บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1300: เสียงเตือนจากดาบแห่งโลกา
ตอนที่ 1300: เสียงเตือนจากดาบแห่งโลกา
ลึกเข้าไปในสมุทรมารไร้กำหนด
หมอกลงหนาทึบ ท้องสมุทรทมิฬเชี่ยวกราก
ซูอี้และคณะละล่องอยู่ในนั้น
หยาดวารีแยกทะเลนิ่งในมือจวงปี้ฟานเรืองแสงสีน้ำเงินดุจวารีพร่างพราวปกคลุมกลุ่มพวกเขา ขณะล่องคลื่นท้าวายุตลอดทาง
สมบัตินี้ทรงพลังอย่างยิ่ง มันสามารถสงบบริเวณสมุทร หยุดสัตว์ประหลาดร้ายในก้นทะเลได้
จุดสำคัญที่สุดคือ ผู้ฝึกตนสามารถท่องสมุทรได้อย่างสบายเยี่ยงเดินพื้น โดยมิได้รับผลกระทบใด ๆ ด้วยสมบัติชิ้นนี้
“หนีไป! เผ่นเร็ว!”
เสียงตะโกนอย่างรีบร้อนแว่วมาไกล ๆ
กลุ่มผู้ฝึกตนเผ่นหนีอย่างลนลานออกมาจากสถานที่ไกลลิบ
เบื้องหลังพวกเขามีคลื่นทะเลโหมคลั่ง พายุกรุ่นเดือด และปักษากระดูกซึ่งตัวใหญ่เยี่ยงขุนเขากำลังบินไล่หลังมา
ปักษากระดูกนั้นดุดัน คู่เนตรประหนึ่งธารโลหิต ยามกระพือปีกได้ส่งสายฟ้าสีเลือดฟาดผ่าลงมา บรรยากาศทำลายล้างแผ่ออกมาจากรอบกายของมัน
ทุกที่ที่มันบินผ่าน ท้องนภาประหนึ่งถูกพลิกกลับด้าน น้ำทะเลปั่นป่วน อำนาจเช่นนี้สังหารราชันแห่งภูมิในขอบเขตคืนสู่สามัญได้ทุกขณะ!
“ไม่!”
หนึ่งตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิกรีดร้องโหยหวน ร่างของเขาถูกอสนีบาตสีเลือดทำลายจนมิเหลือร่องรอย
“อยากตายกันหรือไร ยังไม่หนีไปอีก!?”
เมื่อชายวัยกลางคนถือง้าวผู้หนึ่งเห็นกลุ่มของซูอี้ผ่านมาทางนี้ เขาก็อดร้องเตือนมิได้
“คนผู้นี้จิตใจไม่เลว”
จวงปี้ฟานหัวเราะ
“จากความเร็วของพวกเขา ในไม่กี่อึดใจ ปักษากระดูกจะตามมาทัน โอกาสตายสูงกว่ารอด”
เขาพบว่าความแข็งแกร่งของสองฝ่ายต่างชั้นเกินไป ผู้ฝึกตนกลุ่มนั้นไร้ทางหนีพ้น
“ท่านอาซู เราควรเข้าไปช่วยเหลือไม่?”
ดวงตาคู่งามของยมบาลมองมาที่ซูอี้
มุมปากซูอี้กระตุกอย่างมิอาจมองเห็น
ระหว่างทาง เหมือนยมบาลสาวจะรับความจริงแล้วว่าเขาคือผู้อาวุโสของนาง จึงเรียกท่านอาอย่างเป็นธรรมชาติ
“ยามวิถีบ่มเพาะต่างระดับ ชักมีดเข้าช่วยเหลือนั้นคือเรื่องคุณธรรม ไยจึงจะไม่ช่วยเล่า?”
ซูอี้ว่าพลางสะบัดแขนเสื้อ
ปราณดาบสายหนึ่งอันเปี่ยมปราณเวียนวัฏทะยานออกไป
เปรี้ยง!!
