บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1294: เทพเซียนเทศนา?
ตอนที่ 1294: เทพเซียนเทศนา?
แต่เดิม ยามซูอี้อยู่ตรงหน้าหอกาสวรรค์ในสันเขาอีกา เขาก็สามารถรับมือกับราชันแห่งภูมิขอบเขตไร้ขีดจำกัดสิบเก้าคนด้วยการฝึกฝนขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงได้ด้วยตัวคนเดียว
ยามนี้เขาบรรลุสู่ขอบเขตคืนสู่สามัญแล้ว เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน การสังหารอวตารของเหยียนเต้าหลินซึ่งเคลื่อนสู่ขอบเขตจุติสรวงไปครึ่งก้าวนั้นช่างง่ายดาย
และยามนี้ แค่ต้องกวาดล้างสามตัวตนในขอบเขตไร้ขีดจำกัด เขาย่อมมีอำนาจบดขยี้ได้
กล่าวให้กระชับก็คือ ซูอี้ ณ ขณะนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าทัศนาจารย์ยามสมบูรณ์พร้อมเสียอีก!
ทั่วทิศเงียบสงัด
จวงปี้ฟานตะลึงกำหมัดอย่างเงียบงัน
ร่างของจงหยางซวิ่นผู้ยืนเอามือไพล่หลังอยู่ไกล ๆ พลันแข็งทื่อ ดวงตาเบิกกว้างกลมดิก
บรรยากาศเงียบสงัดเสียดแทงหัวใจแผ่ไปทั่วฟ้าดิน ทั่วทิศเงียบงัน เข็มตกยังได้ยินเสียง
กระทั่งคลื่นคลั่งในสมุทรมารไร้กำหนดยังเงียบเสียงลง
ผู้เฝ้ามองจากระยะไกลล้วนคาดไม่ถึง จนอ้าปากค้างกรามแทบร่วง
ก่อนหน้านี้ พวกเขาทั้งมวลล้วนหลั่งเหงื่อแทนจวงปี้ฟาน กระทั่งคาดว่าจวงปี้ฟานอาจจะมิรอดไปจากหายนะนี้
เพราะถึงอย่างไร ผู้ลงมือก็เป็นยอดฝีมือจากโรงวาดฤทัย!
ทว่าไม่มีผู้ใดคาดคิดว่ามหาสงครามยังไม่ทันอุบัติ ชายหนุ่มชุดเขียวผู้หนึ่งจะปรากฏกายขึ้น เขาฟันดาบออกไปหนึ่งหน แล้วก็สังหารยอดฝีมือในขอบเขตไร้ขีดจำกัดทั้งสามของโรงวาดฤทัยลงอย่างง่ายดาย!
การประหัตประหารอันร้ายกาจซึ่งเกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้เหมือนกระแสลมเย็นเยือก สะท้านถึงหัวใจของคนทุกผู้จนสั่นสะท้าน
ร้ายกาจยิ่ง!
ทั่วจักรวาลพร่างดาว ขอบเขตไร้ขีดจำกัดนับว่าเป็นตัวตนสูงสุดแล้ว
ใครเล่าจะคิดว่าตัวตนเช่นนี้จะถูกลบหายง่าย ๆ ราวไก่ราวสุนัข?
เทียบกันแล้ว เว่ยซานและเมิ่งฉางอวิ๋นเยือกเย็นที่สุด
“มาสิ ให้ข้าดูหน่อยว่าเจ้ากระทำตามใจได้เช่นไร”
ซูอี้จ้องมองไปยังจงหยางซวิ่นอย่างเฉยชา
จงหยางซวิ่นสั่นสะท้านทั่วกาย สีหน้าแปรเปลี่ยนกะทันหัน กล่าวขึ้นเสียงแข็ง “ผู้อาวุโสคือผู้ใด เหตุใดจึงนำตัวมาพัวพันเรื่องของตระกูลจงและโรงวาดฤทัยของเราเช่นนี้?”
