บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1293: ปล้นสมบัติ
ตอนที่ 1293: ปล้นสมบัติ
………………..
ตอนที่ 1293: ปล้นสมบัติ
เพลิงศักดิ์สิทธิ์โชติช่วง รัศมีสมบัติเรืองรอง
สองราชันแห่งภูมิรบพุ่งดุเดือดกลางเวหา
ฝ่ายหนึ่งเป็นชายชุดแดง ใช้มีดขว้างสีทองเล่มหนึ่ง
อีกฝ่ายเป็นชายชราร่างสูงในอาภรณ์ผ้า ถือกระบองสำริดในมือ
ศึกระหว่างทั้งสองดึงความสนใจผู้ฝึกตนมากมายในละแวกสมุทรมารไร้กำหนดทันที
ซูอี้เงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะสิ้นความสนใจ
การประชันระหว่างราชันแห่งภูมิในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงนั้นช่างจืดจาง
ทว่ายามนี้เอง เสียงขลุ่ยอันไพเราะเสียงหนึ่งพลันสะท้อนก้องทั่วฟ้าดิน
ด้วยเสียงขลุ่ยนั้น เมฆมงคลทั่วฟ้าดินก็พร่างพราว บุปผาทองแห่งมหาวิถีเบ่งบาน
และชายในอาภรณ์สีเงิน สวมมงกุฎบนหัวก็เดินบนเส้นทางอันกรุยด้วยบุปผาทองแห่งมหาวิถี
ท่วงท่าผ่าเผย องอาจเยี่ยงเทพเซียน
ผู้คนล้วนตะลึงงัน
เสียงขลุ่ยนั้นไพเราะเยี่ยงเสียงสวรรค์ ใสกระจ่างดุจเสียงวิหคทองในหุบเขาว่างเปล่า แผ่อำนาจแทรกสู่หัวใจผู้คน
และชายอาภรณ์สีเงินก็ยิ่งดูไม่ธรรมดา มองปราดแรกก็รู้สึกเหมือนเป็นตัวตนไร้คู่เปรียบ แข็งแกร่งไร้ประมาณ
การมาถึงของเขาพลันกลายเป็นจุดสนใจคนทุกผู้
สองราชันแห่งภูมิซึ่งรบประชันดุเดือดเองก็ถูกดึงความสนใจ ทั้งสองต่างรามือ ดวงตาจ้องชายอาภรณ์สีเงินอย่างหวาดหวั่น
“มีผู้ฝึกตนใต้ขอบเขตราชันแห่งภูมิรวมตัวที่นี่ตั้งมากมาย ทว่าราชันแห่งภูมิทั้งสองกลับต่อสู้กันตามใจที่นี่ หากทำร้ายผู้บริสุทธิ์เข้าจะทำเช่นไร?”
ชายอาภรณ์สีเงินถือขลุ่ยไผ่เขียวด้วยมือข้างหนึ่ง อีกมือไพล่หลัง รำพึงแผ่วเบา
หนึ่งวาจานั้นพ้องรับกับผู้ฝึกตนมากมายที่นี่ พวกเขาล้วนเผยความชื่นชม
นี่คือยอดฝีมือที่แท้จริง!
กิริยาและจิตใจล้วนสูงส่งเลิศล้ำ!
ราชันแห่งภูมิทั้งสองกระอักกระอ่วน สีหน้ามืดหมอง
“ฟังคำแนะนำของข้านะ ผู้สูงส่งล้วนให้ค่าชีวิตบริสุทธิ์ หากต้องการสู้กันก็ไปสู้กันในจุดไร้คนเถิด อย่าสร้างปัญหาที่นี่เลย”
ชายอาภรณ์สีเงินกล่าวเบา ๆ สีหน้าสำรวมแต่ก็แสนดูแคลน “หาไม่ ข้าก็ทำได้เพียงต้องผดุงธรรมแทนสวรรค์”
“ไฉนข้าจึงรู้สึกว่าคนผู้นี้หาชักมีดช่วยคนยามเส้นทางต่างระดับไม่ แต่จงใจเรียกความสนใจกัน?”
เมิ่งฉางอวิ๋นกระซิบ
เว่ยซานเองก็คิดเช่นนั้น ออกความเห็นว่า “คนผู้นี้ช่างวุ่นวายมากเรื่อง นับแต่ปรากฏกายก็โปรยปรายบุปผาทองมหาวิถีไปทั่ว และยังมีเค้าความโอ้อวดละล่องทั่วทุกแห่ง”
มุมปากซูอี้กระตุกนิด ๆ อย่างไม่อาจมองเห็น “พวกเจ้าคิดไว้ไม่ผิดหรอก คนผู้นี้… ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเป็นที่สุด และต้องฉวยโอกาสเสแสร้งเรียกร้องความสนใจทุกคราไป หาไม่จะอยู่ไม่เป็นสุข”
เมิ่งฉางอวิ๋นและเว่ยซานล้วนผงะ ตระหนักแล้วว่าซูอี้รู้ตัวตนของชายอาภรณ์สีเงินสวมมงกุฎผู้นี้!
