บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1297: ฐานรากของวิญญาณอาสัญ
ตอนที่ 1297: ฐานรากของวิญญาณอาสัญ
คนทั้งสามล้วนสีหน้ามืดหมอง
ช่วงนี้ ข่าวเกี่ยวกับร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์นั้นกระฉ่อนไปทั่วโลกหล้า
เป็นไปได้หรือที่พวกเขาจะไม่เคยได้ยิน?
แต่ไม่มีผู้ใดคาดว่าพวกเขาจะได้มาพบพานในสมุทรมารไร้กำหนดนี้!
“ก่อนหน้านี้ ข้ามีตาไร้แวว ไม่สำเหนียกว่ากำลังอยู่ต่อหน้าใต้เท้าทัศนาจารย์ วาจาการกระทำจึงอาจล่วงเกินไป”
ชายชราชุดเทาสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “ทว่า ข้าไม่คาดว่าใต้เท้าทัศนาจารย์จะเลือกฉวยโอกาสปล้นกันยามไฟไหม้ในศึกเมื่อครู่ จึงอดมีโทสะมิได้ หวังว่าใต้เท้าทัศนาจารย์จะมิถือสา”
จวงปี้ฟานพลันหัวเราะอย่างเดือดดาล “ฉวยโอกาสปล้นยามไฟไหม้? กล้าพูดดีแท้! หากมิใช่เพราะการกระทำของทัศนาจารย์เมื่อครู่ เจ้ายังจะมีชีวิตอยู่หรือไร?”
ชายชราชุดเทาพลันพูดไม่ออก
จวงปี้ฟานกล่าวอย่างเย็นชา “ให้ข้าถามเจ้าอีกหน วิญญาณอาสัญนั่นไม่ได้มาจากเผ่าภูตเพลิงสวรรค์ของเจ้า แล้วการที่ทัศนาจารย์ลงมือโจมตีวิญญาณอาสัญนี่เรียกว่าปล้นกันยามไฟไหม้ได้ด้วยหรือ?”
เขาเว้นช่วงสักพักแล้วแค่นเสียงอย่างเย็นชา “ขนาดขอโทษยังวางก้ามใหญ่โตเพียงนี้ เผ่าภูตเพลิงสวรรค์ของเจ้ายิ่งใหญ่เกินใครเพียงนั้นหรือ?”
สีหน้าของชายชราชุดเทาบูดบึ้ง เห็นได้ชัดว่าโมโห ทว่าท้ายที่สุดก็รั้งตนไว้
เป็นท่าทีที่แสนคร้านเกินกว่าจะเถียงกับจวงปี้ฟาน
ไม่ห่างไปนัก เหวินป๋อฝูพลันกล่าว “หากเจ้าอยากมีชีวิตอยู่ เจ้าต้องโอนอ่อนสำนึกผิดอย่างจริงใจ หาไม่…”
โดยไม่รีรอให้พูดจบ ชายในชุดคลุมกระเรียนซึ่งเป็นผู้นำก็กล่าวขึ้นเสียงเบา “ผู้อาวุโสเหวิน เราทั้งหลายจากเผ่าภูตเพลิงสวรรค์หาตัวอ่อนตัวงอไม่! ความเข้าใจผิดเล็กน้อยเช่นนี้ ท่านจะให้เราไปคุกเข่าขอความเมตตาจากเขาหรือไร?”
เหวินป๋อฝูขมวดคิ้ว สีหน้าเหลือทนเล็กน้อย กล่าวอย่างรำคาญใจ “ที่ข้ามาช่วยพวกเจ้ายามนี้ เป็นการแส่ไม่เข้าเรื่องหรือไร?”
ชายในชุดคลุมกระเรียนกล่าวเนิบ ๆ “ผู้อาวุโสโปรดใจเย็นก่อน เราเข้าใจน้ำใจของท่านแล้ว แต่ข้าบอกอยู่ว่านี่เป็นเพียงความเข้าใจผิดเล็กน้อย ข้าเชื่อว่าใต้เท้าทัศนาจารย์คงมิคิดใส่ใจใช่หรือไม่?”
