บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1295: ตั๊กแตนจับจักจั่น
ตอนที่ 1295: ตั๊กแตนจับจักจั่น
วจีวิถีนี้ดุจเสียงสวรรค์
เหนือซากดาราไกลออกไป ร่างสูงใหญ่นั้นนั่งขัดสมาธิบนแท่นวิถีเก้าจั้ง ซึ่งเปี่ยมไปด้วยเพลิงศักดิ์สิทธิ์เลื่อมพราย แสงวิถีเฉิดฉายเยี่ยงเทพเซียน
แม้ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ที่มารวมตัวในสนามเต๋าจะมีขอบเขตไม่ถึงราชันแห่งภูมิ แต่ก็มีราชันแห่งภูมิรวมอยู่หกเจ็ดคนด้วย
พวกเขาเหมือนดั่งสาวกฟังเทศนาอย่างเลื่อมใส
ภาพนี้เป็นเช่นคำร่ำลือยามเทพเซียนเปิดธรรมสถาน สอนสั่งเคล็ดคัมภีร์
“มิน่าเล่า ช่วงนี้จึงมีผู้ฝึกตนแห่กันมาจากทั่วสารทิศ ปรากฏว่ามีนิมิตเซียนเช่นนี้อยู่ในสมุทรมารไร้กำหนดจริง ๆ”
จวงปี้ฟานตื่นเต้น
“นิมิตเซียน? หรือจะบอกว่าผู้ที่นั่งเทศนาบนแท่นนั้นคือ… เซียนจริง ๆ หรือ?”
เว่ยซานตะลึงอึ้ง
ก่อนหน้านี้ พวกเขาต่างรับรู้จากจวงปี้ฟานว่าไม่กี่ปีมานี้ เกิดการเปลี่ยนแปลงในสมุทรมารไร้กำหนดอย่างต่อเนื่อง
หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงอันเด่นชัดที่สุดคือมีโอกาสที่สงสัยว่าน่าจะเกี่ยวพันกับซากโบราณวิถีเซียนปรากฏขึ้นมากมาย!
นอกจากนั้น ในกาลก่อน ราชันแห่งภูมิยังมิกล้าเข้ามาในแดนหวงห้ามนี้
แต่ยามนี้ ทุกผู้ฝึกตนในโลกหล้าล้วนมาได้!
สิ่งนี้ก่อให้เกิดเสียงเซ็งแซ่ในโลกหล้า นำมาซึ่งผู้ฝึกตนมากมายเกินนับไหว
กระทั่งขุมกำลังสูงสุดบางแห่งยังส่งกำลังพลมาสำรวจ
“เซียนหรือ…”
ดวงตาของยมบาลเหม่อลอยเล็กน้อย
วจีวิถีนั้นกังวานทั่วฟ้าดิน มันดูเป็นปริศนา ทั้งจวงปี้ฟาน เว่ยซานและคนอื่น ๆ ล้วนตระหนักถึงสารพัดเรื่องราวอย่างกับมันจะมีผลประโยชน์มหาศาล
และยามที่พวกเขากำลังจะเข้าไปสัมผัสใกล้ ๆ นั้นเอง
ซูอี้พลันหยุด “ระวัง!”
สองคำเรียบง่ายนี้บรรจุธรรมวจนะสูงสุดแห่งวิถีพุทธไว้ แทรกสะท้านสู่ใจผู้คน
ตู้ม!
วิญญาณของเว่ยซานระริกไหว ตาสว่างคืนสติ พลันหลุดจากอำนาจอันไม่อาจมองเห็น
“นายน้อย หรือว่า…”
เว่ยซานงุนงง
โดยไม่รีรอให้เขาพูดจบ ซูอี้ยกปลายนิ้วขึ้น แสงวิถีเกินคาดหยั่งปรากฏขึ้นหนึ่งสาย ควบแน่นเป็นคันฉ่องสมบัติที่มีลักษณะเรียบนิ่งและโปร่งใสบานหนึ่ง
เมื่อทุกผู้มองผ่านสนามเต๋าห่างออกไปผ่านคันฉ่องสมบัตินี้อีกครั้ง ภาพก็พลันแปรเปลี่ยน
ร่างสูงใหญ่ซึ่งนั่งบนแท่นวิถีเก้าจั้งนั้น เมื่อครู่ดูราวเทพเซียน
ทว่ายามนี้กลับเป็นร่างวิญญาณโชกโลหิต!
