บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1301: กับดัก
ตอนที่ 1301: กับดัก!
เสียงนั้นดังออกมาจากในสุสาน
และด้วยเสียงนั้น สุสานก็เกิดรอยร้าวอย่างไร้เสียง หนึ่งร่างปรากฏขึ้นบนอากาศ
ชายผู้นี้สวมหมวกไม้ไผ่สาน ทับด้วยเสื้อคลุม รองเท้าสาน ครึ่งใบหน้าซ่อนอยู่ในเงาหมวก
เขาดูเหมือนเป็นคนวัยกลางคนราว ๆ สามสี่สิบ ใบหน้าซูบตอบ ใต้คางมีเคราดุจกิ่งหลิว จอนผมหงอกขาว
ดวงตากระจ่างใสเยี่ยงทารก แต่กลับมีร่องรอยกาลเวลาซึ่งเผยให้เห็นการผ่านมรสุมมามากมาย
ชาวประมง!
ประมุขลัทธิทางช้างเผือก ซึ่งเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่สูงสุดทั่วจักรวาลพร่างดาว
เมื่อเห็นเขาปรากฏกาย เว่ยซานกับจวงปี้ฟานล้วนหน้าเปลี่ยนสี
“ในเมื่อเจ้าสามารถหลุดจากพันธนาการได้แล้ว ไยจึงยังอยู่ที่นี่เล่า?”
ซูอี้มองปราดแรกก็เห็นได้ว่าชาวประมงเป็นอิสระจากพันธนาการแล้ว
“ย่อมรอให้เจ้ามาหาเพื่อล้างอายน่ะซี”
ชาวประมงทอดถอนใจ “เมื่อสองปีก่อนที่ฝั่งสระเวียนวัฏ เจ้าเป็นเพียงผู้ฝึกตนในขอบเขตจักรพรรดิ ทว่ายามนี้เจ้าบรรลุสู่ขอบเขตคืนสู่สามัญเสียแล้ว อำนาจแห่งวัฏสงสารนี้คู่ควรจะเป็นมหาวิถีต้องห้ามที่สุดในโลกหล้าจริง ๆ”
ซูอี้กล่าวอย่างครุ่นคิด “ข้าเห็นแล้วว่าเจ้านั้นดูมั่นใจเหลือเกิน”
ในหมู่ยักษ์ใหญ่แห่งจักรวาลพร่างดาว อุปนิสัยของชาวประมงนั้นเยียบเย็นเยี่ยงเหล็กกล้า ฆ่าฟันโจมตีเด็ดเดี่ยว มิด้อยไปกว่าเจ้าหอเก้าสวรรค์เหยียนเต้าหลินหรือเติ้งจั๋วจากสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิแต่อย่างใด
ชาวประมงเสสรวลกล่าว “หากไม่เชื่อมั่น จะอยู่รอโดยหวังว่าทัศนาจารย์จะมาได้เช่นไร?”
เขาชี้ไปที่สุสานใต้เท้าตน “กาลก่อน เจ้าผนึกข้าไว้ที่นี่ และวันนี้ ข้าจะคืนที่นี่ให้เจ้า!”
ซูอี้ว่า “ก็ลองดู?”
ชาวประมงกล่าวพร้อมกับยิ้ม “อย่าเพิ่งรีบร้อน รอให้ข้าแนะนำยอดฝีมือจากยุคบรรพกาลแก่เจ้าสักหน่อยก่อน พวกเขาก็อยากจะคุยกับเจ้าเช่นกัน”
‘ว่าแล้วเชียวว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล…’
ซูอี้กล่าวกับตนเองในใจ
พวกจวงปี้ฟานพลันรู้สึกแย่ ไยจึงเหมือนพาตัวมาติดกับดักอันแยบยลเสียได้!
ภายใต้ท้องนภา พิรุณแสงเซียนพลันโปรยปราย
ทันใดนั้น ร่างสามร่างก็ปรากฏเรียงกันจากอากาศธาตุ แต่ละคนล้วนดุจเทพเซียน ปกคลุมด้วยบรรยากาศสูงส่งไร้มลทิน
สามวิญญาณอาสัญอันทรงปัญญา!
