บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1299: ปราชญ์หงอวิ๋น
ตอนที่ 1299: ปราชญ์หงอวิ๋น
วิญญาณอาสัญนี้อ้างว่าเคยก้าวสู่วิถีจุติสรวงสมัยยุคสิ้นกฎเกณฑ์ เป็นเจ้าสำนักเต๋าวิถีเซียนมาก่อน
ยามเสวนากับพวกซูอี้ เขาวางท่าแสนโอหัง
ทว่ายามนี้เมื่อเผชิญเศษสำริดที่ลอยคว้าง เขากลับคุกเข่าลงกราบกราน แสนประหวั่นพรั่นพรึง!
“ข้าไม่โทษเจ้าหรอก”
เสียงบุรุษนุ่มนวลเสียงหนึ่งดังออกมาจากในเศษสำริด
ทันใดจากนั้น พิรุณแสงก็โปรยปราย ปรากฏร่างหนึ่งขึ้นบนอากาศธาตุ
เขาสวมชุดนักพรตเต๋า สวมมงกุฎดอกฝ้ายบนศีรษะ ในมือถือแส้นักพรต ใบหน้าหล่อเหลา นัยน์ตามีประกายแสงเซียน
ดุจเทพเยี่ยงเซียน!
“เมื่อครู่ คนผู้นั้นควบคุมวัฏสงสารได้ แม้จะทำได้เพียงน้อยนิด แต่ลำพังอำนาจมหาวิถีเช่นนั้นก็เพียงพอเป็นภัยถึงตายต่อเราได้แล้ว”
นักพรตเต๋าผู้หล่อเหลาผู้นี้กล่าวด้วยเสียงรื่นหูดุจลำนำทำนอง “นี่คือเหตุที่ข้าเตือนเจ้าเมื่อกาลก่อน ให้รีบหนีโดยไว”
วัฏสงสาร!
วิญญาณอาสัญผู้หมอบกราบบนพื้นตัวสั่น กล่าวอย่างไม่อยากเชื่อ “นายท่าน ไม่ใช่ว่านี่คืออำนาจต้องห้ามที่ถูกสะบั้นทิ้ง มิได้รับอนุญาตให้มีอยู่ในโลกหล้าด้วยพันธสัญญาแห่งเทพหรือขอรับ?”
“นั่นก็เป็นสิ่งที่ข้ากำลังงุนงงอยู่”
นักพรตเต๋าผู้นั้นกระซิบ “ลือกันว่าเหล่าเทพเป็นผู้ควบคุมทุกครรลองในอดีต ปัจจุบันและอนาคต ทว่ามีเพียงวัฏสงสารเท่านั้นที่ไม่ได้รวมอยู่!”
“ยามนี้ มีใครในโลกหล้าเวียนวัฏสงสารโดยมิต้องทัณฑ์ถึงตาย เป็นตัวแปรอันไม่เคยเกิดขึ้นโดยไร้กังขา”
กล่าวถึงตรงนี้ แสงเซียนในดวงตาของนักพรตเต๋าก็วูบไหว “และนี่ก็เป็นโอกาสอันหายากยิ่งของเราด้วย!”
วิญญาณอาสัญโพล่งถาม “นายท่าน ไฉนจึงว่าเช่นนั้นขอรับ?”
“ซงเฮ่อ แม้เราจะรอดจากยุคสิ้นกฎเกณฑ์มาได้ แต่เราก็ถูกปราณคำสาปประหลาดตามติด เหลือเพียงวิญญาณอาสัญนี้ที่จะว่าคนก็ไม่ ผีก็มิถูก”
“แม้ในช่วงกาลยามนี้ กฎสวรรค์จะแปรเปลี่ยน มอบโอกาสให้เราคืนร่างวิถีหวนกลับมาฝึกฝนเป็นเซียนอีกหน ทว่าตราบใดที่อำนาจคำสาปนี้ยังติดตัวเรา ก็ยากจะฟื้นการฝึกฝนวิถีเต๋าสู่อดีตกาล อย่าว่าแต่เป็นเซียนในภายหน้าเลย”
“แต่…”
กล่าวถึงจุดนี้ ดวงตาของนักพรตเต๋าก็เรืองโรจน์เยี่ยงตะวัน “ยามนี้โอกาสมาถึงแล้ว! ด้วยพลังของวัฏสงสาร มันสามารถสะบั้นตรวนคำสาปในอดีต มอบอิสรภาพสมบูรณ์แก่วิญญาณอาสัญเช่นเราได้!”
