บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1298: เคล็ดจุติสรวง
ตอนที่ 1298: เคล็ดจุติสรวง
ซูอี้มองเหวินป๋อฝูอย่างลึกล้ำ ก่อนจะเปลี่ยนประเด็นโดยมิคิดต่อ
“ตระกูลเหวินของพวกเจ้ารู้เกี่ยวกับวิถีจุติสรวงมากน้อยเพียงใด?”
ซูอี้ถาม
เหวินป๋อฝูครุ่นคิดสักครู่ก่อนกล่าว “ยามนี้ข้าพอรู้เพียงผิว ๆ แต่พอจะกระจ่างแล้วว่าวิถีนี้คั่นระหว่างวิถีสู่สวรรค์และวิถีเซียน แบ่งออกเป็นสามขอบเขตใหญ่”
“นั่นคือจิตทารก รวมวิถีและจุติมงคล”
“ขอบเขตจิตทารกนั้นยังถือได้ว่าเป็นการสร้างจิต ใช้ร่างวิถีเป็นราก จิตวิญญาณเป็นฐาน พลังมหาวิถีเป็นที่มา ยิ่งสร้างจิตทารกคุณภาพสูงส่งเพียงไร พื้นฐานยิ่งแข็งแกร่งตามไป”
“ขอบเขตรวมวิถีนั้นคือการหลอมรวมกฎเต๋าสูงสุดเก้ากฎ ขอบเขตนี้สำคัญที่สุด เป็นสะพานเชื่อมอดีตและอนาคต และเกี่ยวโยงกับการก่อขอบเขตจุติมงคล”
“ขอบเขตจุติมงคลสมดังนามของมัน คือการจุติข้ามขอบเขต ดังนั้นจึงมีอีกนามว่าขอบเขตทะยานสวรรค์”
“สามขอบเขตนี้เรียกรวมกันว่าขอบเขตจุติสรวง ใน ‘ยุคสิ้นกฎเกณฑ์’ แห่งโบราณกาล มีเพียงยอดฝีมือในขอบเขตจุติสรวงเท่านั้นที่สามารถเรียกได้ว่าเป็น ‘สุดยอดในโลกา’ เหนือผู้ใดในหล้า อำนาจไร้ขอบเขต!”
เมื่อเหวินป๋อฝูกล่าวเช่นนี้ เขาก็ถอนใจ “ในสายตาสรรพชีวิตทั่วโลกหล้า ตัวตนในขอบเขตจุติสรวงนั้นมิต่างจากเทพเซียนที่แท้จริงแต่อย่างใด”
จวงปี้ฟานอดทึ่งไม่ได้ เขาเองก็เพิ่งได้รู้ความลับบางอย่างของขอบเขตจุติสรวงวันนี้เอง
ซูอี้ลูบคางกล่าว “จงเทียนฉวนจากตระกูลจงโบราณและซูเทียนกังจากเผ่าภูตเพลิงสวรรค์ล้วนต้องสงสัยจะเข้าสู่วิถีจุติสรวงกันแล้ว แล้วตระกูลเหวินของเจ้าเล่า มีผู้ก้าวถึงมันแล้วหรือยัง?”
เหวินป๋อฝูแค่นหัวเราะ กล่าวด้วยรอยยิ้มขื่น “ยากจะกล่าวได้”
“หมายความเช่นไร?”
