บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1291: ตัวการและผู้สมรู้ร่วมคิด
ตอนที่ 1291: ตัวการและผู้สมรู้ร่วมคิด
ในป่าเขา
บนเขาแห่งหนึ่ง ครึ่งทางก่อนถึงยอด
ซูอี้นั่งทำสมาธิอยู่เงียบ ๆ ใต้ต้นสนโบราณอันเปี่ยมด้วยพลังชีวิต
เมื่อก้าวเข้าสู่ขอบเขตคืนสู่สามัญ วิถีแห่งชีพได้แปรเปลี่ยนอย่างสะเทือนแดนดิน
ถ้ำโกลาหลมหาวิถีในร่างของซูอี้แปรเปลี่ยนเป็นเตาหลอม ตั้งตรงประหนึ่งเตามารดาแห่งวิถี และดินแดนดึกดำบรรพ์ก็แปรเปลี่ยนเป็นสามขาหยั่งที่ค้ำเตาหลอมไว้เบื้องใต้
รากแห่งฟ้าดินซึ่งหยั่งรากในดินแดนดึกดำบรรพ์ปรากฏอยู่ในเตาหลอม
สารพัดกฎเกณฑ์มหาวิถีที่ซูอี้บรรลุล้วนถูกรวบรวมอยู่บนเตา เป็นดั่งลวดลายมหาวิถีอันยากหยั่งถึง
นอกจากนั้น อำนาจเลือดลมในกายของเขาก็เหมือนเป็นถ่านเติมฟืนไฟแก่เตาหลอม เจตจำนงและจิตวิญญาณล้วนแล้วแต่ผสานกันอยู่ในเตาเดียว
ดังคำกล่าวว่าหมื่นวิชาคืนสามัญ หมื่นวิถีคืนเหย้า มันก็คือการหลอมรวมพลังการฝึกฝน จิตวิญญาณและร่างวิถีเข้าสู่หนึ่งเตาหลอม สื่อถึงวิถีเต๋าและมรดกการฝึกฝนหลอมรวมในเตานี้
เตาหลอมมหาวิถีนี้ยังเป็นที่รู้จักในนามเตาหลอมจิต
ชีวิตคือเปลวเพลิงใต้เตา ตราบใดที่มิสิ้นเพลิง วิถีก็จะทอดยาวตลอดกาล
เพราะเหตุนี้ พื้นฐานและความแข็งแกร่งของราชันแห่งภูมิในขอบเขตคืนสู่สามัญจึงแบ่งตามคุณภาพของเตาหลอมมหาวิถีเป็นระดับขั้นต่างกันไป
ความแตกต่างในการสร้างเตาหลอมมหาวิถีเป็นตัวตัดสินความสามารถและความแข็งแกร่งของราชันแห่งภูมิในขอบเขตคืนสู่สามัญ
เตาหลอมมหาวิถีที่ซูอี้สร้างขึ้นนั้นพิเศษยิ่ง มีสามขาสองหู ปราณกำเนิดจักรวาลที่ปากเตาพวยพุ่ง และยังมีปราณมารดาฟ้าดินอยู่ในเตา ดูยิ่งใหญ่ราวบีบอัดจักรวาลไว้ภายใน
สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือรอบเตามีเคล็ดเวียนวัฏสงสารกระเพื่อมพริ้ว แสงเคลื่อนคล้อย สารพัดมหาวิถีและนิมิตต่าง ๆ ล้วนล้อมพิทักษ์รอบจารึกทรงดาบเล่มหนึ่ง
แม้ว่าจารึกรูปทรงดาบนี้จะเลือนรางพร่ามัว แต่เมื่อมองดี ๆ ก็จะสรุปได้ว่ามันเป็นภาพของดาบเก้าคุมขัง!
เพียงแค่ว่าในอักขระจารึกรูปดาบนี้ไร้ตรวนใด ๆ พันเกี่ยว
มันคือครรลองธรรมชาติที่แข็งแกร่งสามารถสยบทุกโลกหล้า ไม่อาจสั่นคลอนชั่วนิจนิรันดร์ ยิ่งใหญ่สูงส่งไร้ใดเทียบได้!