ไกลออกไป ร่างที่มีขนาดเท่าภูเขาของวิหคกระดูกพลันชะงัก ก่อนจะร่วงหล่น
เหล่าผู้ฝึกตนซึ่งกำลังหนีล้วนตะลึงนิ่ง
วิญญาณอาสัญที่น่ากลัวเช่นนั้น ถูกปราบง่าย ๆ เช่นนี้หรือ?
เมื่อพวกเขาคืนสติ ซูอี้และคณะก็หายเข้าสู่สมุทรมารไร้กำหนดเรียบร้อย
…
บนหนทางต่อมา ซูอี้และคณะได้ประสบเหตุการณ์ทำนองเดียวกันอีกหลายหนจนค่อย ๆ ชาชิน
บางหน ยามมีผู้ฝึกตนดิ้นรนที่จะเอาชีวิตรอด ซูอี้ก็เข้าช่วยเหลืออย่างมิถือสา
ระหว่างนั้น ในที่สุดซูอี้ก็ยืนยันเรื่องหนึ่งได้
พลังแห่งวัฏสงสารได้เปรียบกับวิญญาณอาสัญเหล่านี้เป็นพิเศษ!
อันที่จริง นับแต่ยามที่เขาอยู่ในสันเขาอีกา ณ ภูมิดาราวอนสวรรค์ ซูอี้ก็ค้นพบแล้วว่าพลังแห่งวัฏสงสารมีบทบาทเหลือเชื่อยามสังหารวิญญาณอาสัญเหล่านี้
ยามนี้ เขาก็ยิ่งยืนยันเรื่องนี้ได้
‘ทุกสิ่งที่ลาลับล้วนจบสิ้น นักซ่อนกลใช้อำนาจวิเศษเล่นกลสร้างตัวตนและเรื่องราวกาลก่อนขึ้นมาใหม่ ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเคล็ดวัฏสงสารก็เหมือนคันฉ่องสะท้อนจันทร์ จิ้มทีเดียวก็พังทลาย’
‘และเมื่อรับมือวิญญาณอาสัญเหล่านี้ วัฏสงสารก็มีอำนาจไร้ใดเทียบ หมายความว่าทุกอำนาจแห่งอดีตสามารถจบได้ด้วยวัฏสงสารหรือไร?’
ซูอี้ครุ่นคิด
เขาบรรลุกฎสูงสุดทั้งหลายได้ แต่ก็ยังรู้สึกว่าการทำความเข้าใจกฎแห่งวัฏสงสารและเวิ้งลึกล้ำนั้นยากอยู่ดี
จวบจนยามนี้ เขายังคงควบคุมสองกฎเกณฑ์มหาวิถีนี้ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
นี่แสดงให้เห็นได้ชัดว่าเคล็ดวัฏสงสารและเวิ้งลึกล้ำนั้นเหนือชั้นลึกลับเพียงไร ห่างไกลเกินกว่าจะเทียบกฎสูงสุดทั่วไปในโลกหล้าได้
ยามรับมือกับมหาศัตรูในโลกหล้า ไม่ว่าจะเป็นกฎแสงพริบตาหรือกฎเร้นลับต้องห้ามล้วนให้ผลดีกว่าเคล็ดวัฏสงสาร
ทว่ายามรับมือขุมกำลังอันประหลาดเกินเข้าใจ เคล็ดวัฏสงสารก็จะสำแดงพลังเกินคาดเดา
นอกจากนั้น กฎเวิ้งลึกล้ำยังพิเศษยิ่งด้วยเช่นกัน มหาวิถีนี้มาจากแม่น้ำแห่งโชคชะตา อำนาจร้ายกาจสุดขั้ว ทว่าประโยชน์สูงสุดของมหาวิถีนี้คือเพื่อขัดเกลาและเสริมความแข็งแกร่งของพื้นฐานมหาวิถีของเขา!
