บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1296: เนรคุณ
ตอนที่ 1296: เนรคุณ
เผ่าภูตเพลิงสวรรค์นั้นถือตนเป็น ‘ทายาทเทพแห่งเพลิง’
ลือกันว่าบรรพบุรุษเผ่านี้คือเพลิงต้นกำเนิดจักรวาลอันกำเนิดขึ้นยามแรกที่สวรรค์อุบัติ!
ทายาทเผ่านี้ล้วนแต่มีความสามารถธาตุไฟเลิศล้ำ พวกเขาจึงสามารถปลุกพลังเกี่ยวเนื่องกับเพลิงได้โดยธรรมชาติ
ภูมิหลังของเผ่านี้เก่าแก่มิด้อยไปกว่าเผ่าภูตหลวนคราม
ในหมู่หกตระกูลโบราณอารักษ์วิถี กล่าวได้เช่นกันว่าพวกเขาอยู่ในจุดสูงสุด
และสองบุรุษหนึ่งสตรีซึ่งปรากฏในครานี้ก็ต่างเป็นยอดฝีมือในขอบเขตไร้ขีดจำกัดจากตระกูลซูเผ่าภูตเพลิงสวรรค์!
“ใครเป็นตั๊กแตน ใครคือนกขมิ้น และผู้ใดคือจักจั่น ทุกอย่างยังมิอาจทราบ”
ซูอี้กล่าวเบา ๆ
จวงปี้ฟานตะลึงไปครู่ และอดพึมพำมิได้ “จริง ๆ เลย มีเจ้าอยู่ทีไร ความคิดของข้าก็ดูจะเรียบง่ายเกินไป รูปแบบการวางตนไม่ยิ่งใหญ่ไปเสมอเลย”
ซูอี้ “…”
ป่านนี้แล้ว เจ้านี่ยังมัวสนใจแต่เรื่องที่ผู้ใดวางตนยิ่งใหญ่กว่ากันอีกหรือ?
หลังจากครุ่นคิดสักพัก ซูอี้ก็อธิบายอย่างอดทน “วิญญาณอาสัญนั่นมีปัญหา ไม่ใช่เหยื่อที่ผู้ใดก็จับได้หรอก”
ม่านตาของจวงปี้ฟานหดตัวลงน้อย ๆ
“ผู้อาวุโส ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
ไกลออกไป หนึ่งเสียงกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา
ปรากฏว่าชายชราในชุดสีเทาร่างผอมแห้งที่อยู่ข้างกายชายในชุดคลุมลายกระเรียนมองมาด้วยดวงตาวาวโรจน์ สีหน้ามิสู้ดีนัก
“ตั๊กแตนจับจักจั่น มิทันระวังนกขมิ้นเบื้องหลังอันใดกัน พวกเจ้าควรค่าแล้วหรือ?”
สตรีชุดม่วงอีกคนก็กล่าวอย่างเหยียดหยาม “หากพูดพล่อย ๆ จะถูกฆ่าเอานะ!”
จวงปี้ฟานถูจมูก ไม่กล่าววจีใด ขณะลอบรำพึงว่านี่มันโอกาสเฉิดฉายอันหาได้ยากแท้ ๆ!
จวงปี้ฟานเหลือบมองซูอี้ที่อยู่ข้างกายด้วยสีหน้าซับซ้อน ราวกับจะบอกว่าข้าจะรอดูว่าเจ้าจะสร้างเรื่องเช่นไร
ทว่าเขากลับต้องแปลกใจที่ซูอี้หาได้เคลื่อนไหวไม่
นี่มันเรื่องอันใด?
ถูกยั่วยุเช่นนี้ ยังทนได้อีกหรือ?
ยามนี้เอง พลันเกิดเหตุผิดปกติขึ้นไกล ๆ
เศษสำริดบนร่างของวิญญาณอาสัญซึ่งติดในร่างแหพลันทะยานขึ้น
วูบ!
