บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1302: ถอดวิญญาณ
ตอนที่ 1302: ถอดวิญญาณ
ซูอี้เมินความประหลาดใจของคนเหล่านั้นไปสิ้น
เขายกมือขึ้นโบกไปทางเรือหมื่นแสงดารานิรันดร์ที่อยู่ไกลออกไป
วิ้ง!
ดาบแห่งโลกาซึ่งปักอยู่บนเรือหมื่นแสงดารานิรันดร์สั่นสะเทือนรุนแรง แต่หาหลุดออกมาไม่
อำนาจกฎเกณฑ์สายแล้วสายเล่ารัดพันเยี่ยงตรวน ผนึกดาบแห่งโลกาไว้แน่นหนา
หือ?
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ยามนี้เอง ชาวประมงโจมตีโดยไร้ลังเล
ตู้ม!
ทั่วฟ้าดินหม่นรัศมี อากาศสั่นสะท้าน
ชาวประมงก้าวสู่เวหา อาภรณ์พลิ้วสะบัด มือยกขึ้นสับเยี่ยงสวรรค์ลงมีด
เรียบง่ายตรงไปตรงมา ทว่าอหังการยิ่งนัก
ซูอี้แค่นเสียงอย่างเย็นชา ก่อนจะแบมือออก และสุญญะก็วูบวาบด้วยแสงวิถีเจิดจรัส ราวกับม่านนภาสีครามพลิ้วสะบัด
มีดของชาวประมงแหลกเป็นพิรุณแสงดังเปรี้ยงหนัก ๆ และร่างของเขาก็ถูกผลักกระเด็นเซ
“เชอะ!”
หัวจิ่งดึงหอกสั้นจากด้านหลังออกมาแทง รวดเร็วเยี่ยงสายฟ้าฟาด และหอกสั้นก็โปรยปรายแสงเซียนบดขยี้เวหา
ร่างของเขาสูงใหญ่ เส้นผมดุจง้าว ยามโจมตีแผ่แรงกดดันมหาศาลสู่โลกหล้า เพียงไม่กี่การโจมตีก็สามารถสังหารราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดลงได้โดยง่าย
ขณะเดียวกัน หลิวอิ๋งก็นำแส้ยาวสีเพลิงที่เอวของนางออกมาฟาดบนอากาศ
เพียะ!
แส้ยาวสีเพลิงนั้นทรงพลังมิต่างกับโซ่สวรรค์ ด้วยหนึ่งโจมตีดูราวจะแหวกฟ้าดิน ขยี้ทั่วทิศจนกระทั่งแหลกสลาย
ดาบมารดาฟ้าดินปรากฏขึ้นในมือของซูอี้ คมดาบอาบนิมิตหกวิถีเวียนวัฏทะยานสู่นภา
ทั่วฟ้าดินมืดมัว หกวิถีลอยละล่อง
เมื่อดาบนี้ทะยานผ่าน
แกร๊ง! หอกสั้นของหัวจิ่งพลันส่งเสียงแห่งการทลาย
และแส้ยาวสีเพลิงซึ่งถูกฟาดเข้ามาก็ถูกนิมิตหกวิถีเวียนวัฏเข้าขวาง สูบพลังร้อนแรง
ตู้ม!
ร่างของหัวจิ่งและหลิวอิ๋งถูกฟาดกระเด็นไปพร้อมกับเสียงกัมปนาท
ทว่า แทบจะในขณะเดียวกัน บงกชสีเลือดประหลาดก็ร่อนลงจากฟ้ามาหาซูอี้
บงกชนี้มีขนาดสิบจั้ง มีสิบแปดกลีบ แต่ละกลีบมีเงาร่างพระพุทธสีเลือดหนึ่งเงา แว่ววจีสันสกฤตบริกรรม แต่กลับเต็มไปด้วยปราณชั่วร้ายอันเย้ายวนใจ
เปรี้ยง!
บงกชสีเลือดเคลื่อนลงมาเยี่ยงแดนดินสีเลือดคล้อยต่ำ
อำนาจกดดันร้ายกาจถูกปลดปล่อย ทำให้ร่างของซูอี้นิ่งค้าง
ไม่ห่างไปนัก หลินเหอผู้ทรงเสน่ห์ก็แย้มยิ้ม
ทว่าทันใดนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็แข็งค้าง
เพราะเขาเห็นดาบในมือซูอี้ถูกยกขึ้น และบงกชโลหิตขนาดสิบจั้งก็ระเบิดเปรี้ยงกลายเป็นพิรุณแสงสีเลือดโปรยสู่เวหา
การกระทำนี้เกิดขึ้นในพริบตา
และซูอี้ก็บดขยี้การโจมตีประสานของสามวิญญาณอาสัญผู้ทรงพลังลงอย่างง่ายดาย!