วิญญาณอาสัญซึ่งคุกเข่าที่พื้นอึ้งไป ร่างของเขาสั่นด้วยความตื่นเต้น
ในฐานะวิญญาณอาสัญ เขาหรือจะไม่เข้าใจว่าโอกาสนี้หายากเพียงไร
“แสนนานตลอดมา วิถีจุติสรวงถูกสะบั้นขาดในยุคสิ้นกฎเกณฑ์ ผู้ฝึกเซียนเช่นข้าประสบหายนะล้มตาย ติดอยู่ในสภาวะอันมิอาจหวนคืน แม้จะรอดชีวิต แต่ก็ต้องถูกอำนาจคำสาปพัวพัน ทำให้ผู้ฝึกตนทั่วโลกหล้ากล้าล่าเราทั้งหลายเป็นเหยื่อเช่นนี้”
สีหน้าของนักพรตเต๋าเหม่อลอยขณะทอดถอนใจ “โชคดีที่มหาวิถีห้าสิบ สวรรค์บัญชาสี่สิบเก้า ยังเหลือโอกาสมีชีวิตอยู่หนึ่ง นี่อาจกล่าวได้ว่าสวรรค์ไม่เคยปิดหนทางผู้ใด!”
วิญญาณอาสัญผู้หมอบกราบกับพื้นกล่าวว่า “นายท่าน จากที่ท่านว่า ชายผู้นั้นถือครองพลังวัฏสงสารและอาจเป็นภัยถึงตายต่อเรา การกำจัดเขาคงมิง่ายเลยนะขอรับ”
นักพรตเต๋ากล่าวยิ้ม ๆ “ไฉนต้องอยากไปต่อสู้เข่นฆ่ากันด้วย? ไม่ดีกว่าหรือหากจะหาโอกาสสร้างสัมพันธ์อันดีต่อเขา และขอให้เขาช่วยเรา?”
วิญญาณอาสัญตะลึงไป ก่อนกล่าวว่า “แต่… หากเขาปฏิเสธเล่าขอรับ?”
นักพรคเต๋าแย้มยิ้ม กล่าวอย่างมั่นใจ “ข้าเชื่อเสมอมาว่าเจตจำนงคนชนะได้แม้สรวงสวรรค์ ทุกสิ่งล้วนเกิดด้วยมานะตน!”
กล่าวถึงจุดนี้ เขาก็จำบางอย่างได้ และกล่าวว่า “ซงเฮ่อ เราไปพบ ‘ปราชญ์หงอวิ๋น’ กันเถอะ”
ปราชญ์หงอวิ๋น!
