บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1290: ชนะ!
ตอนที่ 1290: ชนะ!
เผาหยกพร้อมศิลา!
ปรากฏว่าเจ้าหอเก้าสวรรค์ยามนี้เลือกสู้จนตัวตาย
แม้จะเป็นเพียงร่างอวตาร ทว่าวิธีการก็ยังคงโหดร้ายและเด็ดเดี่ยวเสียจนน่ากลัว
เว่ยซาน เมิ่งฉางอวิ๋นและคนอื่น ๆ ล้วนหน้าเปลี่ยนสี น้ำตาไหลริน
ภายใต้ท้องนภา ร่างของเหยียนเต้าหลินราวกับถูกแผดเผา มันแผ่อำนาจทำลายล้างรุนแรง
เห็นได้ชัดว่าเขาใช้เคล็ดวิชาต้องห้ามบางอย่าง ทำให้อำนาจที่แสดงในครานี้ของเขาเหนือล้ำกว่าจินตนาการ
น่านฟ้าถิ่นนั้นดูบิดเบี้ยวมอดไหม้
และก่อนที่จะเข้าไปประชิดซูอี้ ห้านิ้วของเขาก็วูบไหวดุจเทพผนึกประทับตรา ก่อนจะฟาดเข้าใส่ซูอี้กลางอากาศ
ตู้ม!
ตราประทับหมัดอันเจิดจรัสกู่คำรามเยี่ยงตะวันแรกฉาย สาดแสงไร้คู่เทียบ เสียดแทงดวงตาทุกคู่จนไม่อาจลืมขึ้นได้
ร้ายกาจ!
วิญญาณของทุกผู้ที่มองอยู่ไกล ๆ ล้วนรวดร้าวอย่างสาหัส
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือการโจมตีเผาหยกพร้อมศิลา เป็นการกระทำสิ้นหวังที่เผาไหม้วิถีเต๋าของตน ทุ่มเททุกสิ่งสิ้น!
ภายใต้ท้องนภา ร่างของซูอี้พลันสะท้อนแสงอันไร้สิ้นสุดดุจวังวน สูบพิรุณแสงในบริเวณใกล้เคียงหายเรียบในพริบตา
ขณะเดียวกัน ฝ่ามือของเขาก็เกร็งเยี่ยงดาบ และฟาดฟันไปบนเวหา
หนึ่งปราณดาบปรากฏขึ้นฝืนรอยประทับหมัดนั้นไว้ มันเรียบง่ายและตรงไปตรงมา ดูราวกับคมดาบจากสวรรค์ทะยานลงจากฟากฟ้า อำนาจกดดันร้ายแรงประหนึ่งพร้อมที่จะบดขยี้ทุกสิ่ง
เปรี้ยง!!!
หนึ่งเสียงคำรามสะท้านทั่วแดนดิน
รอยหมัดสะเทือนสั่นระริก จากนั้นก็แหลกสลายกลายเป็นเพลิงแสง
ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
ผู้ฝึกตนใด ๆ ในโลกหล้าควรจะอ่อนแอที่สุดยามเพิ่งเคลื่อนขอบเขตมหาวิถี ทว่าทัศนาจารย์ไม่ใช่เช่นนั้น และวิถีเต๋าที่เขาบรรลุก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าก่อนไม่รู้เท่าไร
หนึ่งดาบในมือ สลายการโจมตีอย่างสิ้นหวังของเขาไม่เหลือซาก!
“หยุดไว้ได้แล้ว!”
เว่ยซานและเมิ่งฉางอวิ๋นล้วนโล่งใจ และตื่นเต้นเสียจนแทบเสียอาการ
เมื่อครู่นี้ พวกเขาเกือบสงสัยแล้วว่าซูอี้จะมีอันเป็นไป
“การเผาหยกพร้อมศิลา พวกมันก็ควรมีค่าเท่าเทียมกัน และหากเจ้าบอกว่านี่คือการโจมตีปิดศึก มันก็ควรเรียกว่าเป็นตั๊กแตนเขย่าต้นไม้ใหญ่เสียมากกว่า”
ซูอี้เสสรวลพลางยืดเส้นอยู่พักใหญ่
เปรี้ยง!