พลังต่อสู้ร้ายกาจเช่นนี้ทำให้ทุกผู้ล้วนตกตะลึง
“พลังแห่งวัฏสงสารร้ายกาจจริง ๆ!”
ไกลออกไป ซงเฮ่อผู้สวมมงกุฎดอกฝ้ายลอบตระหนก
แต่เดิมเขารำคาญใจกับการวางตนโอหังของซูอี้เล็กน้อย ทว่ายามนี้ ความรำคาญใจนั้นหายไปแล้ว
เว่ยซาน จวงปี้ฟานและคนอื่น ๆ ล้วนถอนใจโล่งอก
ก่อนหน้านี้ พวกเขาค่อนข้างประหม่า เพราะถึงอย่างไร วิญญาณอาสัญเหล่านั้นต่างก็เป็นตัวตนร้ายกาจในขอบเขตจุติสรวงทั้งสิ้น
เพียงอำนาจที่พวกเขามีก็ให้ความรู้สึกขนลุกขนพองแล้ว
ทว่ายามนี้ ดูเหมือนซูอี้จะมีวิธีรับมือกับมัน!
ซูอี้ทะยานไปยังเรือหมื่นแสงดารานิรันดร์ คิดจะรับดาบแห่งโลกากลับมา
ตู้ม!
ชาวประมงลงมืออีกหน เห็นได้ชัดว่าทุ่มสุดกำลัง อำนาจของเขาแข็งแกร่ง หาได้ยิ่งหย่อนไปกว่าอวตารวิถีของเหยียนเต้าหลินผู้อยู่ในขอบเขตจุติสรวงไปครึ่งก้าวไม่
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตลอดกาลผ่านมา แม้ชาวประมงจะถูกผนึกอยู่ที่นี่ แต่เขาก็ได้รับโชคในคราวเคราะห์ เลื่อนขอบเขตการฝึกฝนของเขาขึ้นอีกขั้น!
น่าเสียดาย เขาหารู้ไม่ว่าซูอี้ ณ ขณะนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าทัศนาจารย์ยามก้าวสู่ขอบเขตจุติสรวงครึ่งก้าวเมื่อกาลก่อนเสียอีก!
เมื่อเผชิญกับการโจมตีนี้ ซูอี้ตวัดดาบวิถีในมือโดยไม่แม้แต่จะชายตามอง
เปรี้ยง!!!
ร่างของชาวประมงปลิวไปเบื้องหลังเยี่ยงลูกธนู กระแทกเข้าใส่กำแพงขุนเขา โลหิตหลั่งรินจากปาก
ใบหน้าของเขามืดหมอง ดวงตาตะลึงอึ้ง
ร่างเวียนวัฏของคนผู้นี้ แข็งแกร่งเพียงนี้เทียวหรือ!?
หลินเหอ หัวจิ่ง และหลิวอิ๋งล้วนโจมตี
ทว่าพวกเขาล้วนถูกซูอี้สกัดการโจมตีทิ้งอย่างไร้ข้อยกเว้น
ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่แข็งแกร่งพอ แต่กฎแห่งวัฏสงสารที่ซูอี้ใช้นั้นมีพลังเหนือกว่าวิญญาณอาสัญเหล่านี้เป็นทุนเดิม แม้ว่าพวกเขาจะมีอำนาจบดขยี้ราชันแห่งภูมิใด ๆ ในโลกหล้าได้ แต่พวกเขาก็ยังต้องพ่ายแพ้ยามเผชิญกฎแห่งวัฏสงสารอยู่ดี
เพียงพริบตา ซูอี้ก็มาถึงตรงหน้าเรือหมื่นแสงดารานิรันดร์ และคว้าด้ามดาบแห่งโลกาดึงออกมา
อำนาจกฎมหาวิถีซึ่งผนึกดาบแห่งโลกาประหนึ่งโซ่ตรวนแหลกสลายไป
หลังจากผ่านไปนาน ดาบแห่งโลกาก็หวนคืนสู่มือซูอี้!
ทว่าซูอี้ก็ต้องแปลกใจที่ดาบแห่งโลกาสั่นสะท้านรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เพราะต้องการจะหนีออกจากมือซูอี้
ดาบยังคงส่งคำเตือน!
นอกจากนั้นยังไม่อยากถูกซูอี้ควบคุมเสียด้วย
เหตุประหลาดนี้ทำให้ซูอี้ตระหนักได้ว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง
แทบจะในยามเดียวกัน มือที่กำด้ามดาบของเขาก็เจ็บแปลบ มีเงาสีเลือดสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากด้ามดาบเข้าไปในร่างซูอี้เร็วเยี่ยงสายฟ้าฟาด
รวดเร็วเกินไป!