วิญญาณอาสัญชะงัก จำตัวตนอันร้ายกาจยิ่งผู้หนึ่งขึ้นได้
……
อสนีบาตสีเลือดทิ่มแทงแปรเปลี่ยนเป็นเมฆบงกชสีเลือด ปกคลุมทั่วแดนดินแห่งหนึ่งอันลอยเหนือสมุทรมารไร้กำหนด
แดนดินนี้มีขนาดราวหนึ่งนคร สภาพรกร้างหักพัง เต็มไปด้วยเศษกำแพงสิ่งปลูกสร้างเละเทะ
มีเพียงบ้านศิลาเรียบง่ายตั้งอยู่ที่ใจกลางอย่างเดียวดาย
หน้าบ้านศิลาหลังนั้นมีสวนผักอยู่
สวนผักนี้มีสารพัดพืชผักที่หาได้ทั่วไปในโลกหล้าปลูกอยู่ เช่นผักกาด กุ้ยช่าย แตงกวา มะเขือยาวและอื่น ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนดูสดใหม่
สวนผักนั้นมีขนาดเล็ก ล้อมรั้วรอบ นอกรั้วมีสุนัขตัวเปื้อนโคลนตัวหนึ่งนอนหลับอยู่อย่างเกียจคร้าน
สตรีนางหนึ่งนั่งที่โต๊ะศิลา ถือมีดสั้นหั่นกุ้ยช่ายสดชุ่มน้ำกำหนึ่งอยู่
นางแต่งกายไม่ต่างจากสตรีสามัญชน เรือนผมดำยาวขมวดรวบ
รูปลักษณ์ของนางค่อนข้างธรรมดา ผิวเหลืองเล็กน้อย มีเพียงนัยน์ตาที่กระจ่างใสบริสุทธิ์เยี่ยงระลอกน้ำยามสารท
สิ่งที่พิเศษสุดของนางคือกิริยาการวางตัวที่สงบเสงี่ยมเรียบง่าย สุขุมนุ่มลึกจากภายใน
ภาพนี้ผิดปกติอย่างยิ่ง
เพราะถึงอย่างไร นี่คือส่วนลึกของสมุทรมารไร้กำหนด ถิ่นสมุทรรอบข้างว่างเปล่า เมฆหมอกเคลื่อนวนเป็นสีแดงเลือด แปรเปลี่ยนจากอสนีบาตบนท้องนภา แปลกประหลาดชวนกังวล
เกาะนี้ยังเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง
ต่อให้มีราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดมาที่นี่ เขาก็ยังรู้สึกหวาดหวั่น
ทว่ากลับมาที่บ้านศิลา สวนผัก สุนัขตัวเปื้อนโคลนและสตรีผู้ดูเหมือนสตรีสามัญชนอยู่ที่นี่
เหมือนอยู่ผิดที่
ไกลออกไป เมื่อวิญญาณอาสัญนามซงเฮ่อเห็นเช่นนี้ เขาก็ลดศีรษะลงโดยมิรู้ตนอย่างประหม่า ไม่กล้ามองตรง ๆ อีก
ตรงหน้าเขา มีเสียงนุ่มนวลดังออกมาจากเศษสำริด “เจ้ารอที่นี่แหละ”
เขากล่าวจบ นักพรตเต๋ารูปหล่อผู้สวมมกุฎบงกชก็ปรากฏขึ้นบนอากาศ
เมื่อเขามองไปยังสตรีซึ่งนั่งอยู่หน้าบ้านศิลาท่ามกลางซากปรักหักพังจากไกล ๆ สีหน้าของนักพรตเต๋าก็อดเคร่งเครียดขึ้นมิได้
เขาจัดอาภรณ์และก้าวเข้าไป
จนเมื่อเขาห่างจากบ้านศิลาสามสิบจั้ง นักพรตเต๋าก็ร่อนลงสู่พื้นและเลือกเดินเท้า
สีหน้าบนใบหน้าของเขาหนักอึ้งขึ้นทุกขณะราวเผชิญมหาศัตรู
จนกระทั่งเข้ามาในรัศมีสิบจั้ง นักพรตเต๋าก็หยุดฝีเท้าคำนับ “หลี่เปยซานจากหุบเขามารพันสารทคำนับปราชญ์หงอวิ๋น”
สุนัขเปื้อนโคลนซึ่งนอนแผ่แสนขี้เกียจบนพื้นข้างรั้วสวนผักปรือตาขึ้นมาเล็กน้อย มองไปยังสตรีซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะศิลา
สตรีนางนั้นหั่นกุ้ยช่ายกำหนึ่งจนกลายเป็นชิ้นบาง ๆ ยาวสองชุ่นเท่ากันเป๊ะเรียบร้อย
นางดูเหมือนไม่รับรู้ นำแป้งสาลีถุงหนึ่งและน้ำเหยือกหนึ่งออกมา ม้วนแขนเสื้อและเริ่มนวดแป้ง เมินนักพรตเต๋าผู้มาเยือนไปเสียสนิท
ห่างออกไปสิบจั้ง นักพรตเต๋าผู้เรียกตนว่าหลี่เปยซานมิเพียงไม่รำคาญใจ แต่สีหน้าของเขากลับยิ่งเคร่งขรึม “ข้าเข้าใจกฎของท่านปราชญ์ แต่ข้ามีเหตุผลเพียงพอให้มาที่นี่ เชื่อว่าท่านปราชญ์จะสนใจยามรู้จุดประสงค์ของข้า”
ในส่วนลึกของสมุทรมารไร้กำหนด สำหรับวิญญาณอาสัญผู้ชาญฉลาดเหล่านี้ มีสามบุคคลที่มิอาจล่วงเกินได้
หนึ่งคือผู้ฝึกตนปีศาจจากถ้ำหมื่นหลุม
หนึ่งคือบัณฑิตผีบนเกาะนิลกาฬทมิฬ
หนึ่งคือปราชญ์หงอวิ๋น ณ ซากอสนีบาตโลหิต!