ในร่างของเขาดูจะมีเสียงคำรามนับหมื่นอัดแน่น อำนาจมหาวิถีแผ่พุ่งเดือดพล่าน ส่งผลให้ร่างของเขาเจิดจรัส แสงวิถีดุจภาพฝันอ้อยอิ่งวูบไหวรอบกาย
ยามนี้ เขาสร้างพื้นฐานมหาวิถีในขอบเขตคืนสู่สามัญเสร็จสิ้นแล้ว
ไม่เพียงแขนซ้ายที่แหลกไปจะคืนสภาพ แต่บาดแผลบนร่างทั้งหลายของเขาก็หายไปแล้ว
อำนาจที่แผ่จากร่างของเขาดูประหนึ่งนภาครามยามบรรพกาล เพียงพอที่จะสะท้านทั่วจักรดารา พลิกสลับเก้าสวรรค์ทศทิศทั่วพิภพ!
สำหรับซูอี้ผู้เวียนวัฏฝึกฝนใหม่ การฝึกฝนของเขาข้ามผ่านหนึ่งขอบเขตใหญ่ และการแปรเปลี่ยนนี้ก็เกินเทียบกับตัวตนในขอบเขตเดียวกันมากนัก!
เหมือนเช่นครานี้ แม้อาภรณ์ของเขาจะขาดวิ่นชุ่มเลือด แต่อำนาจของเขากลับต่างจากกาลก่อนเป็นคนละคน
“ข้าไม่คิดจริง ๆ ว่าเจ้าจะพลิกสถานการณ์ด้วยการข้ามภัยพิบัติได้”
เหยียนเต้าหลินรำพึงมาจากไกล ๆ
ร่างของเขาแผดเผาบ้าคลั่ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลังใช้เคล็ดวิชาเผาหยกพร้อมศิลา ร่างอวตารของเขาก็เหลือเวลาไม่มากนัก
“งั้นเจ้าคิดว่าวันนี้สาแก่ใจหรือไม่?”
ซูอี้ก้าวเข้ามาหา
แววตาของเหยียนเต้าหลินดูคลุมเครือ “เจ้าคิดว่าข้ายังหัวเราะออกหรือไร? ทว่าข้าก็อยากจะใช้เวลาที่เหลืออยู่นี้พยายามมองให้ออกเช่นกันว่าวิถีที่เจ้าเลือกนั้นจะแข็งแกร่งสักเพียงไร”
ท้ายที่สุดแล้ว ความหม่นหมองบนใบหน้าของเขาก็เลือนหาย กลับสู่สภาวะสุขุมมุ่งมั่น
ซูอี้เงยขึ้นมองท้องนภาแล้วหัวเราะร่า
ร่างของเขาวูบไหวเล็กน้อย ก่อนจะกำหมัดชิงโจมตี
หมัดนี้ดูราวกับหนึ่งดาบ ควบคุมดุจใจสั่ง แข็งแกร่งเลิศล้ำ
เหยียนเต้าหลินเองก็เหวี่ยงหมัดทรงพลังเข้าใส่
ร่างของเขาเปี่ยมพลังแผดเผา เลิศล้ำทรงพลังห่างไกลเกินกาลก่อน
ทว่าเพียงพริบตา ร่างของเหยียนเต้าหลินก็ถูกซัดกระเด็นไปหลายร้อยลี้ สร้างรอยแยกบนพื้นเป็นทางยาว
แขนขวาของเขาถูกแรงกระแทกป่นแหลก เลือดเนื้อกระจัดกระจาย
“แข็งแกร่งยิ่ง!”
เมิ่งฉางอวิ๋นเหม่อค้าง ตะลึงใจลอย
ยามนี้ ใต้เท้าทัศนาจารย์แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง สูงส่งห่างเหินราวเทพเซียน อำนาจต่อสู้ครองสวรรค์สยบแดน!
“โหดกว่าตอนนายน้อยสมบูรณ์พร้อมอีก!”
เว่ยซานพึมพำ
ในโลกหล้าทุกวันนี้ เขาคือหนึ่งในผู้ที่คุ้นเคยกับทัศนาจารย์ที่สุด และมองปราดเดียวก็เห็นได้ว่าซูอี้ขณะนี้แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าทัศนาจารย์ยามสมบูรณ์พร้อม!
