขาก็ช้ากว่าผู้อื่นไปก้าวหนึ่งแล้ว!
ซูอี้เก็บไหสุราไปพลางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “สายไปก็มิเสียหาย ในกาลต่อมา ข้าก็แค่รอคอยในขอบเขตราชันแห่งภูมิเพื่อประชันดูว่าพลังของวิถีจุติสรวงเป็นเช่นไรเท่านั้น”
แววตาของหลูอวิ๋นซับซ้อน เป็นเพราะมีเพียงทัศนาจารย์เท่านั้นที่มีคุณสมบัติพอจะพูดเช่นนี้ได้ หากเปลี่ยนเป็นผู้ใดอื่น เกรงว่าคงถูกมองเป็นเรื่องขบขันแต่แรกแน่แท้
“แต่เจ้าก็ต้องรอดไปให้ถึงยามนั้นมิใช่หรือ?”
วาจาของเหยียนเต้าหลินแฝงความนัย
โดยมิรีรอให้เขาพูดจบ เหยียนเต้าหลินส่ายหน้ากล่าว “โอกาสแห่งเซียนในสันเขาอีกาเป็นมรดกที่บันทึกเคล็ดวิชาฝึกฝนของวิถีจุติสรวง ทว่าไร้โอกาสเข้าสู่วิถีจุติสรวง”
“หาไม่ ร่างจริงของข้าคงไม่ต้องเสี่ยงตายเก้าส่วนไปพเนจรในเขตหวงห้ามเซียนละล่องหรอก”
กล่าวถึงยามนี้ เหยียนเต้าหลินก็เสสรวลกล่าว “ทว่าข้าก็ประสบความลับบางอย่างเกี่ยวกับขอบเขตจุติสรวงอยู่เหมือนกัน ซึ่งกล่าวได้ว่าก้าวสู่วิถีจุติสรวงไปครึ่งก้าว และขาดเพียงนิดเดียวก็จะบรรลุถึงมัน”
เขาดูซื่อตรงและรู้ทุกสิ่งสรรพ
ทว่าทันทีที่เขากล่าววาจาเหล่านี้ออกมา ทุกผู้ก็ล้วนประหลาดใจ
เข้าสู่วิถีจุติสรวงครึ่งก้าว!
หากเรื่องนี้แพร่ออกไป เกรงว่าคงฮือฮาทั่วจักรวาลพร่างดาวเป็นแน่
มีเพียงซูอี้ซึ่งยังเรียบเฉยเช่นก่อน กล่าวออกมาอย่างเรียบ ๆ “แค่ก้าวเข้าไปครึ่งก้าว มิใช่วิถีจุติสรวงอย่างแท้จริงอยู่ดี”
ไม่ใช่ว่าเขาก็เป็นเช่นนี้ในอดีตชาติยามเป็นทัศนาจารย์หรือไร?