ในหมู่พวกเขา ปราชญ์หงอวิ๋นเก็บตัวเงียบและเป็นปริศนา ทั้งยังเป็นที่น่าหวาดกลัวที่สุด
กฎของนางพิเศษอย่างมาก ไม่ว่าผู้ใดมาเยือน หากมาด้วยเหตุผลที่นางไม่สนใจ ต้องตายสถานเดียว!
สตรีที่โต๊ะศิลาได้นวดแป้งขึ้นทรงแล้ว สีหน้าของนางเยือกเย็นจดจ่อ ไม่เคยหันมาสนใจหลี่เปยซานผู้มาเยือนเลย
และสุนัขเปื้อนดินซึ่งนอนขี้เกียจอยู่ก็ลืมตาขึ้น ดวงตาสีครามฉายประกายเกินพรรณนา มองมายังนักพรตหลี่เปยซาน
ยามนั้นเอง ร่างของหลี่เปยซานเกร็งนิ่งไร้สุ้มเสียง กล่าวตรงๆ โดยมิกล้าอ้อมค้อมอีก “ข้าพบวิธีปลดคำสาปมหาวิถีแล้ว”
ทันทีที่วาจาถูกกล่าว สุนัขบนพื้นก็ลุกขึ้นเงียบ ๆ
สตรีผู้กำลังนวดแป้งดูสนใจขึ้นมาในที่สุด “ว่ามา”
เพียงหนึ่งคำ ทว่าน้ำเสียงนั้นกลับเหมือนเสียงวารีใสกระฉอกกลางหุบเขาว่างเปล่า สะท้อนทั่วทศทิศราวเสียงสวรรค์
หลีเปยซานสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวว่า “มีผู้ฝึกตนอ่อนเยาว์คนหนึ่งถือครองเคล็ดเวียนวัฏสงสาร ปรากฏขึ้นในสมุทรมารไร้กำหนด!”
วัฏสงสาร!
การเคลื่อนไหวมือของสตรีนางนั้นชะงัก
สุนัขเปื้อนดินเองก็ดูกระสับกระส่าย กระดิกหางของมันต่อเนื่อง
และเห็นเช่นนี้ หลี่เปยซานก็ลอบถอนใจโล่งอก แน่ใจว่าปราชญ์หงอวิ๋นผู้ลึกลับและร้ายกาจสนใจแล้ว!
หาไม่ เขาคงมิอาจรอดชีวิตกลับไปวันนี้
“ข้ามาที่นี่เพื่อเชื้อเชิญท่านปราชญ์ให้ไปรับโอกาสนั้นด้วยกัน”
หลี่เปยซานรีบพูด “กล่าวกับท่านปราชญ์ตามตรง การที่ข้าทำเช่นนี้ ประการแรกคือเพราะกังวลว่าข้าจะไม่อาจเอื้อมถึงโอกาสนี้ด้วยลำพังกำลังตน สองคืออยากใช้โอกาสนี้สร้างความประทับใจดี ๆ ต่อท่านปราชญ์”
เขาดูตรงไปตรงมา กล่าวความในใจโดยไม่กล้าซุกซ่อน
นี่คืออำนาจของปราชญ์หงอวิ๋น!