‘เจ้าหอเอ๋ยเจ้าหอ เจ้าเคยถามข้าว่าร่างเวียนวัฏแห่งทัศนาจารย์เป็นคนอย่างไร ยามนี้เข้าใจแล้วหรือไม่?’
ยมบาลพึมพำในใจ
“เหตุใดกัน…”
หลูอวิ๋นผู้บวงสรวงสวรรค์แห่งหอเก้าสวรรค์ดูซีดเซียว ดวงตาของเขาในยามนี้สิ้นหวัง
ขณะเดียวกัน สีหน้าของเหยียนเต้าหลินแปรเปลี่ยนล้ำลึกเยี่ยงท้องสมุทร และขณะนั้นเขาก็อดอ้าปากค้างไม่ได้ สีหน้าเคร่งขรึมยิ่งกว่าหนใด
“หมัดนี้เป็นเช่นไรบ้าง?”
ซูอี้ถาม
มุมปากของเหยียนเต้าหลินกระตุก
การวางตนและวาจาของซูอี้ขณะนี้ เหมือนยามเขาใช้พลังย่างแรกขอบเขตจุติสรวงสยบซูอี้เมื่อกาลก่อนไม่ผิด
“เทียบกับขอบเขตจุติสรวงแท้จริงแล้วก็ยังห่างไกลอยู่ดี”
เหยียนเต้าหลินกล่าวอย่างมีโทสะ
เขาใช้มือซ้ายชิงออกหมัดโดยไม่สะทกสะท้าน ทวีความแข็งแกร่งมากขึ้นทุกขณะ
ฝ่ามือของซูอี้เป็นดุจดาบกวาดผ่านนภา
ตู้ม!
เหยียนเต้าหลินปลิวละลิ่วเยี่ยงว่าวสายป่านขาด ร่างของเขาร้าวลึกถึงกระดูก
“ข้าไม่รู้หรอกว่าวิถีจุติสรวงที่แท้จริงแข็งแกร่งเพียงใด แต่สักวัน หากร่างจริงของเจ้าเหยียบย่างไปถึง ข้าจะเหยียบย่ำมันให้อยู่ใต้เท้าข้า!”
ดวงตาของซูอี้ลึกล้ำ วาจาราบเรียบ ทว่าเขากลับรู้สึกเหมือนจับจ้องไปยังสรวงสวรรค์
“เฮอะ อย่าทำพูดดีไปหน่อยเลย เจ้าก็แค่ขอบเขตคืนสู่สามัญ ไม่มีทางเข้าถึงขอบเขตจุติสรวงก่อนข้าหรอก”
บาดแผลของเหยียนเต้าหลินสาหัสยิ่ง แทบไม่อาจคงร่างไหว ทว่าเขากลับเสวนาหัวเราะอย่างอิสระราวกับไม่ใส่ใจบาดแผลบนร่างเลย
“และคาดการณ์ได้ว่าผู้เหยียบย่างสู่วิถีจุติสรวงจะบังเกิดตาม ๆ กันในไม่ช้า และถึงยามนั้น เจ้าก็ทำได้เพียงรอวาสนาต่อไป”
น้ำเสียงของเขายังคงสุขุมเช่นกาลก่อน
“โลกนี้ช่างน่าสนใจ หากมันยังเป็นเหมือนเก่า ข้าก็ไม่ต้องเวียนวัฏฝึกฝนใหม่ก็ขยี้โลกนี้ด้วยหนึ่งดาบได้”
ซูอี้แย้มยิ้ม “กล่าวตามตรง ข้าตั้งตารอให้ร่างจริงของเจ้ารอดไปจนเข้าสู่ขอบเขตจุติสรวงได้ ข้าบอกเฒ่าจมูกโคเติ้งจั๋วไปแบบเดียวกัน”
เหยียนเต้าหลินนิ่งเงียบ แววตาเจือความชื่นชมเล็กน้อย
ครู่ต่อมา เขาก็กล่าวว่า “ในด้านความหาญกล้า ข้าด้อยกว่าเจ้าจริง ๆ และข้าก็อยากรู้เช่นกันว่ายามข้าเข้าสู่วิถีจุติสรวง เจ้าจะเหยียบย่ำข้าใต้ฝ่าเท้าได้จริง ๆ หรือไม่!”