ร่างวิญญาณนั้นชัดเจนจนเหมือนมีตัวตน สวมชุดคลุมสีดำขาดวิ่น เส้นผมรุงรัง สีหน้าโทรมซีด ดวงตาแดงก่ำ แผ่ความชั่วร้ายและอำนาจคำสาปร้ายแรงทั่วร่าง
เขานั่งขัดสมาธิบริกรรมวาจา
และตรงหน้าเขามีเศษสำริดขึ้นสนิมลอยข้างอยู่ชิ้นหนึ่ง
สิ่งที่ยิ่งแปลกคือพลังชีวิตทะลักออกจากร่างเหล่าผู้ฝึกตนในสนามเต๋า รินหลั่งเข้าสู่เศษสำริดชิ้นนั้น
และกลุ่มผู้ฝึกตนซึ่งเหมือนสาวกผู้ภักดีก็ยังดูลุ่มหลงไม่รู้ตน
ภาพนี้ทำให้พวกจวงปี้ฟานตกใจอ้าปากค้าง
“ที่แท้ก็เป็นแผนชั่วของวิญญาณอาสัญดวงหนึ่ง!”
จวงปี้ฟานกล่าวอย่างเย็นชา
เขาเองก็เป็นผู้ยิ่งใหญ่ชั้นหนึ่งในจักรวาลพร่างดาว ทว่าเมื่อครู่เขาเกือบติดร่างแหไปด้วย สีหน้าของเขาจึงอ่านได้ยากเล็กน้อย
วิญญาณอาสัญ
ร่างวิญญาณอันน่าหวาดหวั่นยิ่ง เปี่ยมความเคียดแค้นและอำนาจคำสาป แปรเปลี่ยนจากผู้ฝึกตนเซียนซึ่งสิ้นชีพดับสูญไปใน ‘ยุคสิ้นกฎเกณฑ์’
ซูอี้ได้เห็นอำนาจวิญญาณอาสัญมาตั้งแต่อยู่ในสันเขาอีกา
ทว่าเทียบกันแล้ว วิญญาณอาสัญตรงหน้าเขานี้ร้ายกาจเสียยิ่งกว่า
มันดูเหมือนจะมีภูมิปัญญา ตั้งสนามเต๋า ใช้เคล็ดวิชาลวงใจตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิ สร้างภาพดุจเซียนเทศนาธรรม
อันที่จริง วิญญาณอาสัญนี้กำลังใช้เศษสำริดลึกลับนี้รวบรวมวิถีเต๋าและพลังชีวิตของผู้ฝึกตนเหล่านี้อยู่ต่างหาก! ชั่วร้ายยิ่งนัก
“ในเมื่อมีวิญญาณอาสัญในสมุทรมารไร้กำหนดนี้ ต้องหมายความว่ามีผู้ฝึกตนเซียนหลายคนที่ตกตายในยุคสิ้นกฎเกณฑ์”
ซูอี้กระซิบ “ปัดตกไม่ได้กระทั่งเรื่องที่เคยมีขุมกำลังเซียนกระจัดกระจายในสมุทรมารไร้กำหนดนี้ในยุคสิ้นกฎเกณฑ์”
กาลเวลาแปรเปลี่ยนจริงแท้
เดิมที ทัศนาจารย์เองก็เคยท่องสัญจรในสมุทรมารไร้กำหนดนี้ แต่เขาก็ไม่เคยพบกับวิญญาณอาสัญสักดวง!
“นายน้อย วิญญาณอาสัญนั้นกำลังสะสมพลังมหาวิถีและชีวิตของผู้ฝึกตนผู้นั้น มันคิดสร้างร่างวิถีใหม่ คืนกลับสู่โลกหล้าหรือไม่?”