ขณะนั้น ราชันแห่งภูมิทั้งสองก็ชะงักค้าง มองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างเห็นพ้อง กุมกำปั้นคำนับชายในอาภรณ์สีเงินและหันหลังจากไป
หยุดศึกได้ด้วยวาจา ไร้การหลั่งเลือด
ภาพนี้ดึงเสียงชื่นชมมากมายจากเหล่าผู้ชมได้ทันที
ผู้ฝึกตนหญิงผู้งดงามบางคนชื่นชมเขาด้วยนัยน์ตาพร่างพราว
ขณะนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ถามอย่างประหลาดใจ
“ขอบังอาจถาม ผู้อาวุโสใช่ผู้อาวุโสจวงปี้ฟานจากตระกูลจวงหรือไม่!”
จวงปี้ฟาน!
ทันทีที่นามนี้ถูกขาน เหล่าผู้ชมล้วนนิ่งไม่ไหวติง
ในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว มีแปดตระกูลราชันแห่งภูมิอยู่ หนึ่งในนั้นคือตระกูลจวงโบราณ
และในตระกูลจวงโบราณ ผู้ที่โด่งดังที่สุดคือขุมกำลังบรรพกาลแห่งตระกูล จวงปี้ฟาน!
ชายในอาภรณ์สีเงินสวมมงกุฎค้างไปกลางอากาศ รำพึงเหมือนละอาย “หวนย้อนถึงอดีต หนึ่งขลุ่ยหนึ่งดาบสัญจรตามใจ โด่งดังมาแสนปี ข้าไม่ได้ปรากฏตัวสู่โลกหล้ามาแสนนาน มิคาดเลยว่าทุกวันนี้ยังมีผู้จดจำข้าได้อยู่”
รอบข้างฮือฮา เหล่าผู้ฝึกตนล้วนครั่นคร้ามเกรงขาม
“ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโสตระกูลจวง…”
เมิ่งฉางอวิ๋นกล่าวด้วยแววตาประหลาด
กาลก่อน ยามที่พวกเขาอยู่ในภูมิทมิฬเร้นข้างวังวายุเร้นอาสัญ เขาเคยได้พบชายหนุ่มนามจวงเซียวอวิ๋นผู้เย่อหยิ่งร้ายกาจ ชอบต่อสู้โดยมิฟังความถี่ถ้วน
ผลก็คือถูกซูอี้ดัดนิสัยอย่างรุนแรง แทบต้องร้องหาแม่
เทียบกับยามนี้แล้ว เขาก็พบว่านิสัยของจวงเซียวอวิ๋นคล้ายคลึงปู่ทวดของเขาอยู่หลายส่วน!
“ที่แท้ก็เป็นเขา”
เว่นซานฉีกยิ้ม จวงปี้ฟาน ชายผู้ถือเป็นกวีพเนจรอันดับหนึ่งในจักรวาลพร่างดาว ใครบ้างจะไม่รู้จัก?
ซูอี้อดถูหว่างคิ้วมิได้ เจ้าเฒ่าจวงปี้ฟานผู้นี้ดีทุกอย่าง เสียเรื่องเดียวคือชอบเสแสร้งมากไป
“ข้าผู้นี้สิ้นยุคโด่งดังมาแสนนาน เหตุที่ข้ามาวันนี้ก็เพราะมิอาจทนเรื่องวุ่นวายเมื่อครู่ได้ ยามนี้เมื่อจบเรื่อง ทุกผู้ก็แยกย้ายเถิด”
จวงปี้ฟานบนอากาศโบกมือน้อย ๆ พลางกล่าวอย่างสำรวม
ทว่าซูอี้เห็นชัดเจนว่ามุมปากคนผู้นี้ยกขึ้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าแสนสุขีที่เป็นจุดสนใจ
“โรคเก่าของคนผู้นี้ แก้ไม่หายจริง ๆ”
ซูอี้อดหัวเราะไม่ได้
ทันใดนั้น หนึ่งเสียงก็กล่าวขึ้นอย่างเฉยชา
“สัตว์ประหลาดเฒ่าจวง ในเมื่อเจ้าแสนเมตตานัก ทำเรื่องหนึ่งให้ข้าได้หรือไม่?”