ซูอี้ขมวดคิ้ว
เหวินป๋อฝูถอนใจเบา ๆ “สหายเต๋ามิทราบเรื่อง จงเทียนฉวนและซูเทียนกังอาจเหยียบย่างสู่วิถีจุติสรวงแล้วจริง ๆ แต่เพราะเหตุนี้พวกเขาจึงไม่ต่างจากวิญญาณอาสัญผู้ถูกกักขัง มิอาจปรากฏตัวคืนสู่โลกหล้าได้ในกาลอันสั้น หาไม่ พวกเขาจะถูกลงทัณฑ์จากกฎสวรรค์มิต่างไป”
“เท่าที่ข้ารู้ จงเทียนฉวนและซูเทียนกังยังติดอยู่ในเขตหวงห้ามเซียนละล่อง ณ ขณะนี้”
หลังเว้นช่วงเล็กน้อย เหวินป๋อฝูก็กล่าวว่า “หาก ‘บรรพชนอู๋เยวียน’ ของข้ามิเกิดอุบัติเหตุใด เขาก็น่าจะเข้าสู่วิถีจุติสรวงในเขตหวงห้ามเซียนละล่องแล้วเช่นกัน ทว่าบรรพชนอู๋เยวียนยังมิส่งข่าวใดๆ กลับมาเลย ตระกูลข้าจึงมิอาจตัดสินได้ว่าเขาเป็นตัวตนในขอบเขตเซียนละล่องแล้วหรือไม่”
ยามนี้เอง ซูอี้จึงเข้าใจ
ในการสนทนาต่อมา ซูอี้ก็ได้รู้เคล็ดบางอย่างเกี่ยวกับวิถีจุติสรวง
เช่นในจักรวาลพร่าวดาวทุกวันนี้ เรื่องเดียวที่ตัดสินได้คือมีโอกาสเกี่ยวเนื่องกับวิถีจุติสรวงอยู่ในเขตหวงห้ามเซียนละล่องจริง ๆ!
ในอีกไม่ถึงสามปี โลกหล้าจะแปรเปลี่ยนมหาศาล และถึงยามนั้น ผู้ฝึกตนในขอบเขตจุติสรวงจะปรากฏในโลกหล้าอีกครั้ง
เฉกเช่นกัน วิญญาณอาสัญซึ่งติดอยู่ในเขตหวงห้ามใหญ่ก็จะเป็นอิสระละล่องท่องหล้าได้เช่นกัน!
เมื่อเขารู้เรื่องนี้ ซูอี้ก็อดเลิกคิ้วมิได้
สามปี!
ระยะเวลานี้อีกแล้ว!
ในชั่วกาลที่ว่า มิเพียงเขตแดนสมรภูมิจะปรากฏอีกหน แต่กระทั่งวิถีจุติสรวงยังหวนคืนสู่หล้า
นอกจากนั้น เจ้าของกระดูกมือลั่วเหยา สตรีถือหอกผู้ลึกลับและนักซ่อนกล ตัวตนประหลาดอันลึกลับเหล่านี้ก็จะพากันหวนกลับมา!
ทั้งหมดนี้ทำให้ซูอี้ตระหนักว่ายามเรื่องพลิกผันเหล่านี้บังเกิด ทั้งจักรดาราตงเสวียนจะบังเกิดโกลาหลอันมิอาจคาดเดา!
“ช่างน่าตื่นเต้นจริง ๆ…”
หัวใจของซูอี้เต้นเร่าด้วยความคาดหวัง
เมื่อขาดย่อมต้องเปลี่ยนแปลง เมื่อเปลี่ยนแปลงก็เกิดการพัฒนา
เป็นเช่นนี้ทั้งผู้คนและโลกหล้า
ในอดีต วิถีสู่สวรรค์ทั่วจักรวาลพร่างดาวถูกสะบั้นขาดตั้งแต่ยุคสิ้นกฎเกณฑ์ และแต่นั้นมา โลกหล้าและโลกแห่งเซียนก็แยกจากกันโดยสิ้นเชิง
จึงไม่อาจทราบได้ว่ามีขุมกำลังในขอบเขตราชันแห่งภูมิมากมายเพียงไรที่ตายตกระหว่างค้นหาวิถีอย่างรวดร้าวขมขื่น
กระทั่งทัศนาจารย์ยังเลือกเวียนวัฏฝึกฝนใหม่
ทุกสิ่งนั้นเป็นเพราะวิถีถูกสะบั้น!
ทว่ายามนี้แตกต่างออกไป ในสามปี โลกหล้าจะแปรเปลี่ยนยิ่งกว่าคราใด!