หากเป็นเช่นนั้นจะน่ากลัวนัก
เพราะถึงอย่างไร วิญญาณอาสัญก็เป็นผู้ฝึกตนเซียนก่อนสิ้นใจ หากเขาฟื้นคืนสู่โลกหล้า ก็ไม่อาจคาดได้ว่าจะเกิดพายุใหญ่เช่นไร
“ยากจะกล่าว”
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ “แต่ก็สรุปได้ว่าวิญญาณอาสัญทั่วไปหาได้มีสติปัญญาไม่ และยากจะรอดจากยุคสิ้นกฎเกณฑ์จวบจนยามนี้”
เขามองไปยังแท่นวิถีที่อยู่ไกลออกไป “และวิญญาณอาสัญนี้มีเชาว์ สร้างค่ายกลสังหารเพื่อสั่งสมพลังชีวิตของผู้ฝึกตน ก่อนจะตาย เขาต้องเป็นผู้ฝึกตนเซียนซึ่งร้ายกาจอย่างยิ่ง!”
“ส่วนเรื่องที่เขาจะคืนชีวิตได้หรือไม่นั้น… จับเป็นให้ได้ก็รู้เอง”
กล่าวจบ ซูอี้ก็เตรียมลงมือ
ทว่าจวงปี้ฟานกลับแย้มยิ้ม ก่อนจะกล่าวขึ้นมาว่า “แค่สารเลวหนึ่งตน ให้ข้าจัดการเถอะ”
อาภรณ์ของเขาสะบัดไหว ร่างวับวูบมาถึงสนามเต๋า
“เฮอะ!”
จวงปี้ฟานสะบัดขลุ่ยไผ่เขียวของเขา ฟาดฟันผ่านนภาเข้าสู่แท่นวิถีที่มีความสูงเก้าจั้ง
วิญญาณอาสัญผู้เต็มไปด้วยปราณคำสาปหัวเราะร่า ดวงเนตรแดงฉานฉายประกายล้อเลียน
ตู้ม!
วิญญาณอาสัญหาได้ขยับไม่ ทว่าเศษสำริดตรงหน้าเขาระเบิดพิรุณแสงกวาดผ่านเวหา
ร่างของจวงปี้ฟานถูกกระแทกซวนเซ จนแทบร่วงลงจากบนฟ้า
วิญญาณอาสัญเงี่ยหูพลางหัวเราะคิก “แค่นี้หรือ?”
น้ำเสียงนั้นเล็กแหลม นุ่มนวลสำรวม
จวงปี้ฟานมีสภาพที่ดูไม่ค่อยได้นัก สีหน้าของเขายามนี้จึงดูอับอายยิ่ง
เดิมเขาอยากเฉิดฉายต่อหน้าพวกซูอี้ ทว่าไม่คาดว่าจะถูกผลักกระเด็นในพริบตา ใบหน้าของเขาจึงร้อนผ่าวขึ้นมา
“ไป!”
จวงปี้ฟานแค่นเสียงเย็นชา ขณะโบกแขนเสื้อตน
ตราประทับวิถีสีทองชิ้นหนึ่งทะยานเวหาโจมตีอีกหน ทว่าเมื่อเศษสำริดเรืองประกาย ตราประทับวิถีนั้นก็ถูกฟาดกระเด็นทันที
จวงปี้ฟานถูกผลกระทบจนแทบกระอักเลือด สีหน้าอดแปรเปลี่ยนไม่ได้
เศษสำริดนั่นเป็นสมบัติอันใดกัน เหตุใดจึงแข็งแกร่งเช่นนี้?
“การฝึกฝนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดอาจเรียกได้ว่าเป็นตัวตนสูงสุดในโลกหล้าทุกวันนี้ แต่ในสมัยบรรพกาล ตัวตนเช่นพวกเจ้ามีกลาดเกลื่อน มิอยู่ในสายตาข้าผู้นี้แม้เพียงนิด”
วิญญาณอาสัญลูบคางตนเบา ๆ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
น่าแปลกที่แม้จะเกิดสงคราม แต่ผู้ฝึกตนทั้งหลายบนสนามเต๋ากลับนั่งเหม่อเยี่ยงรูปปั้นดินเหนียว
จวงปี้ฟานรู้สึกอับอาย และเตรียมตัวจะโจมตีอีกหน
ทว่าซูอี้ทะยานเข้ามาแล้ว “ต่อหน้าข้า จำต้องเสแสร้งด้วยหรือ? พอแค่นี้แหละ อย่าให้ตัวตนชั่วช้านี่เย้ยเยาะเจ้าสนุกปากมากไปกว่านี้เลย”
จวงปี้ฟานเงียบลงอย่างอับอาย
“โห ราชันแห่งภูมิในขอบเขตคืนสู่สามัญอายุเพียงยี่สิบเศษ แข็งแกร่งนะนี่”
เนตรแดงฉานของวิญญาณอาสัญบนแท่นวิถีมองซูอี้อย่างรุ่มร้อนราวพบกับสมบัติหายาก
“การพบพานเช่นนี้ช่างหายากนัก ขอเพียงเจ้าเต็มใจ ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์ สอนวิชาเซียนที่แท้จริงให้เจ้า!”
วิญญาณอาสัญกล่าว “เจ้าก็น่าจะสังเกตเห็นแล้วเช่นกันว่าวิถีแห่งโลกหล้าแปรเปลี่ยน อำนาจหายนะในยุคสิ้นกฎเกณฑ์สลายไปหมดแล้ว และยุคนี้จะมีวิถีจุติสรวงหวนคืน!”
“ในภายหน้า โลกหล้านี้ ราชันแห่งภูมิจะไม่มีค่าในสายตาอีกต่อไป ผู้ที่สามารถปกครองทั่วโลกหล้าได้จะเป็นตัวตนในขอบเขตจุติสรวงต่างหาก!”
กล่าวถึงตรงนี้ เขาก็ยกนิ้วชี้หน้าตน “และข้าผู้นี้ก็อยู่ในวิถีจุติสรวงมาแต่ยุคสิ้นกฎเกณฑ์ และเคยปกครองสำนักเต๋าแห่งหนึ่งมาก่อน!”
ทันทีที่วาจาถูกกล่าว หัวใจของจวงปี้ฟานก็สะท้านสั่น
วิญญาณอาสัญนี้ เดิมคือเจ้าสำนักวิถีเซียน?
ซูอี้แค่นเสียงกล่าว “เหตุใดเจ้าจึงอยากรับศิษย์ขึ้นมาเล่า?”
วิญญาณอาสัญกล่าวพร้อมกับยิ้มว่า “ไม่ช้าก็เร็ว ข้าก็จะหวนคืนสู่โลกหล้า ทว่าไร้ทายาทรุ่นหลัง ข้าหาได้สนใจคนทั่วไปไม่ มีเพียงคนเช่นเจ้าที่เข้าสู่วิถีราชันแห่งภูมิแต่ยังเยาว์เท่านั้นที่อยู่ในสายตาข้าได้”
วาจาเหล่านี้กระทบโสตของจวงปี้ฟาน ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ เจ้าผีนี่ก็เสแสร้งเก่งแท้!
ซูอี้กล่าว “ข้าเองก็สนใจในตัวเจ้ามาก ขอเพียงตอบคำถามมา และข้าจะให้เจ้ารอดชีวิตได้”
วิญญาณอาสัญตะลึง และอดขยี้หูตนมิได้ “นี่เจ้าข่มขู่ข้าอยู่หรือ?”
ซูอี้พยักหน้า “จะเข้าใจเช่นนั้นก็ได้”
วิญญาณอาสัญ “…”
เขาเงียบไปนานและพลันหัวเราะออกมา “ช่างกล้า! ข้าชื่นชมคนรุ่นหลังผู้ไม่กลัวฟ้ากลัวดิน เทพมารเป็นตายเช่นเจ้าที่สุดในชีวิตเลย! ทว่า…”
รอยยิ้มของเขาหดหาย ดวงตาสีแดงฉานดูน่าสะพรึง “แค่ว่า เจ้าไม่กลัวข้าฆ่าเจ้าด้วยโทสะหรือไร?”