หนึ่งแสงจรัสจ้า แล้วเศษสำริดก็ทะลวงผ่านร่างแหสีดำได้โดยง่าย
ร่างของชายในชุดคลุมลายกระเรียนซึ่งควบคุมร่างแหสีดำนี้ซวนเซ เขาถูกผลกระทบจนใบหน้าเปลี่ยนสีอย่างช่วยมิได้
“บังอาจลอบโจมตีข้า คิดจริง ๆ หรือว่าข้าจะกลัวพวกเจ้า?”
สีหน้าของวิญญาณอาสัญเย็นชา เศษสำริดพลิ้วละล่อง ทำให้บรรยากาศของเขาพลันลึกลับประหลาด
เขาดีดนิ้ว
หมอกควันทมิฬอันเปี่ยมพลังคำสาปพุ่งเข้าสู่ชายชราชุดเทาร่างผอมแห้งทันที
สีหน้าของชายชราผอมแห้งชุดเทาแปรเปลี่ยนเล็กน้อย เขารีบขยับหลบเลี่ยง
ตู้ม!
บริเวณที่เขาเคยยืนอยู่แหลกสลาย
แทบจะในยามเดียวกัน ชายในชุดคลุมลายกระเรียนและสตรีชุดม่วงต่างลงมือสังหารวิญญาณอาสัญนี้ร่วมกัน
ชายในชุดคลุมลายกระเรียนบงการร่างแหสีดำ แข็งแกร่งทรงพลัง ร่างของเขาระเบิดพันกระแสเปลวเพลิงดุจเทพอัคคีโปรดโลกหล้า
สตรีชุดม่วงพลิกมือ นำคันธนูใหญ่สีทองออกมายิงศรทองเจิดจรัสเป็นสาย ทะยานผ่านเวหา
“ฝีมือแค่นี้ ดีดนิ้วก็สิ้นแล้ว!”
วิ้ง!
เศษสำริดทะยานสู่อากาศ ระเบิดรัศมีเจิดจ้าเรืองรองดุจพิรุณแสงเซียนโปรยปราย แรงกดดันบังเกิดทำให้ร่างแหสีดำแหลกสลายไปทีละน้อย
ศรทองถูกล้างหายไปอย่างง่ายดาย
ชายในชุดคลุมลายกระเรียนและสตรีชุดม่วงอดประหลาดใจไม่ได้ หัวใจของพวกเขาสั่นสะท้าน วิญญาณอาสัญผู้ฉลาดเฉลียวนี้ทรงพลังกว่าที่พวกเขาคิดไว้!
จวงปี้ฟานอดตะลึงมิได้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจคำพูดของซูอี้
วิญญาณอาสัญนี้… มีปัญหาใหญ่จริง ๆ ด้วย!
ทว่าสิ่งที่ทำให้จวงปี้ฟานงุนงงคือเมื่อครู่ ไยวิญญาณอาสัญนี้จึงเลือกหนี?
วิญญาณอาสัญซึ่งอยู่ไกลออกไปลงมือโจมตี เศษสำริดส่องแสงศักดิ์สิทธิ์แผดจ้าเข้าโจมตีสามราชันแห่งภูมิขอบเขตไร้ขีดจำกัดของเผ่าภูตเพลิงสวรรค์
ดวงตาของชายในชุดคลุมลายกระเรียนเรืองวาบเย็นชา ตวาดลั่นดุจอสนีบาต “ย้าก!”
ตู้ม!
ดาบบินสีแดงเพลิงปรากฏขึ้นดุจตะวันอัสดงแผดเผา
แทบจะในยามเดียวกัน ชายชราชุดเทาและสตรีชุดม่วงต่างใช้สมบัติก้นหีบอันแข็งแกร่งสูงสุดของตนทุ่มสุดฝีมือ
มหาสงครามบังเกิด
สิ่งที่น่าตกใจก็คือ แม้พวกเขาจะทุ่มอาวุธสังหารออกมา แต่ก็ยังไม่ถูกเศษสำริดปราบลงได้เพียงชั่วครู่!