“จากมาตรฐานแห่งโลกหล้า เตาหลอมมหาวิถีของข้าไม่ใช่สิ่งที่สามารถคาดคะเนได้ แม้แต่เตาหลอมมหาวิถีซึ่งเลิศล้ำยากพบพานตลอดกาลนานยังด้อยชั้นกว่ามันอยู่สามส่วน”
ซูอี้สัมผัสตรวจสอบเตาหลอมมหาวิถีของเขาและอดสะเทือนใจมิได้
ระหว่างเก็บตัวทำสมาธิ ซูอี้ก็หล่อหลอมโอสถอย่างต่อเนื่อง
และไม่นาน เขาก็ตะลึงเมื่อพบว่าโอสถล้ำค่าระดับสูงสุดอย่างโอสถเทพมารดาเบิกวิญญาณนั้นไม่อาจเติมเต็มความต้องการการฝึกฝนของเขาได้อีกต่อไป
ในอดีตยามอยู่ในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยง โอสถเทพมารดาเบิกวิญญาณสิบเม็ดสามารถสนองความต้องการฝึกฝนในหนึ่งวันได้
ทว่า หลังจากเหยียบย่างสู่ขอบเขตคืนสู่สามัญ ก็เห็นได้ชัดว่าสรรพคุณของโอสถเทพมารดาเบิกวิญญาณไม่ประเสริฐเยี่ยงกาลก่อน แม้กลืนลงสักร้อยเม็ดก็ไม่อาจทำให้การฝึกฝนคืบหน้ามากนัก
ซูอี้พบปัญหาทันที
เตาหลอมมหาวิถีที่เขาสร้างนั้นประหลาดเกินไป มันเรียกได้ว่าเหมือนหลุมลึกไร้ก้นบึ้ง โอสถล้ำค่าเยี่ยงเทพมารดาเบิกวิญญาณยากจะบรรลุความต้องการฝึกฝนของเขาได้
ขณะครุ่นคิด ซูอี้ก็นำใบโอสถทิพย์จุติสรวงออกมา ปลิดใบออกมาหนึ่งใบและเริ่มปรุงโอสถ
ตู้ม!
เตาหลอมมหาวิถีพลันเดือดพล่าน คำรามสะท้านไหว พลังปราณรอบร่างถูกกระตุ้นตื่น ไหวเวียนสู่แขนขาและอวัยวะภายใน
อำนาจโอสถอันพลุ่งพล่านทำให้ทุกรูขุมขนของซูอี้ขาย ทั่วร่างถูกบำรุงเสริมแกร่ง
เนิ่นนานจนกระทั่งใบโอสถทิพย์จุติสรวงถูกปรุงเสร็จสิ้น การฝึกฝนในขอบเขตคืนสู่สามัญของเขาก็เสถียรสมบูรณ์!
“หรือจากนี้ไป จะมีเพียงวัตถุศักดิ์สิทธิ์หายากเยี่ยงโอสถทิพย์จุติสรวงที่เติมเต็มความต้องการฝึกตนของเราได้?”
ซูอี้ตะลึงงัน
ไม่ทราบว่าจะดีใจหรือปวดเศียรดี
นี่คือผลเสียของการที่มีพื้นฐานมหาวิถีแข็งแกร่งเกินไป
ดูเหมือนว่าสมบัติเยี่ยงโอสถเทพมารดาเบิกวิญญาณจะสามารถเติมเต็มการฝึกฝนราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดทั่วโลกหล้าได้มากมาย
ทว่าสำหรับซูอี้ผู้เพิ่งก้าวสู่ขอบเขตคืนสู่สามัญ มันกลับไร้ค่าไปเสียแล้ว
และทั้งหมดนี้หมายความว่าทรัพยากรส่วนใหญ่ที่ซูอี้สะสมไว้ ณ ขณะนี้จะไร้ซึ่งประโยชน์มากมหันต์…
เฉกเช่น ในหนทางฝึกฝนภายหน้า ซูอี้ต้องสั่งสมสมบัติแห่งฟ้าดินเยี่ยงโอสถทิพย์จุติสรวงเพื่อก้าวหน้าในวิถี
“ดูเหมือนว่าในภายหน้า เราต้องให้ความสนใจวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถเติมเต็มการฝึกฝนของเราได้เสียแล้ว”
ซูอี้กล่าวเสียงขรึม
เขาลุกขึ้นทักทายเว่ยซาน เมิ่งฉางอวิ๋นและยมบาลซึ่งคุยกันอยู่มิห่างนัก “ไปกันเถอะ ต้องไปแล้ว”
วันเดียวกันนั้น พวกเขาก็นำเรือท้องแบนละล่องออกจากภูมิดาราวอนสวรรค์ไป
“นายน้อย เราจะไปหนใดหรือ?”
