บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1288: ปฐมศึกแห่งโลกบรรพกาล
ตอนที่ 1288: ปฐมศึกแห่งโลกบรรพกาล
ทว่าแม้จะพูดเช่นนี้ หัวใจของซูอี้ก็ยังเย็นเยือก
การบรรลุสู่ขอบเขตวิถีจุติสรวงครึ่งก้าวหมายความว่าเหยียนเต้าหลินทุกวันนี้มีพลังต่อสู้ไม่ได้ด้อยไปกว่าทัศนาจารย์ยามสมบูรณ์พร้อมแล้ว!
“ในสายตาของเจ้า ความสำเร็จวิถีเต๋านี้ไร้ค่าจริง ๆ”
“ทว่าสำหรับข้า แค่เจ้ากับข้าพบกันวันนี้ก็พอแล้ว”
ซูอี้ว่า “จะลองหรือ?”
เหยียนเต้าหลินกล่าวยิ้ม ๆ “เราทั้งสองรู้จักกันมาหลายปี ในเมื่อคิดจะสู้ก็ควรสู้ให้สาแก่ใจ ไม่ใช้สิ่งของนอกกายใด ๆ ใช้เพียงความสำเร็จวิถีเต๋าของตนประชันกันเป็นไร?”
ซูอี้กระโดดขึ้นสู่ท้องนภา “มาสู้กันที่นี่”
เขายืนเดียวดายท่ามกลางทะเลเมฆา อาภรณ์พลิ้วไหว ดูสูงส่งและไร้มลทิน
เมื่อเห็นเช่นนี้ เหยียนเต้าหลินก็กล่าวกับหลูอวิ๋นที่อยู่ข้างกายเขา “ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ จำไว้ว่าอย่านำผู้อื่นมาพัวพัน”
“ขอรับ!”
หลูอวิ๋นรับคำสั่งอย่างเคร่งขรึม
เหยียนเต้าหลินพยักหน้าและทะยานขึ้นสู่เวหา
เจ้าหอเก้าสวรรค์ผู้นี้สวมอาภรณ์ยาวแขนเสื้อกว้าง ใบหน้ากระจ่าง กิริยาสงบเยือกเย็นแต่ต้นจนจบ
ทว่ายามนี้ เมื่อมองซูอี้จากระยะไกล แววตาเยือกเย็นของเหยียนเต้าหลินก็กระเพื่อมไหวอย่างอดไม่ได้
เขารอวันนี้มานานแสนนาน
อำนาจที่มิอาจมองเห็นผุดขึ้นจากเหยียนเต้าหลินเงียบ ๆ
ท้องนภาพลันมืดลง อำนาจกฎเกณฑ์อันปกคลุมด้วยปราณหายนะหนาแน่นดุจเมฆาดำสนิท ปกคลุมทั่วท้องนภาอย่างหนาแน่น
นี่คือกฎเกณฑ์วอนสวรรค์ กฎสูงสุดของภูมิดาราวอนสวรรค์!
เว่ยซาน เมิ่งฉางอวิ๋นและคนอื่น ๆ ที่อยู่บนพื้นล้วนดูเคร่งเครียด แม้พวกเขาจะไม่ได้เปิดศึก แต่ปราณหายนะที่แผ่ออกมาทั่วฟ้าดินทำให้ผิวของพวกเขาเจ็บแปลบ หัวใจบีบรัดแน่น
นี่คือแดนบรรพชนของหอเก้าสวรรค์ กฎเกณฑ์วอนสวรรค์ที่นี่เข้มข้นยิ่งกว่าที่ใด ทำให้เหยียนเต้าหลินดูเหมือนกับเป็นตัวแทน ‘วิถีแห่งสวรรค์’!
“เชิญ”
เหยียนเต้าหลินว่า
ซูอี้แย้มยิ้ม ก่อนจะก้าวเข้ามาหาเหยียนเต้าหลิน
ตู้ม!
