บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 129 ผู้พเนจร ชั่วชีวิตพบเจอฝนตก
เม็ดฝนร่วงหล่นประหนึ่งน้ำตก
เลือดและร่างศพที่แตกกระจายในลานฝึกฝนถูกชะล้าง เม็ดฝนขนาดราวเมล็ดถั่วกระทบชายคา เกิดเป็นเสียงดังเปาะแปะ
ฝนที่ตกลงอย่างกะทันหัน มันราวชำระล้างความคิดผู้คน นำเอาความหมองหม่น หวาดเกรง และพรั่นพรึงไป ให้พวกเขาได้ซ่อนตัวท่ามกลางเม็ดฝนที่พร่างพราย
กระทั่งผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย ยังอดบังเกิดความยินดีที่พายุฝนร่วงหล่นไม่ได้
โดยไม่รู้ตัว สายตาผู้คนมองไปยังร่างบนเวทียกสูง
บุรุษหนุ่มคนหนึ่งในชุดสีเขียวราวหยก ถือร่มกระดาษไว้ในมือ ยืนท่ามกลางเม็ดฝนที่หยาดหยดผ่านชายขอบของตัวร่ม ล้อมรอบโดยกลุ่มไอน้ำ เป็นผลให้ร่างสูงนั้นดูเลือนไปกับเม็ดฝนและหมอกความชื้น
เส้นผมยาวนั้นมัดมวยเอาไว้ด้านบน พร้อมปักด้วยปิ่นไม้ ประณีตและงดงาม ก้าวเดินลงยังเบื้องล่าง แม้ท่ามกลางฝนตกหนามืดครึ้มเช่นนี้ เขาก็ยังคงสงบเหมือนเช่นเคย
‘วิเศษนัก พี่ซูมีสายตากว้างไกล บอกให้ข้าพกร่มมาด้วยสองคันยามออกมายังภายนอก…’ หวงเฉียนจวินถือร่มในมือ ในใจกล่าวคำชื่นชม
พบเห็นซูอี้ก้าวเดินมาทางนี้ก้าวแล้วก้าวเล่า หัวใจของผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายเกิดว้าวุ่นไปครู่หนึ่ง
“เขาคิดทำอะไร หรือต้องการสังหารผู้ใดอีก?”
“ไม่ดีแล้ว…”
“ถอยดีหรือไม่?”
“ผู้ใดกล้าก้าวเท้า? ไม่เห็นความตายฉินเฟิงหรืออย่างไร?”
…ผู้คนพูดคุยต่อกันด้วยเสียงอันแผ่วเบา ท่าทีตื่นระวังและหวาดหวั่น
ในสายตาพวกเขา ซูอี้ยามนี้คือมือสังหารผู้ไร้ใครเทียบเปรียบ ชวนสะพรึงเกินกว่าจินตนาการจะคาดคิดได้
“มั่นใจหรือว่าไม่คิดล้างแค้น?”
ซูอี้หยุดเท้า หันมองกลุ่มคนที่อยู่ห่างไกลออกไปนับสิบจั้ง
พวกเขาเหล่านี้คือเหล่าบิดามารดาและผู้อาวุโสของเฉียนอวิ๋นจิว ฮัวหลงและคณะคนอื่นที่ซูอี้เคยสังหารบนชั้นเก้าของภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์
เผชิญหน้าคำถามของซูอี้ พวกเขาเงียบงัน ค้อมศีรษะลง ราวไม่กล้าแม้มองซูอี้
“ภายหน้าคิดล้างแค้นนั้นกระทำได้ แต่หากถึงเวลานั้น ตระกูลและมิตรสหายที่เกี่ยวข้องกับพวกเจ้าล้วนต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกัน”
ถ้อยคำของซูอี้เป็นผลให้ผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้หัวใจดิ่งถึงจนถึงก้นบึ้ง
พวกเขาพลันได้ตระหนักสิ่งที่ซูอี้กล่าวต่อฉินเหวินเยวียนก่อนหน้านี้ ‘ด้วยความตายพวกเจ้าสองพ่อลูก คือเชือดไก่ให้ลิงดู’
“นายน้อยจาง”
ขณะซูอี้คิดจะกลับ สายตาเขาพลันมองไปยังจางเยวี่ยนซิง รอยยิ้มปรากฏที่มุมปาก “เจ้าเคยเอ่ยกับข้าว่า เจ้าจะใช้กำลังที่มีส่งข้าขึ้นสู่เหนือเมฆ เอาล่ะ วันนี้เราเจอกันอีกครั้ง เจ้าคิดใช้โอกาสนี้ชักชวนข้าอีกทีหรือไม่?”