“แค่นั้นหรือ? ตระกูลจงโบราณของเจ้ากล่าวได้ว่าเป็นตระกูลยิ่งใหญ่อันเก่าแก่ที่สุดในจักรดาราตงเสวียน ลูกหลานตระกูลนี้หยิ่งผยอง ‘ตรงไปตรงมา ยอมหักมิยอมงอ’ นี่ ไยไอ้หนูเช่นเจ้ากลับกลายเป็นกุ้งตัวอ่อนไปเสียได้?”
จวงปี้ฟานแดกดัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง “หากข้าเป็นบรรพชนตระกูลเจ้า คงโกรธจนถีบฝาโลงลุกขึ้นมาแน่”
สีหน้าของจงหยางซวิ่นมืดมนบิดเบี้ยว
ทันใดนั้น เขาก็เหมือนจะตระหนักถึงบางสิ่ง ขณะจ้องตาซูอี้และกล่าวอย่างสงสัย “เจ้า… เจ้าคือร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์หรือ?”
ทันทีที่วาจานี้ถูกกล่าว เสียงฮือฮาก็ดังขึ้น
โลกหล้าทุกวันนี้ ข่าวลือเกี่ยวกับทัศนาจารย์สะพัดทั่วจักรวาลพร่างดาว จนก่อเกิดเสียงวิพากษ์นับไม่ถ้วน
ทว่าไม่มีผู้ใดคาดว่าตัวตนอันโด่งดังนั้นจะมาปรากฏบนฝั่งสมุทรมารไร้กำหนดนี้
ช่างเหลือเชื่อ
“มิน่า เขาจึงได้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ที่แท้เขาก็คือทัศนาจารย์!”
ราชันแห่งภูมิบางคนซึ่งดูศึกอยู่ผงะไป
ซูอี้ครุ่นคิดเล็กน้อย หรือที่อยู่ของเขาก่อนหน้านี้จะถูกแพร่งพรายไปแล้ว?
“บรรพชนของข้าเคยกล่าวไว้ว่าผู้แข็งแกร่งเช่นทัศนาจารย์สังหารเพียงศัตรู และรังเกียจเกินกว่าจะโจมตีผู้อ่อนแอ”
จงหยางซวิ่นสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวว่า “และยามนี้ ทัศนาจารย์กำลังพยายามรังแกผู้อ่อนแอกว่าหรือไม่?”
ทันทีที่วาจานี้ถูกกล่าว สีหน้าของทุกคนก็พลันพิลึก
ใครเล่าจะกล้าคิดว่าทายาทตระกูลจงจะใช้วิธีนี้เพื่อเอาตัวรอด?
ซูอี้เองก็กล่าวขึ้นพร้อมกับยิ้มบาง “เจ้าเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตไร้ขีดจำกัดขั้นกลาง ในขณะที่ข้าเป็นผู้ฝึกตนในขอบเขตคืนสู่สามัญขั้นต้น จะบอกได้เช่นไรว่ารังแกผู้อ่อนแอ? ข้าให้เจ้าเปลี่ยนเหตุผลได้นะ”
เขาเงียบไปชั่วขณะ และกล่าวว่า “ไม่นานนี้ ‘บรรพชนเทียนเฉวียน’ ของตระกูลข้าเข้าสู่วิถีจุติสรวงสำเร็จแล้ว!”
เหล่าผู้ชมเงียบสงัด
วิถีจุติสรวง!
อันที่จริง ในช่วงนี้มีข่าวลือสะพัดไปทั่วจักรวาลพร่างดาวแล้ว ว่าตัวตนบรรพกาลผู้หนึ่งในตระกูลจงน่าจะเคลื่อนวิถีในซากโบราณวิถีเซียนสักแห่ง เพื่อบรรลุสู่วิถีจุติสรวง
ทว่าถึงอย่างไร มันก็เป็นเพียงคำเล่าลือ แม้จะฮือฮาทั่วโลกหล้าก็ยังไม่ได้รับการยืนยัน
ทว่ายามนี้ จงหยางซวิ่น ทายาทตระกูลจงโบราณผู้หนึ่งเป็นฝ่ายพูดความจริงออกมาเอง!