ก้าวย่างอันแผ่วเบานี้ ยามเหยียบย่างลงมา ทั่วฟ้าดินพลันสะเทือนไหว บรรพตลำธารสั่นสะท้าน กฎเกณฑ์วอนสวรรค์ซึ่งปกคลุมทั่วสุญญะต่างถูกกระทบปั่นป่วนรุนแรง
และทุกย่างก้าวของซูอี้ อำนาจในร่างของเขาก็ไต่ระดับกล้าแกร่ง ยามแรกดูจะเป็นหนึ่งเกลียวคลื่นในมหาสมุทร ทว่าท้ายที่สุดมันก็กลับกลายเป็นคลื่นคลั่งที่ถาโถมใส่นภา!
อาภรณ์ของเขาสะบัดพลิ้ว แสงรอบกายวูบไหววับวาว ภาวะดาบทรงพลังถูกบ่มเพาะอย่างเงียบ ๆ เหมือนเช่นภูเขาไฟซึ่งนิ่งเงียบรอวันปะทุ
เหยียนเต้าหลินซึ่งอยู่ไกลออกไปหรี่ตาลงพลางถอนหายใจ “การฝึกฝนวิถีเช่นนี้ในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงได้ช่างหาได้ยากในยุคสมัยใดจริง ๆ ทั้งยังเป็นหนึ่งเดียวในโลกหล้า มิน่าเล่า กระทั่งพันธสัญญาแห่งเทพจึงไม่ยินยอมให้วัฏสงสารปรากฏ เคล็ดเวียนวัฏสงสารฝึกฝนใหม่ก็เป็นเรื่องต้องห้ามจริง ๆ”
กล่าวพลาง แขนเสื้อของเขาพลันสะบัดปกคลุมรอบกาย กล้ามเนื้อยึดเกร็ง ผิวกายทุกตารางนิ้วเจิดจรัสระยับแสงราวทองเทวะ
ทันใดนั้น อำนาจของเหยียนเต้าหลินก็แปรเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน เหมือนเขาเปลี่ยนไปเป็นบรรพตโบราณอันศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อมนภาเข้ากับแดนดิน
สูงใหญ่ มิหวั่นไหว เกินสัมผัสได้!
“เจ้าเองก็รู้เกี่ยวกับพันธสัญญาแห่งเทพหรือ?”
ซูอี้ถาม
“ข้าพอจะรู้อยู่นิดหน่อย”
เหยียนเต้าหลินกล่าวอย่างเฉยชา
ซูอี้ประหลาดใจ
เขาเคยได้ยินนักซ่อนกลกล่าวเกี่ยวกับเทพอันเป็นตัวแทนกฎเหล็กสูงสุดอยู่!
อำนาจแกร่งกล้าสูงสุดเหนือทุกยุคสมัย!
ในพันธสัญญาซึ่งเหล่าเทพสร้างร่วมกัน สิ่งเดียวที่สรุปได้ ณ ยามนี้คือไม่มีผู้ใดในโลกหล้าได้รับอนุญาตให้เวียนวัฏซ้ำ!
ขณะที่ทั้งสองเสวนา ซูอี้ก็หาได้หยุดเท้าไม่ ยิ่งก้าวเดิน ทั่วฟ้าดินก็สั่นสะท้านราวกับพร้อมแหลกสลาย
และแสงศักดิ์สิทธิ์ก็เรืองแสงจากร่างของเหยียนเต้าหลิน ทำให้อำนาจของเขาหนาแน่นยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้น
เมื่อมองสถานการณ์ทั้งหมดจากไกล ๆ ปากของทุกคนก็แห้งผาก หัวใจราวแขวนจุกคอ
หนึ่งฝั่งคือร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์
ในขณะที่อีกฝั่งคือเจ้าหอเก้าสวรรค์!
มิต้องสงสัยเลยว่าเมื่อสงครามปะทุ มันจะสะท้านทั่วโลกบรรพกาล ถูกจารึกเป็นตำนานในจักรดาราตงเสวียนเป็นแน่!