เหมือนเช่นตระกูลจงโบราณและเผ่าภูตเพลิงสวรรค์ เหวินป๋อฝูก็มาจับตัววิญญาณอาสัญผู้มีปัญญาในสมุทรมารไร้กำหนดเช่นกัน
จากวาจาของเขา ช่วงไม่นานนี้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมายในส่วนลึกแห่งสมุทรมารไร้กำหนด และวิญญาณอาสัญ สมบัติล้ำค่าต่าง ๆ ก็พากันลืมตาตื่นจากนิทรา
และขณะนี้ก็เป็นยามที่วิญญาณอาสัญอ่อนแอที่สุด
ขอเพียงเตรียมตัวมาดี ก็จะสามารถจับตัววิญญาณอาสัญผู้ชาญฉลาดเหล่านี้ได้!
ไม่นานนัก กลุ่มผู้เฒ่าจากตระกูลอวิ๋นโบราณก็รวมกำลังไล่จับวิญญาณอาสัญอันมีเชาว์ได้ตนหนึ่ง ทันทีที่ข่าวนี้ถูกแพร่ โลกหล้าก็เรรวนเซ็งแซ่
ตระกูลอวิ๋นโบราณก็เป็นหนึ่งในตระกูลโบราณอารักษ์วิถี
ทุกผู้รู้ว่าเมื่อตระกูลอวิ๋นจับวิญญาณอาสัญผู้มีเชาว์ได้ หมายความว่าพวกเขาได้รับโอกาสเกี่ยวกับวิถีจุติสรวงแล้ว!
ผู้ใดเล่าจะไม่ตะลึง?
ดังนั้น ในช่วงกาลต่อมา ขุมกำลังสูงสุดในโลกหล้ามากมายจึงส่งคนมายังสมุทรมารไร้กำหนดนี้เพื่อลองประชัน
วิญญาณอาสัญนั้นร้ายกาจ
โดยเฉพาะวิญญาณอาสัญผู้มีเชาว์ แม้ยามนี้พวกเขาจะอ่อนแอยิ่ง แต่ถึงอย่างไร พวกเขาก็ยังเป็นตัวตนในขอบเขตจุติสรวงก่อนสิ้นใจ ทำให้ยังคงเป็นมหันตภัยถึงชีวิตสำหรับตัวตนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดได้
ดังนั้น การล่าวิญญาณอาสัญจึงกล่าวได้ว่าเป็นแผนสังหารอันแยบยล กระทั่งราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดยังสามารถตายตกได้ทุกเมื่อ
“เหมือนเช่นวิญญาณอาสัญเมื่อครู่เป็นตัวตนร้ายกาจเกินจินตนาการ ข้ากระทั่งสงสัยว่าตัวตนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดในโลกหล้าอาจมิใช่คู่ต่อกรของเขาเลย”
เมื่อเหวินป๋อฝูกล่าวถึงตรงนี้ เขาก็กล่าวกับซูอี้ยิ้ม ๆ “แน่นอนว่าสหายเต๋าหาได้รวมอยู่ในนั้นไม่”
ทันทีที่วาจาถูกกล่าว จวงปี้ฟาน เว่ยซานและคนอื่น ๆ ต่างครุ่นคิดหนัก
ทุกผู้เห็นยามที่ซูอี้เกือบชิงเศษสำริดจากวิญญาณอาสัญกันอย่างชัดเจน ทันทีที่เขาลงมือ เขาก็แสนแข็งแกร่งจนรับมือมิถูก
หากมิใช่เพราะพวกซูรั่วสิงเข้ามายุ่ง เขาคงปราบอีกฝ่ายลงได้ง่าย ๆ
หลังเสวนากันสักครู่ เหวินป๋อฝูก็ขอตัวลา
เขาระหกระเหินอยู่ในสมุทรมารไร้กำหนดนี้มาหลายวัน พบอันตรายถึงตายมามากมาย และมิกล้าอยู่ต่อ
ก่อนจาก เขาแนะซูอี้ว่าคงดีที่สุดหากมิเข้าสู่ส่วนลึกของสมุทรมารไร้กำหนด
ที่แห่งนั้นประหลาดและอันตรายเกินไป คาดว่าจะเป็นรังของวิญญาณอาสัญ และมีวิญญาณอาสัญอันชาญฉลาดตั้งถิ่นฐาน!