และเขาขานชื่อว่าผู้เข้าสู่ขอบเขตจุติสรวงคือตัวตนบรรพกาลจงเทียนเฉวียนของตระกูลเขา!
“ขอบังอาจถามใต้เท้าทัศนาจารย์ เหตุผลนี้เพียงพอหรือไม่?”
จงหยางซวิ่นกล่าวชัดถ้อยชัดคำ สีหน้าปรากฏความเย้ยเยาะ
วิถีจุติสรวง!
มันจะนำมาซึ่งยุคสมัยใหม่
และบรรพชนเทียนเฉวียนของตระกูลจงโบราณของพวกเขาคือตัวตนแรก ๆ ที่ได้เข้าสู่วิถีจุติสรวง!
ด้วยอำนาจเช่นนี้ ใครเล่าจะกล้าดูหมิ่น?
ซูอี้ส่ายหน้ารำพึง “ข้าให้โอกาสเจ้าแล้วแท้ ๆ แต่เจ้าก็ไม่ใช้มัน”
จงหยางซวิ่นผงะ
ฉัวะ!
ปราณดาบสายหนึ่งทะยานจากนภา เสียบกลางกระหม่อมของจงหยางซวิ่น ทั่วร่างของเขาระเบิดแหลก วิญญาณละล่องลอย
ทุกคนล้วนหวาดผวา
มีเพียงจวงปี้ฟานที่กล่าวทั้งที่ยังยิ้มว่า “ช่างโง่เง่าที่ไม่ก้มหัวคล้อยตาม แต่กลับยกอำนาจบรรพชนมาขู่ ลูกหลานตระกูลจงทุกวันนี้ลืมไปแล้วหรือไรว่าทัศนาจารย์ชิงชังการถูกขู่เป็นที่สุด?”
เขากล่าวรำพึง
หากเป็นผู้อาวุโสในตระกูลจง นอกเสียจากจะทุ่มกำลังโจมตีสุดตัว ก็คงมิใช้วาจาข่มขู่
เว่ยซานและเมิ่งฉางอวิ๋นซึ่งอยู่ไกลออกไปล้วนขยับตัวโดยมิรู้ตน ตั้งใจจะไปเก็บสินสงคราม
“ผู้อาวุโส ให้ตาเฒ่าผู้น้อยไปเถิดขอรับ”
เมิ่งฉางอวิ๋นรีบกล่าว
“เฮ้อ เรื่องแค่น้อยแค่นี้ ไยต้องลำบากเจ้ากัน?”
เว่ยซานปฏิเสธ
เขาไม่เพียงคุ้นเคยกับการเก็บสินสงคราม แต่ยังกระตือรือร้นในหน้าที่อย่างยิ่ง จะทนได้เช่นไรหากเมิ่งฉางอวิ๋นจะแย่งไป
“เพราะมันเป็นเรื่องเล็กน้อยนี่แหละ หากปล่อยผู้อาวุโสลงมือเอง ตาเฒ่าผู้น้อยนี้ไม่น่าละอายแย่หรือ? ให้ตาเฒ่าผู้น้อยนี้ทำเถิดขอรับ”
เมิ่งฉางอวิ๋นกล่าวอย่างเคร่งขรึม
แล้วเว่ยซานจะยอมได้เช่นไร เขาก็ยกสารพัดเหตุผลมาโต้เถียง
เมื่อเห็นเช่นนี้ ริมฝีปากสีกุหลาบของยมบาลก็กระตุกเล็กน้อย นี่เถียงกันเพื่อการใด?
ซูอี้หัวเราะมิออกร้องไห้มิได้ ทว่าก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้
จากนั้นเขาก็หันไปกล่าวกับจวงปี้ฟาง “เฒ่าจวง นำของมาด้วยหรือไม่?”