เขากล่าวพลางมองซูอี้อย่างเยือกเย็น ดูไร้ความกลัวใด ๆ
ยามนี้ เหวินป๋อฝูพลันหัวเราะเยาะ คร้านเกินกว่าจะพูด
ดวงตาของจวงปี้ฟานเย็นเยียบ
ชายชราชุดเทาพลันกล่าวเตือน “ใต้เท้าทัศนาจารย์ ผู้น้อยต้องเตือนท่านว่ากาลเวลาเปลี่ยนไปแล้ว ท่านอาจจะคุ้นชินกับการใช้หนึ่งดาบครองโลกหล้าในกาลก่อน แต่ต่อจากนี้ไปจะเป็นยุคสมัยที่ผู้คนให้เกียรติตัวตนในวิถีจุติสรวง ข้าแนะนำให้ท่านทำตัวให้เงียบเข้าไว้เพื่อไม่ก่อมหาหายนะ”
น้ำเสียงเฉยชา กล่าวช้า ๆ “ท่านอาจคิดว่าวาจาของผู้น้อยไม่เข้าหูยิ่ง ทว่าผู้น้อยควรกล่าวตรง ๆ ว่าครรลองแห่งโลกนี้จะแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง! และเผ่าภูตเพลิงสวรรค์ของเรา…”
ทันทีที่เขาพูดถึงตรงนี้ ปราณดาบสายหนึ่งพลันปรากฏ
ฉัวะ!
คอของชายชราชุดเทาถูกเสียบทะลุเป็นรู โลหิตทะลักไหล
ดวงตาของเขาเบิกกว้างฉับพลัน ริมฝีปากสั่นระรัวราวอยากกล่าวบางสิ่ง
ทว่า ท้ายที่สุด ร่างของเขาก็แหลกสลายหายไปโดยมิอาจกล่าวได้แม้เพียงคำเดียว
“หนวกหูจริง ๆ”
ซูอี้ส่ายหัวน้อย ๆ
จวงปี้ฟานกล่าวด้วยเสียงลุ่มลึก “น่ารำคาญเหมือนแมลงวันจริงแท้ ฆ่าทิ้งไปแล้วรู้สึกสดชื่นบอกไม่ถูก”
เปลือกตาของเหวินป๋อฝูกระตุก ตะลึงกับดาบอันรวดเร็วของซูอี้
มีการฝึกฝนเพียงขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยง แต่ฆ่าตัวตนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดได้ง่าย ๆ หรือ?
ไฉนจึงน่ากลัวได้เช่นนี้?
“เจ้า…”
ชายในชุดคลุมกระเรียนเดือดดาล ทว่าไม่คาดเลยว่าซูอี้จะลงมือสังหารผู้ติดตามของเขาในดาบเดียว
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “เจ้าเข้าใจถูกแล้ว ข้าฆ่าเขาโดยบังเอิญ เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด ข้าเชื่อว่าเจ้าคงมิคิดถือสาใส่ใจหรอกกระมัง?”
จวงปี้ฟานระเบิดหัวเราะ ให้ตาย! ทัศนาจารย์ยังคงตาต่อตา ฟันต่อฟันเหมือนเดิมมิเปลี่ยน!!
สตรีชุดม่วงพลันโพล่ง “ครานี้เรายอมแล้ว! ใต้เท้าทัศนาจารย์พอใจแล้วหรือไม่?”
ซูอี้หันไปถามจวงปี้ฟาน “นี่คือคนที่กำลังขอขมาหรือ?”
จวงปี้ฟานตอบอย่างเคร่งขรึม “คำขอขมาที่ใดกัน เห็นได้ชัดว่าทำส่ง ๆ โดยหาสำนึกไม่”
“ข้าก็เห็นเช่นนั้น”
ซูอี้พยักหน้า
เขากล่าวพลางยกปลายนิ้วสะกิดเบา ๆ
ฉัวะ!