“เหวินป๋อฝูผู้นี้รู้สถานการณ์ดีแท้”
จวงปี้ฟานรำพึง
“พวกเจ้าเฒ่าในยุคสมัยเดียวกับนายน้อยข้าจะไม่มีทางดูแคลนลดขั้นนายน้อยข้าแน่”
เว่ยซานกล่าว “เจ้าพวกเมื่อครู่อาจถือได้ว่าเป็นตัวตนสูงสุดในโลกหล้าได้ แต่ต่อหน้านายน้อยของข้า พวกเขาก็แค่กลุ่มผู้น้อย”
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ “อย่าได้ดูถูกเหวินป๋อฝู ในศึกก่อนหน้านี้ เจ้าแก่นี่ซ่อนตัวเงียบเชียบ ตั้งใจนั่งบนภูดูเสือสู้กันแล้วเก็บเกี่ยวผลประโยชน์”
ทุกผู้ชะงักไป หัวใจสั่นสะพรึง
กาลนั้น ซูอี้กล่าวไว้ว่าใครเป็นตั๊กแตน ใครคือนกขมิ้น และผู้ใดคือจั๊กจั่น ทุกอย่างยังมิอาจทราบ
ผลก็คือ วิญญาณอาสัญซึ่งถูกมองเป็นเหยื่อทะลวงพันธนาการหนีไปได้
และเหวินป๋อฝูย่อมเป็นผู้เร้นกายมิดชิดที่สุด!
“เหตุที่เขาชิงเผยตัวออกมา ประการแรกเป็นเพราะเขาไร้โอกาสเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ สองคือเขากังวลว่าข้าจะเห็นร่องรอยของเขาแต่แรก จึงรีบโผล่มาสร้างสัมพันธ์กับข้า กังวลว่าจะถูกข้าจำได้แล้วหมายหัว”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยชา “นอกจากนั้น แม้ว่าตระกูลเหวินโบราณและเผ่าภูตเพลิงสวรรค์จะเป็นตระกูลโบราณอารักษ์วิถีเช่นกัน แต่สองตระกูลนี้ต่อสู้กันทางในที่ลับที่แจ้งมาหลายต่อหลายปี ความสัมพันธ์หาดีมิได้ หากเขายืมมือข้าฆ่าเจ้าพวกนั้นได้ เหวินป๋อฝูย่อมแสนยินดี”
ทุกผู้ล้วนตะลึง
พวกเขาล้วนคาดไว้ว่าเหวินป๋อฝูเพียงผ่านทางมาและเข้าแทรกแซงอย่างมีคุณธรรม
ใครเล่าจะคิดว่าเรื่องนี้มีประเด็นซ่อนเร้นมากมาย!