“เอามาสิ”
จวงปี้ฟางเสสรวล
“ไปคุยกันตรงโน้นเถอะ”
กล่าวจบ ซูอี้ก็ทะยานออกไปหาที่ปลอดคน
จวงปี้ฟานตามเขาไป
การปล้นสังหารจวงปี้ฟานจบลง แต่การปรากฏตัวของซูอี้นำมาซึ่งพายุ ณ ฝั่งสมุทรมารไร้กำหนดนี้
…
เสี้ยวชั่วยามต่อมา
ซูอี้นั่งบนเก้าอี้หวาย ขณะเล่นกับมุกวิญญาณสีน้ำเงินขนาดประมาณลูกเกาลัดเม็ดหนึ่งในมือขวา
มุกวิญญาณเม็ดนี้กระจ่างใสงดงาม มันปกคลุมด้วยหมอกน้ำแข็งสีน้ำเงินดุจภาพฝัน เปี่ยมปราณกำเนิดฮุ่นตุ้นลี้ลับ
หยาดวารีแยกทะเลนิ่ง!
สมบัติประจำตระกูลจวงโบราณ ลือกันว่ากำเนิด ณ ตาแห่งสมุทรฮุ่นตุ้นที่เก่าแก่ที่สุด มีสรรพคุณเหลือเชื่อ
เมื่อมีสมบัตินี้ ยามออกสู่แดนต้องห้ามเช่นสมุทรมารไร้กำหนด ก็จะสามารถสกัดกั้นสารพัดปัญหาได้
“มีผู้ใดพยายามจุดไฟย่างข้าหรือ?”
ซูอี้ครุ่นคิด
จากการสนทนากับจวงปี้ฟาน เขาก็ได้รู้ว่าในช่วงนี้ ทั่วจักรวาลพร่างดาวมีข่าวลือเกี่ยวกับเขาแพร่สะพัดมากมาย จนกระฉ่อนไปทั่วโลกหล้า
โดยเฉพาะข่าวลือที่มีใครบางคนชิงเข้าสู่วิถีจุติสรวงไปก่อนแล้ว และตำนานยุคก่อนย่อมถูกเหยียบย่ำใต้เท้า
ซูอี้หาใส่ใจไม่ แต่เขาต้องสนใจว่าผู้ใดเป็นผู้ก่อให้เกิดสถานการณ์นี้ และแพร่ข่าวถึงหูคนทุกผู้ในชั่วกาลเพียงไม่กี่วัน
ผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด
จวงปี้ฟานถือขลุ่ยไผ่เขียวด้วยหนึ่งมือ อีกหนึ่งมือไพล่หลังไว้ “หากเกิดสิ่งใดปกติ ย่อมมีเจตนาร้ายซุกซ่อน ต้องเป็นฝีมือศัตรูในอดีตชาติของเจ้าแน่! คนผู้นั้นผลักเจ้าสู่มรสุม เป็นเป้าโจมตีของคนทุกผู้ ประดังด้วยปัญหามากมาย”
ซูอี้ส่ายหน้ากล่าว “คนโง่ยังรู้ว่าตัวตนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดในโลกหล้ายากจะเป็นภัยต่อข้าแล้ว ด้วยเหตุนี้ ใครเล่าจะยังกล้าโง่พาตนมาหาที่ตาย?”
กล่าวถึงจุดนี้ ซูอี้ก็เลิกคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนเขาจะเข้าใจบางอย่าง “ดูเหมือนข่าวนี้จะถูกแพร่เพื่อผู้ที่กำลังจะเข้าสู่ขอบเขตจุติสรวง หรือเข้าสู่ขอบเขตจุติสรวงแล้วเสียมากกว่า”
ม่านตาของจวงปี้ฟานหดตัว ก่อนที่เขาจะกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “หรือจะหมายความว่าภายภาคหน้า น่าจะมีตัวตนในวิถีจุติสรวงมาหาเรื่องหรือ?”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะตั้งตารอ!”