หนึ่งปราณดาบพุ่งทะยาน
สตรีชุดม่วงผงะและหลบทันที
ทว่าปราณดาบสายนั้นแปรเปลี่ยนเป็นเส้นแสงนับไม่ถ้วนประสานฉวัดเฉวียน ปกคลุมทั่วฟ้าดินในระยะพันจั้ง
ร่างของสตรีชุดม่วงก็อยู่ในบริเวณนั้น
ร่างของนางแปรเปลี่ยนเป็นก้อนโลหิตนับไม่ถ้วนในพริบตา ก่อนจะเลือนสลายเป็นเถ้า
ภาพอันนองเลือดนี้ทำให้สีหน้าของชายในชุดคลุมกระเรียนแปรเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวสุดขีดในพริบตา
เขาไม่คาดว่าต่อหน้าเผ่าภูตเพลิงสวรรค์ของพวกตน ทัศนาจารย์จะกล้าไร้พิธีรีตองเช่นนี้!
“ข้าวอนขอความเมตตายามนี้ ใต้เท้าทัศนาจารย์มอบโอกาสให้ข้ารอดชีวิตต่อไปได้หรือไม่?”
ชายในชุดคลุมกระเรียนอดกล่าวไม่ได้
เขาลนลานอย่างเห็นได้ชัด!
จวงปี้ฟานอดดูแคลนไม่ได้ นี่อันใด? ผู้ใดกันที่เพิ่งพูดไปว่าคนจากเผ่าภูตเพลิงสวรรค์มิได้ตัวอ่อนตัวงอ?
“ได้”
ซูอี้เห็นด้วยอย่างไม่คาดคิด
ทว่า ก่อนที่ชายในชุดคลุมกระเรียนจะทันถอนใจโล่งอก ซูอี้ก็กล่าวขึ้นว่า “คุกเข่าลงอ้อนวอนขอความเมตตาจากข้าสิ”
ชายในชุดคลุมกระเรียนผงะไป ใบหน้าแดงก่ำอย่างแสนอับอายในบัดดล ตระหนักแล้วว่าทัศนาจารย์จงใจหยามเกียรติเขา!
เพราะเมื่อครู่ เขาบอกว่าเรื่องวันนี้เป็นเพียงความเข้าใจผิดเล็กน้อย ยังต้องให้เขาคุกเข่าลงอ้อนวอนขอความเมตตาหรือ?
แต่ยามนี้ ทัศนาจารย์ก็ให้เขาคุกเข่าลงวอนขอความเมตตาจริง ๆ!
เหวินป๋อฝูอดลอบถอนใจไม่ได้ ไฉนต้องลำบากด้วยหนอ?
ไม่ใช่ว่านี่คือทำตนเองหรือไร?
ชายในชุดคลุมกระเรียนเค้นเสียงลอดไรฟันอย่างโกรธแค้น “เป็นถึงทัศนาจารย์ แต่กลับใช้วิธีการเช่นนี้มาหยามเกียรติข้า ไม่กลัวถูกโลกหล้าประณามเอาหรือไร? มิกลัวถูกเผ่าภูตเพลิงสวรรค์ของข้าชังหรือไร?”
ซูอี้ยกมือขึ้นตบบนอากาศ
เพียะ!!
คันฉ่องคุ้มกายาบานหนึ่งปรากฏขึ้นรับการโจมตีตรงหน้าชายในชุดคลุมกระเรียน ทว่ามันเองก็แหลกสลาย
ทว่า เพิ่งหนีได้ครึ่งทาง ปราณดาบสายหนึ่งก็ประหารเขา ส่งวิญญาณล่องลอย
ก่อนเขาตายตก ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความตะลึง ทัศนาจารย์กล้าดีเช่นไร?!
เขาไม่รู้จักความกลัวจริง ๆ หรือ?
ราวกับมองทะลุความคิดก่อนตายของชายในชุดคลุมกระเรียน จวงปี้ฟานอดรำพึงเบา ๆ ไม่ได้ “หากทัศนาจารย์เอาแต่กลัวเผ่าภูตเพลิงสวรรค์ของเจ้าล้างแค้น เขาจะยังเป็นทัศนาจารย์หรือ?”
ผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งมวลซึ่งรู้จักทัศนาจารย์ล้วนรู้ว่าเหตุที่ทัศนาจารย์คือทัศนาจารย์ นั่นเป็นเพราะชั่วชีวิตของเขาลงมือตามใจ ไร้กังวลใด ๆ ทั้งสิ้น!