และปราณของแต่ละผู้ก็ร้ายกาจมิยิ่งหย่อนกว่ากัน!
หัวใจของพวกจวงปี้ฟานหนักอึ้ง นี่เป็นกับดักที่เตรียมไว้เพื่อซูอี้โดยเฉพาะจริง ๆ เสียด้วย
ซูอี้หรี่ตาพลางกล่าวว่า “มิน่า เจ้าจึงไร้ความกลัว ที่ไหนได้ หันไปพึ่งวิญญาณอาสัญเหล่านี้นี่เอง”
วาจาของเขาเปี่ยมคำเย้ยเยาะโดยไร้การปิดบัง
ชาวประมงยิ้มอย่างมิใส่ใจ “กาลก่อน ข้าได้ฟังคำสอนสั่งชี้แนะของผู้อาวุโสทั้งสามมามากกว่าหน ดังนั้นสำหรับข้า พวกเขาก็เหมือนเป็นทั้งสหายและอาจารย์”
กล่าวจบ แววตาของเขาก็ดูมีเลศนัย “นี่เรียกว่าโชคและเคราะห์พึ่งพา”
ซูอี้ว่า “งั้นเจ้าก็ต้องขอบคุณข้าเสีย เพราะถึงอย่างไร หากข้าไม่ผนึกเจ้าที่นี่ เจ้าหรือจะได้รับโชคเช่นนี้?”
เสียงนุ่มนวลเสียงหนึ่งพลันดังขึ้นเบา ๆ
“หากเจ้าก็อยากได้รับโชคดังว่า ยามนี้คือโอกาสแล้ว”
ผู้ฝึกตนในชุดนักพรตสีขาวดุจแสงจันทร์ ดวงตาสีเขียวหยกผู้หนึ่งปรากฏขึ้นบนเวหา
ใบหน้าของเขาหล่อเหลาทรงเสน่ห์ บนหน้าผากเกลี้ยงเกลามีลวดลายบงกชสีเลือด
ชาวประมงแนะนำ “ทัศนาจารย์ ผู้อาวุโสท่านนี้ชื่อหลินเหอ มาจากขุมกำลังเซียนโบราณอรัญอารามซึ่งเคยมีอำนาจเรียกลมเรียกฝน เป็นผู้แข็งแกร่งในขอบเขตจุติสรวง”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยชา “ข้าไม่อาจเอื้อมกับโชคเช่นนี้หรอก มิขอรับโอกาสนี้ไว้แล้วกัน”
นักพรตนามหลินเหอมีบรรยากาศประหลาดยิ่ง ดวงตาสีเขียวและลวดลายบงกชสีเลือดบนหน้าผาก เห็นได้ชัดว่ามิใช่คนดี
“สหายน้อยผู้นี้ดูจะมีอคติต่อเรานะ แต่อย่าห่วงเลย เราแค่อยากคุยกับเจ้า เชื่อว่าสหายน้อยจะเปลี่ยนใจยามรับรู้ความปรารถนาดีของเราแน่แท้”
ชายร่างสูงถือหอกสั้นสำริดผู้หนึ่งลอยเข้ามา
เส้นผมของเขาดุจดั่งง้าว แย้มยิ้มอัธยาศัยดี ทว่าบรรยากาศกลับน่าหวาดหวั่นราวภูเขาโถมทับหัวใจ
“นี่คือผู้อาวุโสหัวจิ่ง”
ชาวประมงแนะนำอีกครั้ง และบอกว่าคนผู้นี้มาจากขุมกำลังเซียนสูงสุดในสมัยบรรพกาล และเป็นยอดฝีมือในวิถีจุติสรวงก่อนสิ้นใจเช่นกัน
“คุยเรื่องอันใด?”