จนเมื่อร่างของซูอี้อยู่ห่างจากเหยียนเต้าหลินเพียงสิบจั้ง
ยามนี้ ทั้งสองคนที่เตรียมการอยู่นานแล้วต่างลงมือแทบจะพร้อมเพรียงกัน
เหยียนเต้าหลินเหยียดแขนขวาออก กำมือเป็นกำปั้นแล้วชกออกไป
นิ้วของซูอี้เรียงตัวเช่นดาบ ฟาดฟันบนอากาศราวขวิดเขากวาง
ตู้ม!
อากาศในระยะสิบจั้งระหว่างทั้งคู่ระเบิดแหลก
ทั่วฟ้าดินพลันบิดเบี้ยว อำนาจกฎเกณฑ์ปะทุกัน
ในสายตาทุกคู่ หมัดนี้ของเหยียนเต้าหลินเป็นดั่งกำปั้นพิโรธแห่งทวยเทพ ซึ่งเปี่ยมไปด้วยอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุดราวกับผ่าแยกฟ้าดินได้
เพียงหนึ่งหมัดนี้ก็ทำให้ทุกผู้สั่นสะท้านทั้งกายใจ
ดาบของซูอี้เองก็บรรยายได้ว่าเรียบง่าย เฉยชาซื่อตรง ไร้การเสแสร้งใด ๆ
ทว่ายามออกดาบ กลับให้ความรู้สึกแข็งแกร่งไร้เทียมทาน
หนึ่งหมัดหนึ่งดาบปะทะกันในดินแดนสิบจั้งระหว่างทั้งสอง ซึ่งแทนการประชันกันของทั้งคู่!
เปรี้ยง!
กำลังแรงดั่งพิรุณระเบิดพรั่งพรูออกมา
ร่างของซูอี้และเหยียนเต้าหลินวูบไหวพร้อมเพรียง ทั้งคู่ล้วนโจมตีอีกคนโดยไร้ความลังเล
เพียงพริบตา สงครามก็ปะทุเต็มที่
ซูอี้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ในขณะที่เหยียนเต้าหลินมิเคยสะทกสะท้าน
หนึ่งคนไร้ดาบในมือ แต่กลับเผยวิชาดาบเลิศล้ำราวสยบได้ทุกสรรพสิ่ง
หนึ่งคนกำมือเป็นหมัด ทุกการเคลื่อนไหวล้วนดึงกฎสวรรค์ภูมิดาราออกมาใช้ แต่ละหมัดที่ชกออกไปล้วนเปี่ยมด้วยอำนาจกวาดล้างทั่วเก้าชั้นฟ้า
เพียงพริบตา ทั้งสองก็ประชันกันมิอาจทราบกระบวน
บรรพตลำธารในขอบเขตหลายพันลี้รอบข้างสะเทือนสั่นรุนแรง และสรรพชีวิตทั่วโลกหล้าล้วนแตกตื่นเผ่นหนีเอาชีวิตรอด
และเนื่องจากศึกนี้ร้ายกาจเกินไป มันกระทั่งสร้างนิมิตอันน่าตกตะลึงมากมาย
เมิ่งฉางอวิ๋นตื่นกลัวจนชะงักไป
เขาเองก็เป็นราชันแห่งภูมิ แต่เพียงมองจากไกล ๆ ทั้งใจกายก็รู้สึกเหมือนถูกกำราบ อย่าว่าแต่เข้าไปร่วมศึก ขอเพียงเขาก้าวเข้าไปอีกสักก้าว เพียงเศษเสี้ยวของศึกนี้ก็สลายวิญญาณเขาได้!
“นายน้อยของข้าเคยกล่าวไว้ ว่าต่อให้เป็นยอดฝีมือในขอบเขตเดียวกัน ความแข็งแกร่งของแต่ละคนก็ยังแตกต่างกันมาก และเหตุที่เหยียนเต้าหลินแข็งแกร่ง ก็เป็นเพราะเขาอยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตไร้ขีดจำกัดแล้ว”
เว่ยซานดูเคร่งขรึม “และในจักรวาลพร่างดาวนี้ ตัวตนเช่นเหยียนเต้าหลินมีน้อยเสียจนนับนิ้วได้”
“ท่านพ่อ นายน้อยที่ท่านว่า… คือทัศนาจารย์หรือเจ้าคะ?”