ตัวตนในตำนานผู้เคยลั่นวาจาว่าแม้จะมีเทพเซียนบนสวรรค์ แต่พวกเขาก็ต้องก้มหัวสงวนท่าทีต่อหน้าข้า มีหรือจะกลัวถูกผู้อื่นคุกคาม?
“ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็เกิดผิดยุคสมัย ไม่เคยได้เห็นกิริยาการวางตนของทัศนาจารย์ หาไม่คงมิกล้าดีจนตายเช่นนี้”
เหวินป๋อฝูรำพึง
“พวกเขาหาโง่ไม่ แค่อยู่ในจุดสูงสุดแห่งวิถีมานานเกินไป และสอนไม่จำเท่านั้นเอง”
ซูอี้กล่าวเบา ๆ
ตัวตนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดหรือจะเป็นคนโง่?
ท้ายที่สุดแล้ว คนจากเผ่าภูตเพลิงสวรรค์เหล่านี้เข้าข้างตนเองมากเกินไป คิดว่าพวกตนมาจากเผ่าภูตเพลิงสวรรค์แล้วจะอาละวาดทั่วเช่นไรก็ย่อมได้
จริงอยู่ที่มีน้อยคนจะกล้าล่วงเกินพวกเขาในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว
แต่นั่นมิรวมถึงเขาด้วย
ไกลออกไป เว่ยซานและเมิ่งฉางอวิ๋นมาถึงและแยกกันไปรวบรวมสินสงครามแล้ว
ส่วนซูอี้เสวนากับเหวินป๋อฝู
นับแต่มาถึงสมุทรมารไร้กำหนด เขาก็ได้พบยอดฝีมือจากตระกูลจงโบราณและเผ่าภูตเพลิงสวรรค์ติด ๆ กัน
ยามนี้ กระทั่งเหวินป๋อฝูจากตระกูลเหวินโบราณยังปรากฏ ทำให้ซูอี้รู้สึกผิดปกติอย่างมาก
ต้องทราบว่าสามขุมกำลังใหญ่นี้ล้วนแต่เป็นตระกูลโบราณอารักษ์วิถีทั้งสิ้น และภูมิหลังของพวกเขาล้วนโบราณยิ่ง ทำให้ยักษ์ใหญ่แห่งจักรวาลพร่างดาวบางแห่งต้องกลัวอยู่เล็กน้อย
ทว่ายามนี้ พวกเขากลับโผล่เรียงแถวกันมาในสมุทรมารไร้กำหนด นี่จะมิแปลกได้เช่นไร?
“สหายเต๋าอาจไม่ทราบ สมุทรมารไร้กำหนดนี้เป็นรองเพียงเขตหวงห้ามเซียนละล่องเท่านั้น และสมุทรมารไร้กำหนดนี้เกิดหายนะอุบัติในยุคสิ้นกฏเกณฑ์ ฝังตัวตนสูงสุดในขอบเขตจุติสรวงไว้กลุ่มหนึ่งด้วย…”
ไม่นานนัก เหวินป๋อฝูก็ให้คำตอบ เผยความลับอันน่าทึ่ง
จากวาจาของเขา หลังการตายตกของกลุ่มตัวตนในขอบเขตจุติสรวง เสี้ยววิญญาณบางส่วนก็มิได้ดับสลายไปจริง ๆ แต่แปรปลี่ยนเป็นสัตว์ร้ายเช่น ‘วิญญาณอาสัญ’ ซึ่งมิใช่ทั้งคนเป็นและผี รอดจนยามนี้
วิญญาณอาสัญเหล่านี้ทรงพลังน่ากลัวยิ่ง ตลอดกาลผ่านมา พวกเขาฟื้นพลังปลุกจิตสำนึกและเชาว์ปัญญาทีละน้อย จวบยามนี้ นอกจากพลังคำสาปซึ่งไม่อาจลบเลือน พวกเขาก็ไม่ต่างจากผู้ฝึกตนจริง ๆ เลย!