ซูอี้ถาม
หัวจิ่งกล่าวด้วยสีหน้าจริงใจ “เราเองก็อยากเวียนวัฏเหมือนกัน ขอสหายเต๋าให้ความร่วมมือด้วย”
ทันทีที่วาจาถูกกล่าว ทุกผู้ก็เงียบเสียง
พวกจวงปี้ฟานได้เข้าใจเสียทีว่าวิญญาณอาสัญทรงปัญญาทั้งสามก็หมายตาเคล็ดเวียนวัฏสงสารเช่นกัน!
“ขอเพียงสหายเต๋าเติมเต็มคำขอของเรา เราก็จะมอบรางวัลให้” หัวจิ่งว่า
ซูอี้กล่าวอย่างสบายอารมณ์ “แล้วหาไม่เล่า”
หัวจิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็ทำได้เพียงรับมันไปเอง”
รับมันไปเอง?
ฟังดูมิต่างจากปล้นกันเลย
ซูอี้กล่าวทั้งหัวเราะ “งั้นก็ขึ้นกับว่าพวกเจ้าจะมีฝีมือพอหรือไม่”
“ข้าบอกแล้วว่าลงมือเลย ไม่ต้องมัวพูดพล่ามหรอก แต่พวกเจ้าก็หาฟังไม่ ยังจะไปต่อรองกับเขา มิรู้หรือว่าบ่อยครั้งที่วาจาไร้อำนาจที่สุด?”
สตรีผู้หนึ่งทะยานเข้ามา นางสวมอาภรณ์ยาวสีดำ มีแส้สีแดงเพลิงพันอยู่รอบเอวบาง
บุคลิกของนางเย็นชา คู่เนตรคมกริบเยี่ยงคมดาบ ทันทีที่มาถึง จิตสังหารอันร้ายแรงก็แผ่ออก
“นี่คือผู้อาวุโสหลิวอิ๋ง”
ชาวประมงเอ่ยแนะนำอีกครั้ง สตรีชุดดำที่มีนามว่าหลิวอิ๋งก็มาจากขุมกำลังเซียนในยุคสิ้นกฎเกณฑ์เช่นกันกับหัวจิ่งและหลินเหอ
“ทัศนาจารย์ ข้ารู้ว่าเจ้าหากลัวตายไม่ แต่เจ้าคงทนดูสหายทั้งหลายตรงนั้นของเจ้าตายที่นี่มิได้หรอก”
ชาวประมงรำพึง “ไฉนไม่ร่วมมือให้ปรีดากันทุกฝ่ายเล่า?”
ซูอี้กล่าวกับชาวประมงทั้งรอยยิ้ม “เจ้าก็เดาเอาแล้วกัน หากข้าบอกว่าให้ฆ่าเจ้าเพื่อแลกกับเคล็ดเวียนวัฏ สามผู้อาวุโสอันเป็นทั้งอาจารย์และสหายของเจ้าจะทำเช่นไร?”
เปลือกตาของชาวประมงกระตุก สงบวาจาไป
ทว่านักพรตหลิวเหอผู้มีรูปลักษณ์อ่อนโยนเย้ายวนส่ายหน้ากล่าวขึ้น “ฆ่าเจ้าเสีย เราก็จะได้เคล็ดเวียนวัฏมาอยู่ดี เหตุใดต้องลงมือกับคนของเราเองด้วย?”
หัวจิ่งกล่าวเสียงเข้ม “ถูกต้อง ความสัมพันธ์อยู่มิได้หากไร้ความเชื่อใจ เราไม่ทำเรื่องผิดผีพรรค์นั้นหรอก”
หลิวอิ๋งเองก็พยักหน้า
สีหน้าของชาวประมงพลันผ่อนคลายลง
ทว่าซูอี้กลับกล่าวต่ออีกว่า “งั้นหรือ เช่นนั้น ข้าก็อยากจะลองเช่นกัน งั้นลงมือเถิด หากใครก็ตามในพวกเจ้าสามคนบั่นหัวชาวประมงได้ ข้าก็ไม่คิดมากหากจะแลกด้วยเคล็ดวัฏสงสาร”
ทันทีที่วาจาถูกกล่าวออกมา
หลินเหอ หัวจิ่ง และหลิวอิ๋งต่างมองหน้ากันอย่างลังเล
การเปลี่ยนแปลงอันน่าหวั่นไหวนี้ทำให้หัวใจของชาวประมงสั่นสะท้าน สีหน้าพลันย่ำแย่ กัดฟันตอบ “เจ้าทัศนาจารย์น่ารังเกียจเพียงนี้แต่ยามใด!?”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “อย่ากลัวไป ข้าแค่แหย่เจ้าเล่น”
ทุกคน “…”
ยามนี้ สีหน้าของพวกหลินเหอพลันมิน่ามอง
“เมื่อครู่ เจ้าจงใจหลอกเราหรือ?”