ยมบาลสาวอดถามไม่ได้
“แน่นอน”
เว่ยซานหาได้ลังเลไม่ “เมื่อศึกนี้จบลง ข้าจะเล่าเรื่องพวกนี้ให้เจ้าฟัง”
สีหน้าของยมบาลดูคลุมเครือ ถึงนางจะไม่รู้เหตุผล แต่นางก็ตัดสินไปแล้วว่าที่แท้ซูเสวียนจวินที่นางคุ้นเคย… เป็นผู้อาวุโสของนาง!
“ตัวตนเช่นทัศนาจารย์นั้น มิอาจวัดด้วยขอบเขตได้จริง ๆ”
หลูอวิ๋นที่อยู่หน้าประตูหอที่อยู่ไกลออกไปลอบรำพึง
ศึกนี้ทำให้หัวใจของเขาเต้นกระตุก!
และภายในหอเก้าสวรรค์ยังมีสายตามากมายจับจ้องศึกนี้ สีหน้าของคนทุกผู้ล้วนตื่นตะลึง
“ทัศนาจารย์ เทียบกับยามสมบูรณ์พร้อม เจ้าอ่อนแอลงมากนะ”
ระหว่างศึก เสียงของเหยียนเต้าหลินก็ดังขึ้น
อาภรณ์ของเขาโบกสะบัดดุจบรรพตโบราณอันศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นเขาก็เคลื่อนกายตามเส้นขอบฟ้า ทุกการเหวี่ยงหมัดของเขาสะท้านทั่วฟ้าดิน ทศทิศสะเทือนสั่น ดุดันร้ายกาจยิ่ง
“ไร้สาระ กล่าวอีกนัยก็คือ ยามเจ้าฝึกฝนในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยง เจ้ามีวิถีเต๋าเยี่ยงข้าหรือ?”
ซูอี้แย้มยิ้ม
เหยียนเต้าหลินกล่าวอย่างสุขุม “ห่างไกลเลยล่ะ”
ดูเหมือนทั้งสองกำลังเสวนา ทว่าศึกระหว่างทั้งคู่กลับดุเดือดยิ่งนัก ทุกการโจมตีในศึกนี้ล้วนสามารถสังหารราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดในโลกหล้าลงได้อย่างง่ายดาย!
และด้วยกาลผันผ่าน ศึกระหว่างทั้งสองคนก็ยิ่งทวีความน่าหวาดหวั่น
ซูอี้ฟาดฟันออกไปด้วยมือเปล่า ใช้สารพัดกฎวิถีดาบ ทุกการโจมตีเปี่ยมอานุภาพวิชาดาบน่าสะพรึงไร้ขอบเขต
เหยียนเต้าหลินเองก็เช่นกัน เขาใช้หมัดชกโจมตี ไร้ความพิเศษใด ๆ ทว่าหมัดของเขาบรรจุสารพัดวิชานับหมื่น อำนาจมากพอจะบดขยี้หมื่นวิถี
ทั้งสองโรมรันบนชั้นฟ้า ต่อสู้ดุดันใต้ท้องนภาราวสองเทพประชันศึก จนสร้างเป็นสงครามอันไร้ผู้เทียบ
ยามนี้ อย่าว่าแต่ใครอื่น กระทั่งตัวตนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดเช่นเว่ยซานหรือหลูอวิ๋นยังยากจะเห็นรายละเอียดศึกนี้ได้ชัด ๆ
เพราะไม่ว่าซูอี้หรือเหยียนเต้าหลิน วิชาสังหารของพวกเขาล้วนพัฒนาถึงระดับที่เรียกได้ว่าพิสดารแล้ว
ช่างน่าหวาดหวั่น!