จางเยวี่ยนซิงชะงักงัน ร่างกายสั่นเทา ถ้อยคำเร่งร้อนกล่าว “คุณชายซูอย่าได้เข้าใจข้าผิดไป มันเป็นเพียงคำพูดขำขันของข้าเท่านั้น ไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจัง หากท่านถือเป็นการยั่วยุ เช่นนั้นข้าขออภัยที่ตรงนี้”
สิ้นคำ เขาโค้งกายจนสุดตัว ด้วยกายอันสั่นเทิ้ม
ตัวเขายามนี้หวาดเกรงเพราะเรื่องข้อพิพาทที่สำนักแพทย์ซิ่งหวงในเมืองกว่างหลิง หวาดเกรงจะถูกล้างแค้น
“ในเมื่อขออภัย ก็ควรแสดงความจริงใจ เหตุใดไม่คุกเข่าให้คุณชายซูเสีย!”
ชั่วขณะนี้ จางจือเหยียนเอ่ยคำขึ้นราวมีโทสะ
เขาถึงขนาดตื่นตระหนก แม้ไม่ทราบว่าบุตรชายตนเองหาเรื่องใดซูอี้เอาไว้ ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาเหมาะจะกล่าวถาม เรื่องสำคัญยามนี้คือต้องเร่งรีบขออภัย!
“นี่…”
จางเยวี่ยนซิงลังเลที่จะคุกเข่า?
หากเขาคุกเข่าลง เช่นนั้นภายหน้าจะทำตัวเช่นไร?
ตู้ม!
ชั่วอึดใจ ตัวเขาถูกจางจือเหยียนทุบลงกับพื้น เข่าคุกลงกับพื้นที่เปียกน้ำ กระทั่งศีรษะยังถูกจางจือเหยียนกดลง อย่างที่ไม่อาจเงยหน้า
ความรู้สึกถูกหยามเหยียดอันยากบรรยายเอ่อล้นในใจจางเยวี่ยนซิง
จางจือเหยียนประสานฝ่ามือกล่าวขออภัยต่อซูอี้ “คุณชายซู ตระกูลจางของข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายใดต่อท่าน! ความผิดพลาดของบุตรชายข้าอาจไม่ควรให้อภัย แต่ขอความกรุณา เมตตาแม้สักนิด ละเว้นบุตรชายเลี้ยงเสียข้าวสุกของข้าด้วย”
หลังกล่าวคำ เขาจึงโค้งศีรษะน้อมคำนับเช่นกัน
พบเห็นเรื่องราว ผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นในที่นี้ต่างหวั่นใจ
ผู้นำตระกูลจางถึงกับจริงจังค้อมศีรษะให้!
ชั่วเวลานี้ จางเยวี่ยนซิงชะงักงัน หัวใจเกิดบีบรัด ทั้งยังสับสน แตกตื่น และโศกเศร้าอย่างรุนแรงอย่างที่ตัวเขาเองไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน
ในหัวใจเขา บิดาเปรียบเสมือนขุนเขาใหญ่เทียมฟ้า
เขาไม่เคยนึกคิดจนถึงขณะนี้ ว่าขุนเขาใหญ่นั้นจะโค้งศีรษะลงต่ำเพียงนี้ได้
ซูอี้เมินเฉยสองพ่อลูก โบกมือเรียกหวงเฉียนจวินที่อยู่ไม่ไกล ตระเตรียมคิดจากไป
ทันใดนี้เอง เสียงฝีเท้าของม้าฝูงหนึ่งดังปรากฏจากภายนอกลานฝึกฝน
ไม่ช้าจึงปรากฏโจวจือหลี ชิงจิน จางตั้วและคณะคนที่ควบม้าเข้ามา
ยามได้พบเห็นแอ่งเลือดบนพื้นที่ซึ่งหลงเหลือในลานฝึกฝน รวมถึงร่างของฉินเหวินเยวียนและบุตรชายที่นอนนิ่งกับพื้น มีหรือพวกเขาจะไม่ทราบว่าเกิดเรื่องราวใดขึ้น?