จู่ ๆ จวงปี้ฟานก็กล่าวอย่างประหลาดใจ
ไกลออกไปบนผืนสมุทรมีขุนเขาใหญ่ตั้งตระหง่าน โอ่อ่าใหญ่โต ดำทมิฬไร้หย่อมหญ้าตลอดลูก
หากมองด้วยสายตาแล้ว มันดูทอดยาวไร้ที่สิ้นสุด
“นั่นคือ ‘ภูเขาเต่าดำ’ ซึ่งโด่งดังทั่วจักรวาลพร่างดาว”
ดวงตาของซูอี้ฉายประกายย้อนระลึก
กาลก่อน ทัศนาจารย์ได้ใช้ดาบแห่งโลกาปราบชาวประมง เจ้าลัทธิทางช้างเผือกลงที่นี่
ภูเขาเต่าดำ!
เมื่อเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ หัวใจของทุกคนล้วนรู้สึกพรั่นพรึง
จากคำร่ำลือ ภูเขาเต่าดำนี้กำเนิดจากศพเต่าดำตัวหนึ่งในยุคบรรพกาล ร่างของเต่าดำตัวนี้มีขนาดแปดพันลี้ สี่ขาดุจเสาค้ำสวรรค์ ศีรษะเทียบได้กับขุนเขามโหฬาร
“หือ?”
ทันใดนั้น ซูอี้ก็สังเกตได้ว่าเทียบกับกาลก่อน ภูเขาเต่าดำนั้นแตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด และมีรอยร้าวเกิดขึ้นมากมายบนเขา
ปราณดุดันชั่วร้ายแผ่ออกมาจากรอยร้าวเหล่านั้นราวกับกลุ่มควัน ย้อมท้องนภามืดทมิฬ
เมื่อมองจากระยะไกล ภูเขาเต่าดำดูราวกับถูกอาบไล้ด้วยความมืดสีหมึกที่ชวนให้ผู้คนใจหาย
“ไป เราไปตรวจดูกันหน่อย”
ขณะที่ซูอี้กำลังครุ่นคิด เขาก็พาทุกคนเดินทางไปยังภูเขาเต่าดำแล้ว
ตู้ม!
หลังจากเข้าสู่บริเวณรอบนอกของภูเขาเต่าดำ การเปลี่ยนแปลงก็พลันบังเกิด ฝูงวิญญาณอาสัญฝูงหนึ่งทะยานออกมา
วิญญาณอาสัญเหล่านี้มีทั้งผู้ฝึกตนชายหญิงและสรรพสัตว์หลากชนิด ทั้งหมดล้วนเต็มไปด้วยปราณคำสาปดุร้าย
แต่ละตน เพียงสุ่มเลือกมาก็สามารถสังหารราชันแห่งภูมิในขอบเขตคืนสู่สามัญได้ทั้งสิ้น!
ขณะนี้มีวิญญาณอาสัญเหล่านั้นหลายร้อยตน
ซูอี้ขมวดคิ้ว สิ่งนี้แตกต่างจากกาลก่อนอย่างสมบูรณ์ อย่างน้อยในภูเขาเต่าดำแต่เดิมก็ไร้วิญญาณอาสัญแม้เพียงหนึ่ง
“ไป!”