จวงปี้ฟานมองซูอี้ผู้นั่งเอกเขนกบนเก้าอี้หวายด้วยสีหน้าเฉยเมย และอดรำพึงกับตนไม่ได้ “โลกหล้ากล่าวว่าไม่มีสิ่งใดในหล้าที่ข้าคนแซ่จวงแสร้งทำไม่ได้ แต่เทียบกับเจ้าแล้วยังคงห่างไกลนัก”
ซูอี้ “???”
“ข้าไปเสแสร้งยามใดกัน?”
ซูอี้กล่าวอย่างมิชอบใจนัก
จวงปี้ฟานกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เสแสร้งทำตนขึงขังอหังการ ฝังกระดูกจากใจ ไม่ต้องพูดมากก็กลายเป็นจุดสนใจทั่วโลกหล้า ราวกับหลอมรวมเป็นหนึ่งกับกิริยาวางตน ไร้ร่องรอยใด ๆ ให้สาวถึง นี่แหละ… ทำให้ข้าละอายต่อตนนัก”
ซูอี้ “…”
อธิบายเช่นนี้ได้หรือ!?
ขณะเสวนา เว่ยซานและเมิ่งฉางอวิ๋นก็ทะยานมาหา
ซูอี้มิรอช้า ลุกจากเก้าอี้และกล่าวว่า “ไปกันเถอะ”
และทั้งคณะก็เคลื่อนสู่สมุทรมารไร้กำหนดที่อยู่ไกลออกไปทันที
วันถัดมา
บนผืนสมุทรอันปกคลุมด้วยหมอก
เศษอุกกาบาตลอยผลุบโผล่ในสมุทรทมิฬดุจเกาะร้างชิ้นแล้วชิ้นเล่า
บนหนึ่งในซากดาราอันใหญ่โตดุจขุนเขามีสนามเต๋าโบราณตั้งอยู่
ณ ใจกลางสนามเต๋ามีแท่นวิถีเก้าจั้งอยู่หนึ่งแท่น เพลิงศักดิ์สิทธิ์ลุกโชน แสงวิถีทะยานเวหา วจีวิถีกังวานก้องทั่วสมุทรเยี่ยงเสียงสวรรค์
ร่างสูงใหญ่ดุจเทพเซียนนั่งขัดสมาธิบนแท่นวิถีเก้าจั้ง ในมือถือม้วนกระดาษโบราณ พึมพำบริกรรมบางอย่างกับตนเอง
ในสนามเต๋ามีผู้ฝึกตนมากมายทุกเพศทุกวัย พวกเขาในยามนี้ล้วนนั่งลงขัดสมาธิฟังร่างสูงใหญ่นั้นบริกรรมคัมภีร์เต๋าด้วยสีหน้าเคลิ้ม
ยังมีผู้ฝึกตนจากโพ้นทะเลที่ได้ยินเสียงบริกรรมนี้แล้วก็มีสีหน้าตกใจระคนตื่นเต้น ก่อนจะทะยานมานั่งขัดสมาธิบนสนามเต๋านี้เป็นครั้งคราว
ไกลออกไป ร่างของซูอี้และคณะก็ปรากฏกายขึ้น
“เพียงเสียงสวดก็ทำให้ข้ารู้สึกได้แล้วว่าจะสามารถเคลื่อนวิถีได้ทุกเมื่อ…”
ดวงตาของยมบาลจรัสแสง สีหน้าปรากฏความตะลึง “หรือยอดคนในขอบเขตจุติสรวงจะเป็นผู้เทศนา?”
เว่ยซานและเมิ่งฉางอวิ๋นอดสะท้านใจมิได้
ภาพนี้ศักดิ์สิทธิ์เหนืออื่นใดจริงแท้ เหมือนเทพเซียนสอนสั่งเทศนาเคล็ดมหาวิถีแก่โลกหล้า
มีเพียงซูอี้ที่ขมวดคิ้วน้อย ๆ