ส่วนเมิ่งฉางอวิ๋นนั้น เขาตะลึงอึ้งไปแล้ว
“เชอะ!”
ทันใดนั้น เหยียนเต้าหลินก็ตวาดพลางชกลงมาจากผืนฟ้า ทะลวงสุญญะฟาดเข้าใส่ไหล่ซ้ายของซูอี้
และสันมือดุจคมดาบของซูอี้ก็ฟาดฟันใส่อกของเหยียนเต้าหลิน
เปรี้ยง!
ร่างของซูอี้ถอยร่นไปหลายสิบจั้ง
กระดูกไหล่ของเขาแตก โลหิตทะลักริน ใบหน้าซีดเล็กน้อย
ทว่าขณะเดียวกัน ที่อกของเหยียนเต้าหลินก็ถูกดาบผ่าเป็นรอยแผลโชกเลือดบนผิวกายดุจทองเทวะหลอม
และจากนั้นทั้งสองก็พุ่งเข้าใส่กันอีกหน
ไม่มีผู้ใดกล่าววาจายืดเยื้อ สีหน้าของแต่ละคนต่างเยือกเย็น หาได้ใส่ใจบาดแผลบนร่างตนไม่ ทว่าอำนาจของทั้งคู่กลับยิ่งทรงพลังดุดันขึ้นอีก
ดุจภูเขาไฟสองลูกปะทะกัน!
ในเวลาต่อมา ศึกก็ยิ่งนองเลือด
ทว่าขณะเดียวกัน เหยียนเต้าหลินเองก็ต้องบาดเจ็บ บาดแผลประปรายตามร่างไม่แพ้กัน
ภาพนองเลือดอันโหดเหี้ยมนี้ทำให้ทุกผู้ล้วนตระหนกตกใจ
ทว่า ไม่ว่าจะเป็นซูอี้หรือเหยียนเต้าหลินก็ล้วนมิมีผู้ใดถอยแต่ต้นจนจบ!
ผัวะ!
ไม่นานนัก แขนขวาของเหยียนเต้าหลินก็พุ่งสู่เวหาดุจมังกรทะยาน หมัดของเขาขยี้แขนซ้ายของซูอี้อย่างดุดัน
ทว่าขณะเดียวกัน หนึ่งปราณดาบก็ปาดเข้าใส่เขา บาดแผลบนร่างฉีกขาด เลือดเนื้อกระเซ็นสาด
“แข็งแกร่งแท้ ขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงเช่นนี้ มองทั่วชั่วกาลยุคสมัย เกรงว่าคงมิอาจหาผู้ใดเทียบเจ้าได้”
เหยียนเต้าหลินรำพึง
เส้นผมของเขาสยายยุ่ง ทั่วร่างชุ่มเลือด สภาพอเนจอนาถ
ทว่าเขาดูมิได้สนใจ สายตาเขม้นมองนิ่ง พลังปราณในกายเดือดพล่านเช่นรุ้งทิพย์
“ถึงขั้นนี้แล้ว ซ่อนไปก็เท่านั้น ขอดูหน่อยว่าเจ้าในยามเข้าสู่ขอบเขตจุติสรวงครึ่งก้าวจะแข็งแกร่งเพียงใด”
ไกลออกไป เมื่อซูอี้กล่าวเช่นนี้ เขาก็ย่างเท้าสู่เวหาแล้ว
อาภรณ์ของเขาเองก็เปรอะโลหิต ร่างเต็มไปด้วยบาดแผล แขนขวาแหลกสลาย
ทว่าสีหน้าของเขากลับเยือกเย็นเยี่ยงกาลก่อน ไร้การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทั้งสิ้น มีเพียงคู่เนตรลึกล้ำที่มีจิตต่อสู้ร้อนแรงพลุ่งพล่าน
“ได้สิ”
เหยียนเต้าหลินพยักหน้าน้อย ๆ และกล่าววาจาออกมาแผ่วเบา
แล้วพลังปราณทั่วร่างของเขาก็พลันแปรเปลี่ยน!!
………………..