ซูอี้สะบัดแขนเสื้อ ปราณดาบนับไม่ถ้วนโถมกระหน่ำเยี่ยงพายุฝนผ่านนภา สังหารเหล่าวิญญาณอาสัญทั้งหลายลงทันที
เฉียบคมและตรงไปตรงมา
พวกจวงปี้ฟานชาชินเสียแล้ว
ระหว่างทาง หากไม่ใช่เพราะมีซูอี้มาด้วย พวกเขาคงไร้โอกาสมาถึงที่นี่
“ไป”
ซูอี้นำทาง
ระหว่างนั้น ฝูงวิญญาณอาสัญจะโผล่มาเป็นครั้งคราว ดุดันเข่นฆ่าไร้ความกลัว
นี่ทำให้ทุกคนเกือบคิดว่าบุกสู่รังวิญญาณอาสัญเสียแล้ว
ทว่าวิญญาณอาสัญเหล่านี้แทบไร้ปัญญา สติพร่ามัว แม้ว่าพลังต่อสู้ของมันจะสูงส่ง แต่ก็มิใช่ภัยคุกคามเมื่ออยู่ต่อหน้าซูอี้แม้แต่น้อย
ไม่นานนัก ซูอี้ก็เปิดเส้นทางนองเลือดแก่ทุกคนอย่างง่ายดาย
ทว่า ในใจของเขากลับมีลางสังหรณ์ร้าย
เขาปราบชาวประมงลงที่ภูเขาเต่าดำเมื่อนานมาแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าเกิดเรื่องน่าประหลาดใจขึ้นที่นี่
สิ่งนี้ทำให้ซูอี้ครุ่นคิดว่าชาวประมงซึ่งติดอยู่ที่นี่อาจจะหนีออกไปได้แล้ว
“คงไม่หรอก”
ซูอี้จำบางอย่างได้
ร่างอวตารวิถีของชาวประมงเคยเคลื่อนเรือหมื่นแสงดารานิรันดร์มาปรากฏบนฝั่งสระเวียนวัฏที่ภูมิมืดมิด
และการเปลี่ยนแปลงในสมุทรมารไร้กำหนดนี้อย่างมหันต์เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบปีก่อน หากร่างจริงของชาวประมงหลุดไปได้แล้วจริง ๆ ไยจึงต้องใช้ร่างอวตารไปยังภูมิมืดมิดด้วย?
ไม่ต้องพูดถึงว่าที่ฝั่งสระเวียนวัฏ ซูอี้ได้เห็นแล้วว่าบนเรือหมื่นแสงดารานิรันดร์ซึ่งพาร่างอวตารของชาวประมงเคลื่อนคล้อยนั้นถูกดาบแห่งโลกาสะกดไว้
เพราะการคงอยู่ของดาบแห่งโลกา แม้ว่าชาวประมงจะยังคงสั่งการเรือหมื่นแสงดารานิรันดร์ได้ แต่อำนาจร่างจริงของเขาจะยังคงถูกผนึกมิอาจหนีไปไหน
กล่าวสั้น ๆ ก็คือ ดาบแห่งโลกาเป็นเหมือนกรงขัง ขอเพียงมันยังอยู่บนเรือหมื่นแสงดารานิรันดร์ ร่างจริงของชาวประมงก็จะไม่อาจหลุดจากพันธนากาล
ขณะที่ซูอี้กำลังคิดนั้นเอง ความรู้สึกเหลือเชื่อหนึ่งก็ปรากฏในใจ
แทบจะในขณะเดียวกัน หนึ่งวจีดาบก็แว่วมาจากบนเขา สะเทือนถึงเก้าชั้นสรวง
ดาบแห่งโลกา!
ดวงตาของซูอี้ทอประกาย ชาวประมงยังถูกผนึกไว้ที่นี่จริง ๆ
ทว่าทันใดนั้น คิ้วของซูอี้ก็ขมวดเข้าหากัน ปรากฏว่าวจีจากดาบแห่งโลหานั้นแท้จริงคือคำเตือน!
“หรือจะมีอันตรายใดซุ่มอยู่ในจุดที่ชาวประมงถูกผนึกกัน?”
ซูอี้ครุ่นคิดหนัก
ดาบแห่งโลกานั้นคือดาบที่น่าภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตของทัศนาจารย์ แม้จะไร้วิญญาณดาบ แต่ก็มีความฉลาดและจิตวิญญาณ
และความเข้าใจที่มีต่อดาบแห่งโลกาของทัศนาจารย์ทำให้รู้ว่าครานี้มันกำลังเตือน ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีอันตรายแฝงอยู่ ณ จุดนั้นซึ่งน่าจะเป็นภัยต่อทัศนาจารย์ยามสมบูรณ์พร้อมได้!