เว่ยซานถามขึ้น
ซูอี้ตอบอย่างเฉยชา “สมุทรมารไร้กำหนด”
ยามนี้เมื่อเขากลับมา เขาก็ควรไปรับดาบแห่งโลกาคืน
สมุทรมารไร้กำหนด!
ทั้งเว่ยซานและเมิ่งฉางอวิ๋นล้วนหัวใจเย็นยะเยือก
ในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาวมีดินแดนต้องห้ามเจ็ดแห่ง เช่นแดนต้องห้ามดาราหยก เทือกเขาหมื่นมาร เมืองสวรรค์เทพมายาและอื่น ๆ
สมุทรมารไร้กำหนดคือหนึ่งในนั้น
ควรค่ากล่าวถึงว่าสมุทรมารไร้กำหนดนั้นอยู่ติดกับภูมิดาราจิตเทวะ และภูมิดาราจิตเทวะเป็นรังของลัทธิทางช้างเผือก
จักรวาลพร่างดาวกว้างใหญ้ วังเวงและเย็นเยือก
หนึ่งเรือท้องแบนเคลื่อนผ่าน
บนเรือท้องแบน ซูอี้พลิกอ่านม้วนหยกที่เหยียนเต้าหลินทิ้งไว้
เมิ่งฉางอวิ๋นเคลื่อนเรือท้องแบน
เว่ยซานเสวนากับบุตรีของเขา
ยมบาลนั่งนิ่ง ดวงตาเหลือบมองซูอี้ที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อยเป็นระยะ หัวใจรู้สึกประหลาดพิกล
ยามนี้ นางเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าทัศนาจารย์และบิดาตนคือสหายรักวัยเยาว์ หากว่ากันด้วยระดับอาวุโส นางก็ควรถืออีกฝ่ายเป็นท่านอา…
‘หากพ่อข้ารู้ว่าข้าเคยลวนลามใต้เท้าทัศนาจารย์ยามเข้าใจว่าเป็นร่างเวียนวัฏซูเสวียนจวิน เกรงว่าข้าคงตายด้วยอับอายเป็นแน่…’
ยมบาลพึมพำในใจ
นางอ้อนแอ้น งดงามตรึงตาเยี่ยงหญิงสาว เรือนผมยาวดำขลับ ร่างงามสง่าสะโอดสะอง
เมื่อนึกย้อนถึงอดีตอันเคยสนิทสนมกับซูอี้ในภูมิมืดมิดมาก่อน ใบหน้างามจิ้มลิ้มก็รู้สึกร้อนผ่าวอย่างช่วยมิได้ หัวใจแปรเปลี่ยนละเอียดอ่อน
“อาจิ่ว เจ้าเป็นอันใดหรือ?”
เว่ยซานเคลือบแคลงเล็กน้อย สังเกตเห็นได้ว่าบุตรีตนดูจะมีเจตนาอื่น
“เปล่าเจ้าค่ะ”
ยมบาลรีบส่ายหน้า และกระซิบทันที “ท่านพ่อ ท่าน…เล่าวีรกรรมเก่าก่อนของทัศนาจารย์ให้ข้าฟังได้อีกหรือไม่เจ้าคะ?”
“ทัศนาจารย์อันใด เจ้าเรียกเขาท่านอาซูสิ”
เว่ยซานแก้วาจาอย่างจริงจัง
ยมบาล “…”
ขณะเดียวกัน ซูอี้จ้องมองม้วนหยกในมือพลางจมสู่ภวังค์ครุ่นคิด
คำตอบที่เหยียนเต้าหลินทิ้งไว้ในม้วนหยกนี้คลี่คลายความเคลือบแคลงในใจของเขาได้บ้าง ทำให้ในที่สุดเขาก็เข้าใจเรื่องหลายเเรื่อง
จุดเริ่มต้นของความขุ่นข้องนั้นเกี่ยวกับเสิ่นมู่!