สี่ร่างปรากฏขึ้นจากไกล ๆ
หนึ่งชายวัยกลางคนในชุดนักพรตเต๋าสีเหลืองส้ม หนึ่งสตรีในชุดคลุมขนนก หญิงชราผมบางในอาภรณ์หลากสี และชายหนุ่มในชุดสีเทาผู้ดูป่วยออดแอด
ผู้นำคือชายวัยกลางคนในชุดนักพรตเต๋าสีเหลืองส้ม ถือแส้นักพรตในมือ ดวงตาเย็นชา ร่างแข็งแกร่งทรงพลังเยี่ยงขุนเขา
“คนของโรงวาดฤทัย!”
เว่ยซานขมวดคิ้วกระซิบ
ซูอี้กล่าวอย่างไร้สะทกสะท้าน “ชายหนุ่มชุดเทาคนนั้นคือนายตัวจริง และน่าจะเป็นสมาชิกตระกูลจง ตระกูลโบราณอารักษ์วิถี”
ตระกูลจงโบราณอารักษ์วิถี!
เว่ยซานและเมิ่งฉางอวิ๋นมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย
เทียบกับเหล่ายักษ์ใหญ่แห่งจักรวาลพร่างดาวทุกวันนี้ ตระกูลจง ในฐานะหนึ่งในหกตระกูลโบราณอารักษ์วิถีนั้นเก่าแก่กว่าโดยมิต้องสงสัย และมีวิชาสามารถลึกล้ำเกินคาดหยั่งบรรยาย!
อันที่จริง มรดกของหกตระกูลโบราณอารักษ์วิถีนั้นสามารถย้อนรอยได้ถึงดึกดำบรรพ์ และลือกันกระทั่งว่าเป็นทายาทสืบเชื้อเซียน!
และซูอี้ก็จำอดีตได้
เมื่อนานมาแล้ว คุณหนูผู้มีฐานะพิเศษในโรงวาดฤทัยเคยใช้นาม ‘ซงไฉ’ แฝงเข้ามาเป็นศิษย์สลักนามของเขาในถ้ำเสวียนจวิน
และความสัมพันธ์ระหว่างโรงวาดฤทัยและตระกูลจงโบราณอารักษ์วิถีก็ใกล้ชิดกันอย่างยิ่ง
ขณะที่ซูอี้กำลังครุ่นคิดนั้นเอง ใต้ท้องนภาไกลออกไป
จวงปี้ฟานเองก็รู้ตัวตนของอีกฝ่าย และอดขมวดคิ้วมิได้ “โรงวาดฤทัยของเจ้าตั้งใหญ่โต ไฉนต้องการให้ข้าคนแซ่จวงมาช่วยเหลือ?”
บรรยากาศกดดันเย็นเยียบ
ผู้ฝึกตนในบริเวณใกล้เคียงบางคนสัมผัสได้ว่าท่าไม่สู้ดี พวกเขาทั้งหลายจึงเผ่นไปให้ไกลที่สุดเพื่อเลี่ยงลูกหลง
เพราะไม่ว่าอย่างไร เมื่อมหาสงครามบังเกิด เพียงหางเลขก็เพียงพอทำให้ตัวตนใต้ขอบเขตราชันแห่งภูมิเหล่านั้นเป็นจุณได้!
นี่หาใช่เวลามาดูเรื่องสนุกไม่
ชั่วขณะนั้น บริเวณรอบข้างวังเวงลงทุกขณะ
แต่ก็ยังมีตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิบางคนที่เลือกอยู่ดูจากไกล ๆ เช่นกัน
“เป็นเรื่องบังเอิญที่เรื่องนี้ มีเพียงเจ้า สัตว์ประหลาดเฒ่าจวงเท่านั้นที่ช่วยเราได้”
ชายวัยกลางคนในชุดนักพรตเต๋าสีเหลืองส้มกล่าวด้วยสีหน้าเครียด
“เรื่องอันใดเล่า?”
คิ้วของจวงปี้ฟานขมวดแน่นขึ้น
“หยาดวารีแยกทะเลนิ่ง”
ชายหนุ่มผู้ดูออดแอดในอาภรณ์สีเทาโพล่งขึ้น “ขอเพียงเจ้าให้เรายืมสมบัตินี้ ก็เท่ากับช่วยเราได้มากแล้ว”
ไกลออกไป เมื่อเขาได้ยินเช่นนี้ คิ้วของซูอี้ก็เลิกขึ้นน้อย ๆ
ปรากฏว่าเจ้าพวกนี้คิดชิงสมบัติชิ้นนี้ไป!
เมิ่งฉางอวิ๋นจำได้ว่าเมื่อซูอี้อยู่ในภูมิทมิฬเร้น เขาเคยให้จวงเซียวอวิ๋นกลับตระกูลไปบอกปู่ทวดตนจวงปี้ฟานให้นำสมบัติชิ้นหนึ่งมารอเขาที่สมุทรมารไร้กำหนด
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสมบัติชิ้นที่ว่าต้องเป็นหยาดวารีแยกทะเลนิ่ง!