“คุณชายซูเป็นอะไรหรือไม่?”
โจวจือหลีหาได้สนใจอื่นใด ชั่วพริบตามุ่งเข้ามาสอบถาม ความกังวลปรากฏชัดผ่านระหว่างคิ้ว
ซูอี้ตอบรับโดยไม่แปรเปลี่ยนสีหน้า “คิดว่าข้าจะเป็นอะไรงั้นหรือ?”
โจวจือหลีเผยสีหน้าชะงักงัน ก่อนจะถอนหายใจโล่งอกและกล่าว “วิเศษแล้ว ยามได้ทราบเรื่องราว ข้าเร่งรีบเดินทางมา ไม่นึกว่าสายเกินไปก้าวหนึ่ง โชคดีที่คุณชายซูปลอดภัย หากไม่แล้วข้าคงได้ชะล้างจวนผู้ว่าการด้วยเลือด!”
ถ้อยคำเหล่านี้ แสดงชัดซึ่งอำนาจที่มี
หลายผู้คนที่นี้ชะงักงัน อีกฝ่ายเป็นผู้ใด ถึงขนาดเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้เสียงดัง!
เพียงไม่ช้า…
หยวนอู่ทง จางจือเหยียน รวมถึงผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นแห่งมหานครอวิ๋นเหอ ที่ทราบชัดถึงตัวตนโจวจือหลีจึงเข้ามาพร้อมใจคำนับ
“คำนับฝ่าบาทองค์ชายหก!”
“คำนับฝ่าบาทองค์ชายหก!”
“คำนับฝ่าบาทองค์ชายหก!”
นามเรียกขานอันน่าเกรงขาม สถานที่กลายเป็นเงียบงัน ผู้คนต่างนิ่งค้าง พวกเขาราวกับไม่ทราบว่าจะประหลาดใจกว่านี้ได้เช่นไร
ภายในพื้นที่ของต้าโจว ผู้ใดได้รับเกียรติเรียกขานเป็น ‘องค์ชายหก’ นั่นย่อมมีเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือบุตรชายลำดับที่หกแห่งจักรพรรดิต้าโจว!
ฐานะอันทรงเกียรตินี้ ไม่มีคำบรรยายใดต้องกล่าวอีก
โจวจือหลีโบกมือ พร้อมส่งกล่าวบอกผู้ยิ่งใหญ่ตรงหน้าว่าไม่ต้องมากพิธี
ท่าทีเขาเกิดละอาย กระทั่งถอนหายใจ “คุณชายซูมีบุญคุณกับข้าล้นเหลือ กระนั้นตัวข้ากลับไม่อาจช่วยเหลือ ทำเอาข้านึกละอายยิ่งนัก”
ถ้อยคำดังปรากฏ เป็นผลให้จางจือเหยียนและผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นต่างแข็งค้าง
ชั่วพริบตาพวกเขาค่อยได้ตระหนักถึงความชวนสะพรึงของซูอี้ขึ้นไปอีกระดับชั้น กระทั่งองค์ชายหกยังต้องนอบน้อมต่ออีกฝ่าย ทั้งยังติดค้างบุญคุณ!
เรื่องประหลาดใจครั้งนี้ ทำเอาสายตาที่พวกเขามองซูอี้ยิ่งแปรเปลี่ยน
“ผู้น้อยมู่คำนับคุณชายซู”
มู่จงถิงก้าวเดินออกมา พร้อมโค้งศีรษะ
ซูอี้พยักหน้าตอบรับ ก่อนจะกล่าวคำกับโจวจือหลี “หากคิดอยากช่วย เพียงทำความสะอาดความวุ่นวายที่นี่ก็พอ”
หลังกล่าวคำ เขาจึงถือร่มกระดาษของตน ก้าวเดินไกลห่างออกไป
เรื่องราวคลี่คลายแล้ว ตัวเขาคร้านจะอยู่ต่อ
หวงเฉียนจวินเร่งรีบติดตามไป
พบเห็นหยวนลั่วซีคิดไล่ตามไป หยวนอู่ทงคว้าไหล่นางไว้พร้อมกล่าวตำหนิ “เจ้าเป็นวิญญาณเกาะติดหรือไร?”