แต่แรกจนจบ นางพูดเพียงหนึ่งคำ ทว่ากลับทำให้หลี่เปยซานสาธยายเจตนาแท้จริงออกมาหมดเปลือกเยี่ยงเทถั่วในถุง
ถึงยามนี้ นางก็นำลูกกลิ้งแป้งออกมาเริ่มนวดแป้ง หยุดวาจาไป
และสุนัขเปื้อนดินพลันเอ่ยปาก “ไฉนเจ้าไม่ไปหาผู้ฝึกตนปีศาจเฒ่าอันแสนเย้ายวนนั่นเสียเล่า? หรือไปหาบัณฑิตผู้แสนใจกว้างมากคุณธรรมแต่อุดมด้ววยความชั่วเต็มอกนั่นก็ได้?”
หลี่เปยซานเงียบไปครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “พวกเขาหาเห็นความดีของข้าไม่ อาจทำเรื่องถีบหัวเรือส่งหลังถึงฝั่ง ข้ามแม่น้ำพังสะพานเสียอีก ทว่า…ท่านปราชญ์มิใช่เช่นนั้น”
สุนัขเปื้อนดินหัวเราะลั่น “เจ้ามารเฒ่า ฉลาดอยู่นะเจ้าเนี่ย”
“ไปพาคนผู้นั้นมา หากจริงเช่นเจ้าว่า ข้าจะจำเจ้าไว้”
สตรีผู้นั้นกล่าว จับจ้องเพียงเรื่องในมือนาง หาได้มองมายังหลี่เปยซานสักครั้งไม่
หลี่เปยซานตอบอย่างใจชื้น “ขอรับ!”
เขาโค้งตัวอีกครั้ง ก่อนจะหันหลังจากไป
ไกลออกไป เมื่อซงเฮ่อซึ่งรออยู่เห็นหลี่เปยซานรอดชีวิตกลับมา เขาก็ถอนใจยาวอย่างโล่งอก หัวใจที่จุกคออยู่ร่วงกลับลงไปในที่สุด
ไม่นานนัก เขากับหลี่เปยซานก็จากไป
“คุณหนู วัฏสงสารหวนปรากฏแล้ว นี่เป็นตัวแปรที่ไม่เคยมีอยู่มาตลอดกาล หนนี้…ในที่สุดเราก็จะได้ไปจากที่บ้า ๆ นี่แล้วนะขอรับ!”
สุนัขตัวเปื้อนดินที่หน้ารั้วสวนผักกระดิกหางอย่างตื่นเต้น
สตรีผู้นั้นกล่าวอย่างเยือกเย็น “เจ้าจำได้หรือไม่ว่าวันนี้คือยามใดในภูมิลำเนาของเจ้า?”
สุนัขเปื้อนดินชะงักไปแล้วส่ายหน้า
“นี่คือกลางสารท”
สตรีผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมองท้องนภา “ดวงจันทร์คือบ้านเกิดของข้า แต่บ้านเกิดนี้…ข้าจะกลับไปได้หรือ?”
สีหน้าแววตาของนางเจือความเศร้าโศก
สุนัขเปื้อนดินเงียบไปครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “คุณหนู แม้แต่วัฏสงสารซึ่งถูกพันธสัญญาแห่งเทพปิดกั้นยังปรากฏแล้ว เราจะมิสามารถกลับบ้านเกิดได้เชียวหรือขอรับ?”
สตรีผู้นั้นนิ่งไป ก่อนรอยยิ้มคาดหวังจะปรากฏบนริมฝีปาก “เจ้าพูดมีเหตุผล วันนี้ข้าจะให้รางวัลเจ้าเป็นเกี๊ยว”
กล่าวจบ นางก็เริ่มขยับมือทำเกี๊ยว
ขณะเดียวกับ สุนัขเปื้อนดินเองก็แย้มยิ้ม
คุณหนู…ในที่สุดนางก็อารมณ์ดีขึ้น!