ม่านตาของจวงปี้ฟานหดตัวอย่างเงียบงัน ขณะที่เขากำลังจะกล่าวบางอย่างนั้นเอง
ชายหนุ่มอาภรณ์สีเทากล่าวอย่างเย็นชา “ในเมื่อเราพบเจ้าแล้ว เราย่อมรู้ว่าสมบัตินี้อยู่กับเจ้า ข้าบอกตรง ๆ แล้วกัน ข้ามาจากตระกูลจง มีนามว่าจงหยางซวิ่น ไว้หน้าข้าได้หรือไม่?”
สีหน้าของจวงปี้ฟานยากอ่านออกในชั่วขณะ
ชายวัยกลางคนในชุดนักพรตเต๋าสีเหลืองส้ม สตรีในชุดคลุมขนนกและหญิงชราในอาภรณ์หลากสีล้วนขยับกายอย่างไร้เสียง ขวางทางหนีจ้องจวงปี้ฟานเนิ่นนาน
สายตาเหล่านั้นเหมือนเช่นสัตว์ร้ายจนมุม!
บรรยากาศกดดันมากขึ้นทุกขณะ ชวนให้ผู้คนลืมหายใจ
กระทั่งราชันแห่งภูมิบางคนซึ่งมองอยู่จากไกล ๆ ยังตื่นกลัว
ไม่มีผู้ใดคาดว่ากำลังจากโรงวาดฤทัยและตระกูลจงโบราณจะมาหมายหัวตัวตนบรรพกาลจวงปี้ฟาน ตระกูลราชันแห่งภูมิจวงที่ฝั่งสมุทรมารไร้กำหนดนี้!
“หากเจ้าว่าขอยืมก็ยืมสิ ไฉนต้องใช้เรื่องเสียหน้ามาเกี่ยว?”
จวงปี้ฟานยิ้มเยาะ “ลูกกระต่ายน้อย อย่าคิดว่าเพราะเจ้ามาจากตระกูลจง เจ้าจะกร่างอำนาจทำทุกอย่างได้ตามใจนะ!”
เขาสบถด่าในใจ ไม่ได้ออกมาแสนนาน ทว่าเมื่อออกมากลับพบหายนะเช่นนี้ จะอับโชคเกินไปหรือไม่?
จงหยางซวิ่นผู้ดูออดแอดพลันแย้มยิ้มร้ายกาจ
“ไอ้แก่ เจ้าจะไว้หน้าข้าหรือไม่ บอกให้นะว่าที่นี่ ข้าจะกระทำสิ่งใดก็ได้ตามใจ!”
“ฆ่าเขาเสีย!”
กล่าวจบ จงหยางซวิ่นก็โบกมือ
พวกชายวัยกลางคนในชุดนักพรตเต๋าสีเหลืองส้มทั้งสามซึ่งรออยู่แล้วลงมือโดยไร้ลังเล
เปรี้ยง!
สุญญะรวนเร เพลิงศักดิ์สิทธิ์ทอประกาย
สามราชันแห่งภูมิในระดับสูงสุดจากโรงวาดฤทัยลงมือฆ่าฟันไร้ปรานี
ในขณะเดียวกัน จงหยางซวิ่นกลับยืนมองจากไกล ๆ อย่างลอยชาย จับจ้องจวงปี้ฟานราวมองคนตาย
จวงปี้ฟานหาอยู่เฉยไม่
เพียงหนึ่งโบกแขนเสื้อ
ตู้ม!
การโจมตีหมายชีวิตของราชันแห่งภูมิทั้งสามจากโรงวาดฤทัยก็แหลกเละ ร่างของทั้งสามถูกผลักกระเด็น
สีหน้าของพวกเขาล้วนแปรเปลี่ยน
ไกลออกไป จงหยางซวิ่นขมวดคิ้ว ใครกันที่กล้าเข้ามาพัวพัน? วอนตายนัก!
ดวงตาของจวงปี้ฟานเบิกกว้างกะทันหัน แววตาแสนปรีดา เข้าใจแล้วว่าผู้มาคือผู้ใด
“เจ้ากล้าปล้นสมบัติที่ข้าต้องการ กล้าเสียนี่กระไร”
วาจาดูแคลนเฉยชามิทันสร่าง ซูอี้ก็ลงมือแล้ว
ใช้ฝ่ามือแทนดาบ ฟาดฟันผ่านนภา
ปราณดาบวูบไหวส่องสว่างทั่วโลกหล้า
ท้องนภากว้างใหญ่เย็นชานี้ดูเจิดจ้าขึ้นในพริบตา
ฟ้าดินจรัสแสง
ร่างของชายวัยกลางคนในชุดนักพรตเต๋าสีเหลืองส้ม สตรีในชุดคลุมขนนกและหญิงชราในอาภรณ์หลากสีล้วนแหลกสลาย
เหลือเพียงเถ้าธุลี!