หยวนลั่วซีบุ้ยปากไม่กล่าวคำตอบ
พบเห็นร่างซูอี้เดินไปไกลแล้ว จนแทบจะเลือนหายท่ามกลางฝนที่ตกหนัก โจวจือหลีจึงตะโกนเสียงดัง “คุณชายซูวางใจ ข้ารับปากจะไม่ทำท่านผิดหวัง!”
“ข้าเคยบอกไว้แล้ว เจ้าอย่าได้นึกฝันโยนหินหนึ่งก้อนสังหารนกสองตัว ขณะนี้เข้าใจหรือยัง?”
ชิงจินกล่าวเสียงเบา
นางมองยังทิศทางที่ซูอี้เดินจากไปด้วยดวงตาอันกระจ่างประหนึ่งคมมีด ความรู้สึกว้าวุ่นที่เคยมียิ่งเกาะกินใจหนักหน่วง
อีกฝ่ายไม่แม้มองตนเองด้วยซ้ำ!
หรือเขาขีดเส้นแบ่งชัดเจนกับตนเรียบร้อยแล้ว?
คิดได้ดังนี้ ร่องรอยความอับจนจึงปรากฏที่ริมฝีปากนั้น
ก็สมควรเป็นเช่นนั้น ในสายตาอีกฝ่าย ผู้อื่นเป็นได้เพียงคนรับใช้คอยเก็บกวาด ในเมื่อนางปฏิเสธเขาไปแล้ว เขาก็ย่อมไม่คิดห่วงหาอื่นใดมากความอีก…
ดวงตาโจวจือหลีเผยความหนักแน่น “ท่านอา หลังเรื่องราวครั้งนี้ ข้าได้ตระหนักเรื่องราวหนึ่ง ต่อให้ฉินเหวินเยวียนรวมกันเป็นสิบ ก็ไม่อาจเทียบเท่าคุณชายซูเพียงผู้เดียว!”
ชิงจินเงียบงันไป
นางมองยังร่างศพนองเลือดในพื้นที่ลานฝึกฝน ขณะครุ่นคิดว่าซูอี้นั้นไร้ร่องรอยขีดข่วน ในใจก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความประหลาดใจขึ้น
“ขอบังอาจถามฝ่าบาทองค์ชายหก เรื่องราววันนี้คลี่คลายเช่นไรดี?”
จางจือเหยียนเอ่ยถามเสียงเบา
“ให้ผู้ว่าการมู่จัดการไป ตัวข้ามีเพียงคำขอเดียว เรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนี้ต้องไม่แพร่งพรายออกไป”
ยามโจวจือหลีกล่าวบอกออกไป สายตาเขามองยังผู้อื่นที่นี้พร้อมกล่าวคำ “หากเรื่องราวนี้หลุดรั่วออกไป ข้าจะไปสอบถามพวกเจ้ารายคน!”
หัวใจของผู้อื่นที่นี้ต่างสะท้าน
เรื่องราวในลานฝึกฝนวันนี้ร้ายแรงหนักหนา มันอาจปิดซ่อนจากคนชนชั้นทั่วไปของเขตปกครองอวิ๋นเหอ กระนั้นไม่มีทางปิดบังจากตระกูลใหญ่ทรงอำนาจทั้งหลายได้!
แน่นอนว่า โจวจือหลีทราบเรื่องราวนี้ดี เพียงต้องการสะสางให้เรื่องราวดูเรียบร้อยที่สุด
“การช่วยตามล้างเช็ดทุกครั้งคราว และการช่วยเหลืออีกหลายรูปแบบหลายครั้งเช่นนี้ เขาคงไม่เมินเฉยต่อมิตรภาพกระมัง?”