เมื่อคิดเช่นนี้ ซูอี้ก็ออกคำสั่ง “เฒ่าจวง เจ้าเว่ยน้อย พวกเจ้าคุ้มกันคนอื่น ๆ ให้แน่ใจว่าตามข้ามานะ”
ทุกคนล้วนระวังตนขึ้นมาทันที
ซูอี้ทิ้งความลังเล และเดินหน้าต่อไป
จุดประสงค์การมาเยือนของเขาคือรับดาบแห่งโลกาคืน หากลัวจนต้องหนีไม่
ครู่ต่อมา
หนึ่งขุนเขาที่ปกคลุมด้วยหมอกทมิฬปรากฏขึ้นในระยะสายตา
ที่ตีนเขามีสุสานแห่งหนึ่ง
ที่หน้าสุสานมีป้ายศิลาสลักไว้ว่า ‘สุสานของมนุษย์อมรณา จั้งเทียนอวิ๋น’
เป็นสุสานที่ทัศนาจารย์ทิ้งไว้ให้ชาวประมง
จั้งเทียนอวิ๋นคือนามจริงของชาวประมง
ในสุสานนี้มีร่างจริงของชาวประมงถูกผนึกอยู่!
บนพื้นที่อยู่ไม่ห่างจากสุสานนี้มีเรือสมบัติสีดำลำหนึ่ง รูปร่างคล้ายมัจฉาวิญญาณ หัวท้ายเรือตีบแคบ กลางลำเรือป่องกาง มีมุ้งคลุมทับ
ที่กราบเรือมีดาบรูปร่างประหลาดปักอยู่
ตัวดาบเป็นสีดำแคบ โกร่งตรงแน่วเป็นทรง ‘กางเขน’
ตัวดาบกับโกร่งดาบตัดกัน ดูราวผ่านภาแยกโลกันตร์ สยบทั่วทศทิศ ทำให้ทุกผู้สัมผัสได้ถึงปราณฆ่าฟันร้ายแรงเพียงแรกมอง ไม่ต่างจากเผชิญกับคำพิพากษาทัณฑ์สวรรค์!
วงแหวนรอบด้ามดาบให้ความรู้สึกต่อเนื่องวนเวียน
ด้ามดาบในวงแหวนนั้นดูราว ‘จุดเริ่มวัฏจักร’
ยามนี้ ยมบาลพลันจำได้ว่ายามที่นางและซูอี้ไปยังสระเวียนวัฏ นางเคยได้เห็นเรือสมบัติและดาบวิถีทรงประหลาดนี้มาก่อน!
และนางก็จำได้แม่นยำว่ายามนั้น ชาวประมงเคยกล่าวว่าดาบนี้เคยทำลายวิถีเต๋าครึ่งชีวิตซึ่งอุตส่าห์สั่งสมมาเมื่อกาลก่อนของเขา และยังกักขังเขาเอาไว้จวบจนวันนี้!
เมื่อซูอี้เห็นดาบนี้ เขาก็รู้สึกหวนคิดถึงอย่างไม่อาจพรรณนาในใจ
ดูเหมือนอ้างว้าง ระคนเหม่อลอยด้วยความตะลึง
ส่งราชันกร่อนกระดูกใต้ปลักโคลน ส่งความเดียวดายอันปกคลุมด้วยหิมะในโลกหล้า!
ดาบนี้มีนามว่าโลกา
ครั้งหนึ่งมันเคยติดตามสู้รบข้างกายทัศนาจารย์ทั่วจักรวาลพร่างดาว ถือเป็นยอดดาบอันดับหนึ่งในโลกหล้า!
ทว่าขณะนี้ ดาบเล่มนี้กำลังสั่นสะท้านรัวแรง ส่งวจีถี่ลั่นราวกับจะเร่งให้ซูอี้รีบหนีไปเสีย
“ทัศนาจารย์ ในที่สุดเจ้าก็มา ข้า มนุษย์อมรณาที่เจ้าผนึกไว้ผู้นี้รอเจ้ามาแสนนานแล้ว…”
ขณะเดียวกันกับที่พวกซูอี้มาถึง เสียงนุ่มนวลอบอุ่นราวสายลมยามวสันต์ก็รำพึงออกมาอย่างเลื่อนลอย