คิ้วของหลิวอิ๋งกระตุก สีหน้ามิสู้ดี
ซูอี้ประหลาดใจ “แปลว่าเมื่อครู่ พวกเจ้าวางแผนจะบั่นหัวเขาจริง ๆ หรือ?”
ชาวประมง “…”
“ไม่มีความจำเป็นต้องเยิ่นเย้อแล้วจริง ๆ ลงมือกันเถอะ”
หลินเหอกล่าวอย่างเย็นชา ในคู่เนตรสีเขียวนั้นมีจิตสังหารอันร้ายกาจกำลังพลุ่งพล่าน
ทว่ายามนี้ เสียงหนึ่งกลับดังกังวานขึ้นมา
“คนผู้นี้อยู่ในอารักษ์ของข้าซงเฮ่อ!”
สุ้มเสียงนั้นกึกก้องไปทั่วทิศ
ทุกคนล้วนมองไปทางต้นเสียงเป็นตาเดียว
ไกลออกไป นักพรตเต๋าผู้มีหน้าตาหล่อเหลา สวมมงกุฎดอกฝ้ายก้าวเดินบนอากาศ
เมื่อพบคนผู้นี้ คิ้วของทั้งหลินเหอ หัวจิ่งและหลิวอิ๋งล้วนขมวดหากัน
ซูอี้ประหลาดใจเล็กน้อย ผู้เข้ามาปกป้องเขาผู้นี้คือผู้ใด?
“ซงเฮ่อ เขาเต่าดำนี้ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมากระทำการตามใจได้นะ”
ดวงตาของหัวจิ่งคมปลาบเยี่ยงสายฟ้า น้ำเสียงเยียบเย็น
“อยากออกมาปกป้องคน? เหอะ ๆ ข้าว่าเจ้าแค่อยากฉวยโอกาสขอส่วนแบ่งด้วยมากกว่าหรือไม่?”
หลินเหอยิ้มเยาะ
“หากเจ้ากล้าเข้ามาพัวพัน เจ้าตายแน่”
หลิวอิ๋งกล่าวชัดถ้อย จิตสังหารปกคลุมฟากฟ้า
ไม่ว่าผู้ใดก็เห็นว่าวิญญาณอาสัญผู้ทรงปัญญาทั้งสามตนนี้ล้วนแต่รังเกียจการมาถึงอย่างกะทันหันของนักพรตเต๋ารูปหล่อผู้นี้
หลังจากซงเฮ่อมาถึง เขาก็แย้มยิ้มพลางคำนับให้แก่ซูอี้ “อย่าห่วงไป ข้ามาที่นี่เพื่อสร้างสัมพันธ์อันดีกับเจ้า และพาเจ้าไปหาตัวตนเลิศล้ำผู้หนึ่งเท่านั้น”
ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือน… เรื่องราวจะน่าสนใจขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว วิญญาณอาสัญผู้มีปัญญาเหล่านี้ดูเหมือนจะหมายหัวเขาอยู่?
“ฮ่า ๆๆ อยากพาคนไปหรือ? เจ้าซงเฮ่อจะมีคุณสมบัติพอหรือไร?”
หัวจิ่งหัวเราะลั่น
ซงเฮ่อกล่าวเรื่อยเฉื่อย “ข้ามาด้วยคำสั่งของปราชญ์หงอวิ๋น เจ้าว่าข้ามีคุณสมบัติพอหรือไม่?”
ปราชญ์หงอวิ๋น!