เซียนเสวี่ยหลิวจากสำนักมารหกโลกีย์ตกหลุมรักเสิ่นมู่เพียงเพื่อต้องการพิสูจน์เต๋า ทำให้สำนึกรู้คิดของซูอี้พังทลายจนตัวตายเพื่อเคลื่อนวิถี
ทว่าเสิ่นมู่หาตายจริงไม่ แต่เวียนวัฏมาเกิดเป็นทัศนาจารย์
และความเป็นอมตะของเสิ่นมู่จะส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของเซียนเสวี่ยหลิว!
จากที่เหยียนเต้าหลินระบุไว้ เซียนเสวี่ยหลิวไม่ได้มาจากยุคสมัยนี้ แต่มาจากศักราชแห่งมาร!
กล่าวอีกนัยคือ เสิ่นมู่เองก็หาใช่คนของยุคสมัยนี้ไม่! แต่มาจากศักราชแห่งมารเช่นเซียนเสวี่ยหลิว
เมื่อเขารู้ความจริงนี้ ซูอี้ก็อดประหลาดใจไม่ได้
ทว่าเมื่อครุ่นคิดแล้ว เขาก็โล่งใจ
ตลอดชั่วกาลที่เขาเป็นทัศนาจารย์ สัญจรอยู่ในห้วงลึกจักรวาลพร่างดาว เขาก็ไม่เคยได้ยินถึงอัจฉริยะวิถีดาบเช่นเสิ่นมู่ในโลกหล้าอันเรียกได้ว่าเป็นนักดาบผู้ท้าทายอำนาจสวรรค์เช่นนี้มาก่อนจริง ๆ
เรื่องนี้ชี้ชัดเนิ่นนาน ว่าเสิ่นมู่หาใช่คนจากจักรดาราตงเสวียนไม่!
เหตุที่เหยียนเต้าหลินรู้ความจริงเหล่านี้เกี่ยวข้องกับช่างเสื้อเฒ่า
เนิ่นนานกาลก่อน เหยียนเต้าหลินเคยติดหนี้บุญคุณช่างเสื้อเฒ่าอยู่อย่างใหญ่หลวง
ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการค้นหาร่างเวียนวัฏของเสิ่นมู่!
และยามนั้นเองที่เหยียนเต้าหลินได้รู้ ว่าหญิงนางหนึ่งนามเซียนเสวี่ยหลิวกำลังตามฆ่าเสิ่นมู่ ผู้ทรยศรักให้สิ้นซาก
ดังนั้น ยามทัศนาจารย์ยังมีชีวิต เหยียนเต้าหลินจึงเย้ยทัศนาจารย์เป็นผู้ทรยศรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่เองคือเหตุผล
เมื่อรู้เช่นนี้ ซูอี้ย่อมแค่นหัวเราะอย่างดูแคลน
สตรีผู้ไร้บรรทัดฐานผู้นี้กล้าถือเสิ่นมู่เป็นผู้ทรยศรัก ช่างกล้าดี
ทว่า เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้และพบว่ายังเป็นการร้อยเรียงของช่างเสื้อเฒ่า ซูอี้ก็อดพรั่นพรึงไม่ได้
มิต้องสงสัยเลยว่าระหว่างช่างเสื้อเฒ่าและเซียนเสวี่ยหลิวจากศักราชแห่งมารต้องมีความสัมพันธ์บางอย่าง!
จากคำเล่าของเหยียนเต้าหลิน ร่างจริงของเซียนเสวี่ยหลิวไม่อาจข้ามธารแห่งกาลเวลาสู่จักรดาราตงเสวียนได้ นางจึงขอให้ช่างเสื้อเฒ่าช่วยเหลือ
และช่างเสื้อเฒ่าก็มาหาเหยียนเต้าหลิน
ยิ่งกว่านั้น ช่างเสื้อเฒ่ายังเป็นผู้พาเทียนฉีมาหาเหยียนเต้าหลิน บอกว่านี่คือศิษย์ใกล้ชิดของเซียนเสวี่ยหลิวซึ่งถูกส่งมายังจักรดาราตงเสวียนเพื่อก่อจิตวิญญาณและร่างวิถีใหม่ด้วยเคล็ดวิชาวิถีเซียน คั่นด้วยเขตแดนมิติเวลา
และเทียนฉีก็ถูกถือเป็นเครื่องมือสำคัญเพื่อล่าร่างเวียนวัฏของเสิ่นมู่ด้วย!