เสียงยังไม่ทันขาดหาย เหยียนเต้าหลินก็โจมตีอีกครั้ง
ไร้ปรานีและเด็ดเดี่ยว เฉยชาต่อความเป็นความตาย ทำให้ทุกคนตกตะลึง หัวใจปั่นป่วน
นี่คือเจ้าหอเก้าสวรรค์ และเขาไม่ได้เป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่สูงสุดแห่งจักรวาลพร่างดาวได้โดยโชคช่วย
“เดินทางดี ๆ ข้าไม่ส่งนะ”
แขนเสื้อซูอี้โบกสะบัดเคลื่อนเวหา
เปรี้ยง!!
ภาวะดาบเกินใดเทียบทะยานกวาดแปดทิศเยี่ยงรุ้งทิพย์ และยามมันกระแทกเข้าสู่ร่างเหยียนเต้าหลิน อวตารวิถีซึ่งผุพังอยู่แล้วของอีกฝ่ายก็แหลกสลาย
ถูกทำลายโดยสมบูรณ์!
ผู้ชมต่างเงียบสงัด
โลกหล้าอันปั่นป่วนคุกรุ่นด้วยฝุ่นควัน
ทั่วบริเวณใกล้เคียงพังถล่มแหลกสลาย ผืนปฐพีแตกร้าวมิเหลือดี
เหนือท้องนภา แสงสวรรค์สายหนึ่งพร่างพรมลงมาบนร่างสูงใหญ่ของซูอี้ ทำให้เขาเป็นจุดรวมสายตาเดียวทั่วฟ้าดิน
ชนะ!
ในการประมือหนนี้ ทั้งซูอี้และเหยียนเต้าหลินต่างไม่ใช้วัตถุภายนอกใด ๆ
เมื่อเขาจนมุมสิ้นหวัง ซูอี้ก็เลือกข้ามขอบเขตเคลื่อนวิถี
ส่วนเหยียนเต้าหลินเลือกสู้จนตัวตาย
นับแต่ต้นจนจบ ไม่มีผู้ใดผิดวาจาใช้สมบัติอันแข็งแกร่งร้ายกาจหรือไพ่ตายใด ๆ
นี่คือการประลองวิถีอย่างแท้จริง!
ใช้เพียงความสำเร็จมหาวิถีของแต่ละคนตัดสินแพ้ชนะ ชี้ชัดระหว่างทั้งสอง!
กระทั่งเว่ยซาน เมิ่งฉางอวิ๋นและคนอื่น ๆ ยังมิอาจปรามาสเหยียนเต้าหลินได้ง่ายดาย
และกระทั่งผู้บวงสรวงสวรรค์หลูอวิ๋นก็ไม่อาจกล่าวโทษใด ๆ ต่อซูอี้ได้!
“หากเรื่องของศึกนี้แพร่ออกไป มันจะสร้างเสียงฮือฮาในโลกหล้าได้ เหมือนเช่นที่ข้าพูดไว้ว่ามันจะโด่งดังในประวัติศาสตร์ เล่าขานจากรุ่นสู่รุ่นต่อ ๆ ไป”
เว่ยซานรำพึง แย้มยิ้มสว่างไสวด้วยยินดี
“ผู้อาวุโสกล่าวไว้ถูกต้องยิ่ง”
เมิ่งฉางอวิ๋นก็เห็นเช่นนั้น
ยมบาลสาวมองร่างสูงใหญ่ยืนท่ามกลางม่านนภาอย่างเหม่อลอย หัวใจว้าวุ่นอย่างบอกไม่ถูก
คนผู้เคยอยู่ในรุ่นเดียวกัน จู่ ๆ ก็กลายเป็นทัศนาจารย์และผู้อาวุโสไปเสียแล้ว…
เป็นความรู้สึกที่จะยากจะเปลี่ยนเป็นวาจาได้
“ทัศนาจารย์… ไร้เทียมทานจริง ๆ หรือ?”