“จากคัมภีร์โบราณในตระกูลข้า อำนาจคำสาปบนร่างวิญญาณอาสัญนั้นมาจากหายนะลึกลับที่ทำลายวิถีจุติสรวง เป็นดั่งตรวนกักร่างขังวิญญาณ ไม่อาจหนีสู่โลกภายนอกได้เลย พวกเขาจึงทำได้เพียงซุกซ่อนในเขตหวงห้ามเช่นสมุทรมารไร้กำหนดเท่านั้น”
เหวินป๋อฝูกล่าว “ทว่า ยี่สิบปีมานี้ สถานการณ์แปรเปลี่ยน วิญญาณอาสัญซึ่งกบดานเงียบเสมอมาต่างพากันลืมตาตื่น”
“ตัวตนผู้มีเชาว์ในหมู่พวกเขาล้วนแต่เป็นตัวตนสูงสุดในวิถีจุติสรวงก่อนตายตก และเมื่อลืมตาตื่น พวกเขาก็เริ่มคิดแผนฝึกฝนใหม่ พยายามฟื้นชีพสู่โลกหล้าและเข้าสู่การฝึกฝนเป็นเซียนอีกครั้ง!”
“เหมือนที่วิญญาณอาสัญผู้ชาญฉลาดก่อนหน้านี้ตั้งแท่นวิถี ใช้เคล็ดวิชาลวงผู้ฝึกตนให้เข้ามาหาเพื่อดูดซับพลังชีวิตกับการฝึกฝนเพื่อฟื้นพลังชีวิตคืนร่างวิถีให้ตน เตรียมตัวหนีออกจากสมุทรมารไร้กำหนดในภายหน้า”
“และสำหรับเรา การจับวิญญาณอาสัญผู้ชาญฉลาดเหล่านี้เทียบเท่าการล่าสมบัติเกี่ยวข้องกับวิถีจุติสรวง ขอเพียงเราจับมันได้ เราก็สามารถรับมาซึ่งมรดกพลังของอีกฝ่าย”
“และนี่ก็คือจุดประสงค์ของพวกคนจากเผ่าภูตเพลิงสวรรค์เหล่านั้น”
เมื่อเหวินป๋อฝูกล่าวถึงตรงนี้ เขาก็อดเตือนไม่ได้ “สหายเต๋า ชายในชุดคลุมกระเรียนที่เจ้าฆ่าไปเมื่อครู่มีนามว่าซูรั่วสิง ปู่ของเขาคือซูเทียนกัง! และจากการอนุมานของข้า เจ้าแก่นั่นน่าจะอยู่ในขอบเขตจุติสรวงแล้วนะ!”
ดวงตาของซูอี้หรี่ลงน้อย ๆ
ซูเทียนกัง
หนึ่งในตัวตนอันแข็งแกร่งที่สุดในขอบเขตไร้ขีดจำกัดขั้นสมบูรณ์ของเผ่าภูตเพลิงสวรรค์ นานมาแล้วเคยประมือกับทัศนาจารย์สามหน
แม้จะแพ้ทุกคราไปก็ตาม
ทว่าความแข็งแกร่งของซูเทียนกังก็ไร้กังขา
เพราะถึงอย่างไร ทัศนาจารย์แต่เดิมนั้นก้าวเข้าสู่วิถีจุติสรวงไปครึ่งก้าวแล้ว และการที่สามารถเป็นคู่มือของทัศนาจารย์ได้นั้นเพียงพอพิสูจน์ว่าซูเทียนกังแข็งแกร่งเพียงไร
และยามนี้ เจ้าแก่ผู้นี้ก็น่าจะก้าวสู่วิถีจุติสรวง ทำให้ซูอี้อดประหลาดใจมิได้
เมื่อคิดเช่นนี้ ซูอี้ก็กล่าวกับเหวินป๋อฝู “ไฉนจึงมาบอกข้ายามนี้เล่า”
เหวินป๋อฝูรีบโบกมือกล่าวด้วยรอยยิ้มขื่น “ถึงข้าจะบอกในยามนั้น ด้วยอุปนิสัยของสหายเต๋า เจ้าหรือจะห่วงเรื่องนี้?”
………………..