“ทว่านี่ไร้ความหมาย เหวินป๋อฝูเองก็น่าจะรู้ว่าข้ามองทะลุความคิดแยบยลของตนแล้ว จึงเผยความลับเกี่ยวกับวิถีจุติสรวงออกมาอย่างจริงใจเมื่อครู่เพื่อซื้อใจ”
ซูอี้กล่าวเลื่อนลอย “สรุปคือ ไอ้แก่อย่างเหวินป๋อฝูนั้นคิดแยบยลกว่าผู้อื่น ทุกการกระทำมีเจตนา ไม่อาจคิดได้ว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงผู้อบอุ่นใจกว้าง ต้องการช่วยเหลืออย่างบริสุทธิ์ใจ”
ในอดีตชาติของเขายามเป็นทัศนาจารย์ เขาเคยรับมือหกตระกูลโบราณอารักษ์วิถีมาหลายหน และรู้ดีมากว่าขุมกำลังโบราณเหล่านี้ร้ายกาจ มีรากฐานเกินคะเนเพียงไร
ยามรับมือพวกเขา ห้ามมองเพียงเปลือกนอก หาไม่ แม้ถูกกินมิเหลือซากก็คงยังมิรู้ตัว
จวงปี้ฟานรำพัน “นี่แหละหนาสัจธรรม ยามแข็งแกร่งก็มีแต่ผู้ครั่นคร้ามเข้าประจบ ยกยอโปรยบุปผาสู่สวรรค์ แต่เมื่อตกที่นั่งลำบาก ก็อย่าหวังว่าพวกเขาจะส่งถ่านฟืนยามหิมะตก ยามตกบ่อน้ำ มิถูกพวกนั้นฉวยโอกาสเหยียบหัวก็นับว่าบุญแล้ว”
“ไปกันเถอะ”
ขณะว่าเช่นนั้น ซูอี้ก็ทะยานไปไกลเสียแล้ว
ทุกผู้ต่างตามไป
……
ในสมุทรอันเปี่ยมหมอก
เหวินป๋อฝูยืนรอบนซากดาราชิ้นหนึ่งเนิ่นนาน ก่อนจะถอนใจโล่งอกผ่อนคลายร่างลง
ก่อนหน้านี้ เขาดูจะเสสรวลเฮฮากับซูอี้ ทว่าที่จริง หัวใจของเขาตึงเครียดอยู่เสมอ
เขารู้แก่ใจว่าร่างเวียนวัฏแห่งทัศนาจารย์ต้องล่วงรู้ความคิดอันแยบยลของตนเข้าแล้ว และรู้ดีมากว่าด้วยนิสัยของทัศนาจารย์ เขาอาจเดือดดาลไร้ปรานีได้
ดังนั้น หลังขอตัวลา เหวินป๋อฝูจึงระวังตนมาตลอดทาง เผื่อทัศนาจารย์จะพุ่งเข้ามาฟาดดาบใส่เขา
โชคดีที่เรื่องทั้งหมดนี้มิได้เกิดขึ้น
“ตั๊กแตนจับจั๊กจั่น มิทันระวังนกขมิ้นเบื้องหลัง ข้าผู้นี้ไม่อาจถูกถือเป็นนกขมิ้นได้ ทว่าชีวิตกลับแขวนบนเส้นด้าย เกือบกระทั่งถูกคิดบัญชี”
เหวินป๋อฝูลอบรำพึง
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน เขาก็นำยันต์ลับชิ้นหนึ่งออกมา ตัดสินใจแจ้งตระกูลว่าในชั่วขณะนี้ อย่าได้เข้าไปพัวพันกับเรื่องเกี่ยวกับทัศนาจารย์
“แม้คนผู้นี้จะเป็นร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์ แต่อำนาจในมือเขาเพียงพอแล้วต่อการสังหารตัวตนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดลงอย่างง่ายดาย และเทียบกับอดีตชาติยามสมบูรณ์พร้อมของเขาก็มิแตกต่างนัก”
ดวงตาของเหวินป๋อฝูวูบไหว “เว้นเสียแต่ตัวตนในขอบเขตจุติสรวงจะหวนคืนสู่โลกหล้าได้ หาไม่ ไม่ว่าผู้ใดที่กล้าคิดว่าทัศนาจารย์เมื่อวันวานคือไก่อ่อนในยามนี้ที่ใครจะเหยียบย่ำก็ได้ พวกเขาคิดผิดมหันต์!”
การประหารพวกซูรั่วสิง สามราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดคือการชดใช้ด้วยเลือด!
ขณะเดียวกัน…
ลึกเข้าไปในสมุทรมารไร้กำหนด
ในบริเวณที่อสนีบาตสีเงินกระหวัดพัน พิรุณแสงเซียนพร่ำโปรย มีเกาะร้างแห่งหนึ่งลอยอยู่
บนเกาะร้างนั้น วิญญาณอาสัญในชุดคลุมสีดำและดวงตาแดงฉาน ณ ขณะนี้กำลังหมอบกราบเศษสำริดตรงหน้าเขาอยู่บนพื้น
“นายท่าน ความไร้สามารถของบ่าวทำให้ท่านตกใจเสียแล้วขอรับ”
………………..