สีหน้าของหลูอวิ๋นมืดหม่น
ทว่าสุดท้าย เขาก็ยังแพ้พ่าย…
ทันใดนั้น จิตวิญญาณของหลูอวิ๋นพลันสั่นสะท้าน และเมื่อพบว่าซูอี้กำลังตรงเข้ามาหา เขาก็อดสะดุ้งไม่ได้ “แพ้ชนะตัดสินแล้ว ใต้เท้าทัศนาจารย์คิดจะทำสิ่งใด?”
ซูอี้แบมือ “สินสงคราม”
หลูอวิ๋นตื่นจากภวังค์ จากนั้นจึงรีบนำม้วนหยกออกมาส่งให้ด้วยสองมือ “โปรดรับไว้เถิด”
ก่อนสงคราม เหยียนเต้าหลินบอกไว้ว่าคำตอบของเรื่องที่ซูอี้ต้องการทราบถูกบันทึกในม้วนหยกนี้
ซูอี้เก็บม้วนหยกไป ก่อนจะเดินจากไป
“เจ้าเว่ยน้อย เฒ่าเมิ่ง ไปกันเถอะ”
เขาไพล่มือไว้เบื้องหลัง ก่อนจะเดินลับไปไกล
เว่ยซาน เมิ่งฉางอวิ๋น และยมบาลล้วนตามเขาไป
จนกระทั่งยามที่กลุ่มคนเหล่านั้นลับตาไป หลูอวิ๋นจึงถอนใจโล่งอก
เขาพึมพำในใจ “ว่าแล้วเชียว เจ้าหอกล่าวไว้ไม่ผิด ทัศนาจารย์นั้นรังเกียจที่จะขยายความแค้น ลากหอเก้าสวรรค์ที่เหลือเข้าพัวพัน”
และยอดฝีมือทั้งหลายผู้เป็นสักขีพยานในศึกนี้ล้วนหดหู่และหม่นหมอง
ขณะเดียวกัน ซูอี้ก็นั่งเอนกายสบายใจที่ท้ายเรือท้องแบน นำไหสุราออกดื่ม
ยามนี้เขาไม่อยากคิดถึงเรื่องอื่น นอกจากหาที่เงียบ ๆ มาเสริมความแข็งแกร่งให้กับวิถีเต๋าที่เพิ่งบรรลุขอบเขตใหม่เท่านั้น
เมิ่งฉางอวิ๋นขับเคลื่อนเรือท้องแบน
เว่ยซานและยมบาล คู่บิดาบุตรีคุยกันเสียงเบา
ณ เขตหวงห้ามเซียนละล่อง
ในโลกหล้าอันมืดมิดแห้งแล้งแห่งหนึ่ง
นาน ๆ หนจะปรากฏแสงเซียนสายหนึ่งเคลื่อนข้ามนภา สาดแสงเจิดจรัสยิ่งกว่าดาวตก
บนพื้น ข้างเนินที่ก่อจากกระดูก เหยียนเต้าหลินกำลังทำสมาธิเยียวยาบาดแผล
ก่อนหน้านี้ เขาเข้าต่อสู้อย่างดุเดือดกับฝูงวิญญาณอาสัญซึ่งคาดว่าจะอยู่ในวิถีจุติสรวงก่อนสิ้นใจ ทำให้เขาบาดเจ็บหนัก
‘อีกไม่นาน ไม่นานหรอก ข้าก็จะเหยียบย่างสู่วิถีจุติสรวงได้อย่างแท้จริง!’
เหยียนเต้าหลินกระซิบในใจ
ทันใดนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว กระอักโลหิตออกมาคำโต ใบหน้าของเขาพลันซีดขาว
สีหน้าของเขาดูเข้าใจได้ยาก ร่างสูงตะลึงนิ่งอยู่เนิ่นนาน ก่อนที่สุดท้ายจะแย้มยิ้มอย่างขมขื่น “ไม่คาดเลยว่าหลังจากทุ่มเทบากบั่นมานาน ข้าก็ยังพ่ายแพ้ให้แก่ร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์ในขอบเขตราชันแห่งภูมิอยู่ดี…”
………………..