ซูอี้ว่า “ไม่กลัวหรอก”
วิญญาณอาสัญ “…”
จวงปี้ฟานอดกล่าวอย่างสบายใจขึ้นมาไม่ได้ “ข้าพอจะเห็นแล้วว่าวิญญาณอาสัญนี่เหมือนจะสัมผัสบางอย่างผิดปกติได้แล้ว และกลัวเกินกว่าจะลงมือสุ่มสี่สุ่มห้า หาไม่ ไยต้องพูดเยิ่นเย้อด้วย”
ซูอี้กล่าวเสียงลุ่มลึก “ก็จริง”
วิญญาณอาสัญ “…”
เขาลุกขึ้นจากแท่นวิถี โทสะเดือดปุดและอำนาจคำสาปแผ่ออกจากร่างชุ่มเลือดของเขา ร้ายกาจน่าหวาดหวั่น
ม่านตาของจวงปี้ฟานหดตัวกะทันหัน
ทว่าเขากลับไม่คิดว่าร่างของวิญญาณอาสัญจะพลันวูบไหวลี้หนีไปไกล
“เ*ย! โดนต้มเสียเปื่อย ไอ้บ้านี่หลอกให้ตกใจนี่หว่า!”
จวงปี้ฟานสบถ
ซูอี้เองก็ตะลึงระคนประหลาดใจเช่นกัน
ทว่ายามนี้ ความผิดปกติพลันอุบัติ!
ไกลออกไปใต้ท้องนภา
ตู้ม!
ศรทองดอกหนึ่งทะลวงผ่านม่านสวรรค์ ขวางวิญญาณอาสัญไว้
ขณะเดียวกัน ร่างแหสีดำก็ปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ ขยายขนาดมิอาจประมาณราวกับสามารถปกคลุมทั่วนภามืดดำ คลุมวิญญาณอาสัญไว้
เปรี้ยง!!!
ด้วยเสียงกัมปนาท ศรทองพลันระเบิดออกเยี่ยงตะวันฉาย แม้จะมิได้สังหารวิญญาณอาสัญลง แต่มันก็ทำให้เขาสะท้านซวนเซ
ร่างแหสีดำที่เหมือนชั้นม่านฉวยโอกาสนี้คลุมร่างวิญญาณอาสัญไว้ภายใน
เปรี้ยง!
ร่างแหสีดำหมุนวน เพลิงศักดิ์สิทธิ์จ้าจรัส หดร่างลงอย่างต่อเนื่อง พยายามขังร่างวิญญาณอาสัญเอาไว้
และคนสามคนก็ปรากฏขึ้นใต้ท้องนภาที่อยู่ไกลออกไปอย่างเงียบเชียบ
สองบุรุษหนึ่งสตรี
ผู้นำเป็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมกระเรียน เงาร่างสูงใหญ่ทอดยาวหมื่นจั้ง
เขาคือผู้ควบคุมร่างแหสีดำ
“ในที่สุดก็สบโอกาสจับวิญญาณอาสัญผู้ฉลาดเฉลียวนี้ได้เสียที แล้วทำไมจะต้องกังวลว่าจะไม่อาจได้รับมรดกขอบเขตจุติสรวงด้วย?”
ชายในชุดคลุมกระเรียนหัวเราะ
ไกลออกไป หลังจากเห็นภาพนี้ จวงปี้ฟานก็ขมวดคิ้วกล่าว “ตั๊กแตนจับจักจั่น มิทันระวังนกขมิ้นเบื้องหลัง คนตระกูลซูช่างทำตัวลอบกัดเสียจริง!”
เขามองปราดเดียวก็รู้ที่มาของคนทั้งสาม
พวกเขามาจากตระกูลซูเผ่าภูตเพลิงสวรรค์ หนึ่งในหกตระกูลโบราณอารักษ์วิถี!