โจวจือหลีพึมพำ
…
ฝนเริ่มตกบางตาลง จนกระทั่งเหลือเพียงละอองฝนที่โปรยปราย
ละอองฝนยังคงปกคลุมบ้านเรือนในมหานครอวิ๋นเหอ ช่วยเพิ่มความงดงามอย่างเป็นธรรมชาติ
ภายในรถม้า ซูอี้จับจ้องดาบบงการฟ้าดินตรงหน้า
ด้วยพลังของบัญญัติคว้าล้ำลึกก่อนหน้านี้ มันจึงจับเอาพลังฝนในเมฆมาใช้งาน แต่ก็ต้องแลกกับบัญญัติที่แกะสลักคว้าลึกล้ำเอาไว้หมองหม่นลง
“ใช้ได้อีกเก้าครั้ง…”
ซูอี้ตัดสินใจ
บัญญัตินี้แตกต่างไปจากอักขระแกะสลักทั่วไป ยามที่สร้างขึ้นเป็นดาบ มันต้องใช้แก่นเลือดเป็นตัวชี้นำ ยามที่ร่างต้นของดาบก่อเกิด มันจึงต้องผสานวิญญาณดาบเข้าไปด้วย
เมื่อใช้งานหมดสิ้น มันก็ไม่อาจซ่อมแซมได้
กระนั้น ซูอี้กลับไม่คิดสนใจ
ในสายตาเขา บัญญัติถือเป็นพลังภายนอกจากฟ้าดิน มีเพียงพละกำลังของตัวเองจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด!
จนกระทั่งกลับถึงตรอกน้ำเต้า
พบเห็นซูอี้และหวงเฉียนจวินกลับมาโดยปลอดภัย เฉิงอู้หย่งและเฝิงเสี่ยวเฟิงที่รอคอยในเรือนเงียบสุขสงบ ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจโล่งอก พร้อมยิ้มแย้มกล่าวทักทาย
ซูอี้สนทนาด้วยตามปกติ ก่อนจะกลับห้องของตนไป
ราวกับการที่ไปยังลานฝึกฝนเตาหลอมขจีเพื่อกำจัดภัยอันตรายซ่อนเร้นนั้นไม่ควรค่าให้กล่าวถึงแม้แต่น้อย
หวงเฉียนจวินถูกเฉิงอู้หย่งรั้งเอาไว้ เพื่อสอบถามถึงรายละเอียดเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ที่ภายในห้อง
ซูอี้ยืนตรงหน้าโต๊ะบริเวณใกล้หน้าต่าง สายตามองจับจ้องยังดอกไม้และต้นไม้ท่ามกลางละอองน้ำฝนที่ภายนอก
สำหรับตัวเขา การเกิดใหม่หมายความถึงตัวตนใหม่ และการเดินทางครั้งใหม่
กระนั้นนับตั้งแต่เริ่มจนถึงบัดนี้ ตัวเขาผู้หวนคืนกลับมาเกิดใหม่ไฉนไม่รู้สึกว่าตัวเองเคยเข้าสู่กระบวนการวัฏสงสาร
มันราวกับเดินทางท่องไปตามหมู่ดาว และผ่านมายังที่นี่
“หวนคืนสู่สวรรค์และปฐพี ก็ถือเป็นการเดินทาง”
ซูอี้พึมพำอยู่ภายในใจตนเอง
ที่ลานบ้านภายนอกหน้าต่าง เสียงพูดคุยของหวงเฉียนจวินดังให้ได้ยิน ผสมกับคำพูดกล่าวของเฉิงอู้หย่งและเฝิงเสี่ยวเฟิงกับน้องสาวที่กล่าวถามด้วยความประหลาดใจ
ซูอี้ยิ้มบาง ก่อนจะดึงความคิดกลับ
เขากางแผ่นกระดาษสีขาวลงกับโต๊ะ หยิบพู่กันจุ่มน้ำหมึก และจึงเริ่มตวัดลงไป
‘ตัวข้าเดินทางในโลกหล้า หนึ่งดาบ ละอองฝน ทั้งชีวิตดำเนินไป’
ถ้อยคำล้ำลึกดังมวลเมฆและสายน้ำ กลิ่นอายอำนาจลึกลับแผ่ออกจากกระดาษ บรรยากาศอันยิ่งใหญ่และเลิศล้ำอัดแน่นในถ้อยคำ
ฝนพร่างพรายภายนอกหน้าต่างหมองมัวประหนึ่งหมอก
ซูอี้หันกายเดินออกจากห้อง พลางถามด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์น้องเฟิง เร่งรีบนำเอาสุราที่ดีออกมาได้แล้ว!”