“ตาย!”
ดวงตาของวิญญาณอาสัญเผยจิตสังหาร เศษสำริดพลันทะยานลงอย่างดุดัน
เปรี๊ยะ!
ดาบบินสีแดงเพลิงแหลกมลาย
ใบหน้าของชายในชุดคลุมลายกระเรียนซีดขาว ในขณะที่ทั้งสองเองก็ถูกป่นสมบัติโดยพร้อมเพรียง วิญญาณแทบหลุดลอย
มันเกิดขึ้นกะทันหัน และสายเกินกว่าจะหลบเลี่ยง
ยามนี้เอง ร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นคว้าเศษสำริดชิ้นนั้นไว้
เขาคือซูอี้
ปราณเวียนวัฏอันลึกลับเกินเข้าใจละล่องบนมือของเขา ขวางเศษสำริดไว้ได้ในพริบตา
ภาพอันกะทันหันนี้ทำให้พวกชายในชุดคลุมลายกระเรียนล้วนตะลึงด้วยความไม่อยากเชื่อ
พวกเขาเห็นความน่าสยดสยองของเศษสำริดชิ้นนั้นแล้ว ใครเล่าจะคิดว่ามีผู้ขวางสมบัติชิ้นนี้ไว้ด้วยมือเปล่าในหนนี้?
สีหน้าของวิญญาณอาสัญแปรเปลี่ยนอย่างมหันต์ ความหวาดกลัวลึกล้ำปรากฏในแววตาสีแดงสด จนมันไม่กล้าลงมืออีกในชั่วขณะ
ยามนี้เอง เสียงหนึ่งก็ตะโกนขึ้นอย่างกรุ่นโกรธ “ปล้นกันยามไฟไหม้หรือ? ไปให้พ้น!”
ชายในชุดคลุมลายกระเรียนลงมือฟาดหมัดเข้าใส่ซูอี้ รวดเร็วหมายชีวิตเยี่ยงอสนีบาต
ชายชราชุดเทาและสตรีชุดม่วงเองก็มีสีหน้ามืดหมอง พุ่งเข้าโจมตีซูอี้ด้วยกัน
สามตัวตนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดร่วมมือ ฟ้าดินแปรสี เป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อซูอี้
อำนาจของเศษสำริดนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่ง และมันดิ้นรนต่อเนื่องเสียจนซูอี้ต้องรบกับมันสุดกำลัง
ยามนี้ เมื่อพวกของชายในชุดคลุมลายกระเรียนลงมือ พวกเขาก็หมายลอบโจมตีโดยมิให้ซูอี้ตั้งตัวจนต้องทิ้งเศษสำริดไป
วูบ!
หลังเศษสำริดหนีไปได้ มันก็ทอประกายแสงเซียนเจิดจ้า หนีไปพร้อมกับวิญญาณอาสัญลับตาไปในทันที
การเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในชั่วประกายเพลิง
เป็ดย่างบินหนีไปเสียเช่นนั้น
ซูอี้อดตะลึงไม่ได้
“เราทุ่มเทสู้แทบตาย แต่เจ้าพุ่งเข้ามาเป็นขัด ไอ้หนู เจ้าต้องชดใช้อย่างหนัก!”
ชายชราชุดเทาเดือดดาล ใบหน้ามืดหม่นน่าสะพรึง
“ใช้คนของเผ่าภูตเพลิงสวรรค์เป็นนกต่อ? ไม่มีผู้ใดกล้าหาญเช่นเจ้ามาก่อนเลย!”
แววตาของสตรีชุดม่วงเย็นชาระคนกดดัน
จวงปี้ฟานอดกล่าวอย่างโกรธเคืองมิได้ “พวกเจ้ามันสุนัขลอบกัด เนรคุณสิ้นดี! รู้เช่นนี้ปล่อยพวกเจ้าตายไปเสียก็ดี!”
จริงอยู่ที่การเคลื่อนไหวของซูอี้เมื่อครู่ทำเพื่อยึดสมบัติ แต่ก็เทียบได้กับช่วยชีวิตพวกเขาทั้งสามคน!