เพียงนามหนึ่งเท่านั้น แต่กลับทำให้บรรยากาศทั่วหล้าเงียบสงัด
เสียงหัวเราะของหัวจิ่งหยุดลงกะทันหัน หลินเหอและหลิวอิ๋งข้างกายเขาล้วนแสดงสีหน้าตกใจ
ชาวประมงอดอ้าปากค้างไม่ได้
เขาอยู่ในสมุทรมารไร้กำหนดนี้มาเนิ่นนาน มีหรือจะมิรู้ว่าปราชญ์หงอวิ๋นคือหนึ่งในสามตัวตนร้ายกาจซึ่งไม่อาจล่วงเกินได้?
ในที่สุด ซูอี้ก็เข้าใจว่าในหมู่วิญญาณอาสัญผู้ชาญฉลาดเหล่านี้ยังมีตัวตนที่ร้ายกาจยิ่งกว่าอยู่อีก
เช่นปราชญ์หงอวิ๋นที่ว่านี่!
“วาจาเลื่อนลอย ใครเล่าจะรู้ว่าเจ้าเป็นจิ้งจอกยืมหนังเสือหรือไม่?”
หัวจิ่งแค่นเสียงอย่างเย็นชา
ซงเฮ่อถามกลับอย่างมีวาทศิลป์ “เจ้าคิดว่าข้ากล้าอ้างตัวว่ากระทำใต้คำสั่งปราชญ์หงอวิ๋นหรือ?”
สีหน้าของหัวจิ่งดูไม่สู้ดีนัก
จริงดังว่า ในสมุทรมารไร้กำหนดนี้ ไม่มีผู้ใดกล้าอ้างตนเป็นผู้ส่งสารของปราชญ์หงอวิ๋น!
“หากเป็นยามอื่น เราคงไว้หน้าปราชญ์หงอวิ๋น แต่วันนี้ต่างออกไป เรากำลังทำเรื่องเพื่อ ‘สมมติเทพเซวี่ยเติง’ แห่งถ้ำหมื่นหลุมอยู่!”
หลินเหอพลันกล่าวอย่างเย็นชา “หากปราชญ์หงอวิ๋นต้องการคน ก็ไปพบสมมติเทพเซวี่ยเติงได้!”
สมมติเทพเซวี่ยเติงแห่งถ้ำหมื่นหลุม ปราชญ์หงอวิ๋นแห่งซากอสนีบาตโลหิต และบัณฑิตผีแห่งเกาะนิลกาฬทมิฬคือสามตัวตนอันแข็งแกร่งที่สุดในสมุทรมารไร้กำหนด
ยามนี้ หลินเหอขานนามสมมติเทพเซวี่ยเติงออกมา ทำให้ซงเฮ่อขมวดคิ้ว
ชั่วขณะนั้น บรรยากาศมืดหม่นคลุมเครือ
เมื่อได้เห็นเช่นนี้ พวกเว่ยซานต่างตกใจระคนพรั่นพรึง
ซูอี้หันไปมองซงเฮ่อ พลางกล่าวอย่างใจร้อนเล็กน้อย “ไม่ว่าจุดประสงค์ของเจ้าจะเป็นเช่นไร จากยามนี้ อย่าได้เข้ามาแทรกแซงอีก หาไม่ ข้าจะถือเจ้าเป็นศัตรู”
ซงเฮ่อ “???”
คนผู้นี้คิดว่าเขามีเจตนาร้ายหรือ?
ในขณะที่เขากำลังจะอธิบายนั้นเอง ซูอี้ก็กล่าวอีกครั้ง
“แล้วพวกเจ้า หากไม่ลงมือ ก็ไสหัวไปเสียให้ไว”
สายตาของซูอี้กวาดมองพวกหลินเหอ น้ำเสียงห้วน “หาไม่ พวกเจ้าก็จะสิ้นชีพกันวันนี้!”
พวกหลินเหอ “???”
ใครเล่าจะกล้าคิดว่าผู้ที่ถูกล้อมเหมือนเหยื่อจะเย่อหยิ่งได้เพียงนี้?