และยามนั้นเองที่เหยียนเต้าหลินมอบชื่อเทียนฉีให้นาง และพามายังหอเก้าสวรรค์
……
เทียนฉีและชิงหว่านเป็นคนเดียวกันจริง ๆ!
กล่าวให้ชัดเจนก็คือ ชิงหว่านเป็นอวตารของเทียนฉี และทั้งคู่ล้วนแต่มีปานอู่วิญญาณในร่าง
เมื่อปานอู่วิญญาณของทั้งสองรวมเป็นหนึ่ง พวกนางจะคืนสู่หนึ่งบุคคล ฟื้นความทรงจำเก่าก่อนขึ้นมา
……
ในม้วนหยก เหยียนเต้าหลินอธิบายว่าเหตุใดจึงไม่ลงมือแต่เริ่ม ทว่ากลับรอถึงยามนี้
ความจริงนั้นช่างง่ายดาย มิใช่เพราะเขามิต้องการ แต่เพราะทำไม่ได้!
ยามทัศนาจารย์ยังมีชีวิต ทั้งเหยียนเต้าหลินและช่างเสื้อเฒ่าล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของทัศนาจารย์เลย
……
เฉกเช่นกัน เหยียนเต้าหลินก็กล่าวเรื่องการช่วยชีวิตคู่บิดาบุตรี เว่ยซานและยมบาลไว้
เหยียนเต้าหลินกล่าวตรง ๆ ว่าช่างเสื้อเฒ่าหมายตาเว่ยซานและเฒ่าขาเดี้ยงเว่ยไว้เนิ่นนานก่อนเว่ยซานประสบเหตุแล้ว
เนื่องจากช่างเสื้อเฒ่าสงสัยว่าทัศนาจารย์จะไม่ได้ตายตกอย่างแท้จริง แต่ไปเวียนวัฏฝึกฝนใหม่ เขาจึงวางแผนใช้เว่ยซานกับเฒ่าขาเดี้ยงเว่ยเป็นเหยื่อล่อ และเป็นเบี้ยยามรับมือทัศนาจารย์ในภายหน้า
แต่ไม่คาดเลยว่าก่อนที่ช่างเสื้อเฒ่าจะได้ลงมือ ในชั่วข้ามคืนหนึ่งจะเกิดหายนะพิบัติแก่เว่ยซานและเฒ่าขาเดี้ยงเว่ย
ท้ายที่สุด มีเพียงเว่ยซานและบุตรีที่รอดมาจนถูกเหยียนเต้าหลินช่วยไว้
เหยียนเต้าหลินไม่ชอบวิธีการของช่างเสื้อเฒ่า และแสนรังเกียจจะใช้ผู้บริสุทธิ์เช่นเว่ยซานและยมบาลมารับมือทัศนาจารย์
ดังนั้น ตลอดกาลผ่านมา เหยียนเต้าหลินจึงไม่หลอกใช้และดูแลทั้งสองอย่างย่ำแย่ ทำเพียงถือคู่บิดาบุตรีเป็นคนนอกเท่านั้น
เมื่อรู้ความจริงทั้งหมดนี้ ซูอี้ก็พอกระจ่างต่อความแค้นเรื่องนี้ทะลุปรุโปร่งแล้ว
ท้ายที่สุด เรื่องทั้งหมดก็เกี่ยวกับเสิ่นมู่
เซียนเสวี่ยหลิวจากศักราชแห่งมารคือตัวการ และช่างเสื้อคือผู้สมรู้ร่วมคิด
เหยียนเต้าหลินเคยติดหนี้บุญคุณช่างเสื้อเฒ่า และเพื่อตอบแทน เขาจึงเจาะจงเป็นผู้ลงมือกระทำเรื่องนี้แทนช่างเสื้อเฒ่า
และเทียนฉี ชิงหว่าน เว่ยซาน ยมบาล… ก็เป็นเพียงตัวเบี้ยบนกระดานหมาก
จุดประสงค์ทุกสิ่งอย่างคือทำลายเขา ร่างเวียนวัฏของเสิ่นมู่!