หาไม่ ด้วยความแข็งแกร่งของคนทั้งสาม พวกเขาก็มีแต่จะตกตาย
แต่ใครเล่าจะคิดว่าคนทั้งสามไม่เพียงไม่รู้จักขอบคุณ ยังถือซูอี้เป็นคู่แข่งและเข้าตะลุมบอนทันที
“วอนตาย!”
ชายชราชุดเทาเดือดดาล ดวงตามองจวงปี้ฟานคมกริบเยี่ยงคมดาบ
“พอแล้ว”
ชายในชุดคลุมลายกระเรียนโบกมือ
เขาหันไปกล่าวกับซูอี้อย่างเฉยชา “ฉวยโอกาสชิงสมบัติยามผู้อื่นคับขัน ไม่ว่าอย่างไรก็น่าละอาย ดังนั้นให้โอกาสเจ้าแก้ตัวสักหน ร่วมมือกับเราปราบวิญญาณอาสัญนั่น แล้วเราจะมิโทษเจ้าเรื่องเมื่อครู่”
เขาเห็นว่าเคล็ดพลังมหาวิถีของซูอี้นั้นดูจะสามารถหยุดเศษสำริดนั้นได้ จึงวางแผนใช้เขา
จวงปี้ฟาน “???”
นี่คือการวางตัวต่อผู้ช่วยชีวิตหรือ?
ซูอี้ถูหว่างคิ้ว แล้วก็อดหัวเราะไม่ได้
“เจ้าคิดว่ามันตลกหรือ?”
ชายชราชุดเทาถาม จิตสังหารแผ่ซ่านไปทั่วร่าง
สตรีชุดม่วงกล่าวช้า ๆ “ข้ารู้ว่าเจ้ามาจากตระกูลจวง และรู้ด้วยว่าเจ้าเฒ่านั่นคือจวงปี้ฟานผู้ลือนามในโลกหล้า ทว่าต่อหน้าเผ่าภูตเพลิงสวรรค์ของข้า ตัวตนเช่นเจ้าไร้ค่าในสายตา ข้าแนะนำให้เจ้าคิดให้ดี อย่าทำผิดพลาดอีก”
ในวาจาเรียบง่ายนั้นเต็มไปด้วยการลดชั้นให้ต่ำลง
จวงปี้ฟาน “…”
นี่เพราะเขาไม่ลือนามพอ จึงลากทัศนาจารย์ลงมาโดนดูหมิ่นด้วยหรือ?
ทำร้ายความภูมิใจในตนกันสุด ๆ!
“พอแล้ว ตัดสินใจเสีย”
เห็นได้ชัดว่าชายในชุดคลุมลายกระเรียนใจร้อนเล็กน้อย
ทุกสายตาล้วนมองมายังซูอี้
ซูอี้นำไหสุราออกมาจิบ คร้านเกินกว่าจะพูด และเตรียมลงมือทันที
ทว่าหนึ่งเสียงชราอันแหบพร่าพลันดังออกมาจากไกล ๆ
“น่าขัน ช่างน่าขันนัก ยามใดกันที่พวกเจ้าจากเผ่าภูตเพลิงสวรรค์กลายเป็นไอ้โง่ตาบอดไปเช่นนี้?”
ซูอี้ขมวดคิ้วน้อย ๆ สายตามองไปไกล
และเขาก็พบกับชายชราผู้หนึ่งในอาภรณ์ผ้า สวมหมวกกลมสีดำปรากฏกายขึ้นแต่ยามใดมิอาจทราบ
คู่หัตถ์ซุกในแขนเสื้อ รูปลักษณ์ดาษดื่น คู่เนตรฝ้าฟาง
ทว่า ด้วยการปรากฏตัวของเขา โลกหล้าถิ่นนี้พลันมืดมัวดำสนิทเยี่ยงรัตติกาลนิรันดร์
“ที่แท้ก็เป็นเจ้าเฒ่านี่”
ซูอี้กระซิบ สีหน้าพลันกระจ่างแจ้ง
ขณะเดียวกัน ทั้งสามก็ประหลาดใจ จำตัวตนของชายชราสวมหมวกดำได้ทันที
เหวินป๋อฝู
ตัวตนบรรพกาลระดับลายครามของตระกูลเหวิน!
และตระกูลเหวินโบราณเองก็เป็นหนึ่งในตระกูลโบราณอารักษ์วิถี มีภูมิหลังร้ายกาจยิ่ง
โดยเฉพาะเหวินป๋อฝูผู้นี้น่ากลัวเป็นพิเศษ เขาเป็นตัวตนระดับบรรพชนในตระกูลเหวิน!
“เหตุใดผู้อาวุโสเหวินจึงกล่าวเช่นนี้?”
ชายในชุดคลุมลายกระเรียนขมวดคิ้ว สัมผัสได้แล้วว่ามีเรื่องมิชอบมาพากล
ทว่า เขามาจากเผ่าภูตเพลิงสวรรค์ สถานะสูงส่ง ไม่กลัวเกรงแค่เพียงการมาของเหวินป๋อฝูแต่อย่างใด
ดวงตาของชายชราชุดเทาและสตรีชุดม่วงเองก็มองมาที่เหวินป๋อฝูด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย
เหวินป๋อฝูส่ายหน้าน้อย ๆ ไม่คิดสนใจพวกเขาทั้งสามคนอีก ทว่าก้าวเข้ามาประคองมือคำนับซูอี้ “ตาเฒ่าไร้ค่าเหวินป๋อฝูคำนับทัศนาจารย์”
ทัศนาจารย์!!?
เมื่อได้ยินสมญานามนี้ พวกของชายในชุดคลุมลายกระเรียนทั้งสามก็ตะลึงไป ก่อนจะอ้าปากค้างราวถูกสายฟ้าฟาด ตะลึงจังงังไปตาม ๆ กัน
คนผู้ดูอ่อนเยาว์ยิ่งนักผู้นั้น แท้จริงคือทัศนาจารย์หรือ!?
ชั่วขณะนั้น หลังของพวกเขาเย็นวาบชุ่มเหงื่อ
ก่อนหน้านี้ หลังจากได้พบกับจวงปี้ฟาน พวกเขาก็เผลอถือซูอี้เป็นคนตระกูลจวง หาได้ใส่ใจมากไม่
ใครเล่าจะคิดว่าผู้ที่ถูกพวกเขาข่มขู่ไม่ไว้หน้า แท้ที่จริงจะเป็นตัวตนในตำนาน?
บรรยากาศพลันเงียบวังเวงอย่างน่าขนลุก
“เจ้าพยายามช่วยพวกเขาอยู่หรือ?”
ซูอี้กล่าวกับเหวินป๋อฝูด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบเล็กน้อย
ไม่โผล่มาเร็วหรือช้า แต่ได้จังหวะพอดิบพอดี เจ้าเฒ่านี่… เสแสร้ง!
เหวินป๋อฝูส่ายหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “มิใช่การช่วยชีวิตหรอก แต่เป็นเพราะข้ามีมิตรภาพกับผู้เฒ่าในตระกูลพวกเขาอยู่ จึงไม่อาจปล่อยให้พวกเขาตายโดยมิรู้กระจ่างได้ พวกเขาเองก็คงไม่ได้อยากลากเผ่าภูตเพลิงสวรรค์เข้ามาพัวพันรับหายนะเนื่องด้วยความผิดพลาดของพวกเขาด้วย”
ซูอี้พยักหน้า พอเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเหวินป๋อฝูจึงปรากฏขึ้นกะทันหัน
จวงปี้ฟานมองท่าทีนอบน้อมของเหวินป๋อฝูด้วยหัวใจบิดมวน
น่ารังเกียจนัก ทัศนาจารย์ได้บทอีกแล้ว!
………………..