สายเกินกว่าจะมีปฏิกิริยาใดได้
ตู้ม!
ดาบแห่งโลกาคร่ำครวญ ร่างของซูอี้ระเบิดเพลิงสีเลือด ปราณในร่างของเขาปั่นป่วนรุนแรง
แย่แล้ว!
จวงปี้ฟานและพวกเว่ยซานล้วนหน้าเปลี่ยนสีอย่างพร้อมเพรียง
“โดนหลอกแล้วจริง ๆ ด้วย!”
หลินเหอซึ่งอยู่ไกลออกไปเสสรวล
“ทีนี้เราก็แค่คุ้มกันที่นี่ ไม่ให้ผู้ใดรบกวนการชิงร่างของสมมติเทพเซวี่ยเติงก็พอ”
หัวจิ่งกล่าวสบายอารมณ์
“สิ่งที่เจ้าบอกก่อนหน้านี้ถูกต้อง เจ้าหนูทัศนาจารย์นั่นเย่อหยิ่งและร้ายกาจยิ่งนัก ทว่าโชคดีที่เจ้าเตือนเราก่อนว่าให้วางแหล่อเขามาติดกับ”
หลิวอิ๋งเหลือบมองชาวประมงอย่างชื่นชม
ชาวประมงปาดคราบเลือดที่ริมฝีปากพลางกล่าวยิ้ม ๆ “ผู้อาวุโสกล่าวชมเชย ทว่าผู้น้อยนั้นช่างละอาย”
ถึงจะว่าเช่นนั้น แต่สีหน้าของเขาก็ดูภาคภูมิระคนเหยียดหยันอย่างมิอาจปิดบัง
ในฐานะอริเก่าของทัศนาจารย์ เขารู้นิสัยของทัศนาจารย์ดียิ่ง และคาดการณ์ไว้นานแล้วว่าขอเพียงทัศนาจารย์ปรากฏตัว อีกฝ่ายจะไม่อาจรามือ
และหากต้องการลอบโจมตีทัศนาจารย์ ดาบแห่งโลกาก็จะเป็นกุญแจ!
และทัศนาจารย์ก็ถูกหลอกเช่นนั้นจริง ๆ!
เมื่อได้เห็นเรื่องทั้งหมดนี้ จวงปี้ฟาน เว่ยซานและคนอื่น ๆ ล้วนหัวใจร่วงลงหุบเหว พวกเขาหรือจะไม่เข้าใจว่านี่คือกับดักที่สร้างเพื่อซูอี้โดยเฉพาะมาตั้งแต่แรก?
“ถอดวิญญาณ นักพรตเฒ่าเซวี่ยเติงตั้งใจชิงร่างเพื่อทำลายคำสาปบนร่างเขา!”
สีหน้าของซงเฮ่อซึ่งอยู่ห่างออกไปดูไม่สู้ดี
ยามนี้เองเขาจึงตระหนักว่าเทียบกันแล้ว สมมติเทพเซวี่ยเติงเตรียมแผนมาเนิ่นนานกว่าอย่างเห็นได้ชัด และคาดการณ์แล้วว่าชายหนุ่มผู้ถือเคล็ดแห่งวัฏสงสารจะโยนตัวเองลงไปยังแห
“น่ารังเกียจเกินไปแล้ว!”
ทันใดนั้น เว่ยซานก็เดินไป ดวงตาแดงก่ำ พลังปราณในร่างดุร้ายและน่าพรั่นพรึง
เขาพุ่งไปหาซูอี้เพื่อช่วยเหลือทันที
“น่ารังเกียจหรือ? ก็แค่ครรลองที่ผู้ชนะคือราชาเท่านั้น!”
ชาวประมงแค่นเสียงอย่างเย็นชา ก่อนจะฟาดฝ่ามือเข้าใส่
ตู้ม!
รอยประทับฝ่ามือปรกทั่วนภา แสงวิถีกู่คำราม
หากฝ่ามือนี้ประทับลงมา ด้วยวิถีเต๋าขอบเขตไร้ขีดจำกัดขั้นกลางของเว่ยซาน เขาจะถูกฆ่าทันที
“ให้ข้าลงมือเถิด”
ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ ฝ่ามือแทงเข้าสู่อากาศ
รอยฝ่ามือของชาวประมงซึ่งปิดคลุมทั่วนภาแหลกระเบิด
ทุกผู้ล้วนตะลึง
“ซงเฮ่อ ทำเช่นนี้หมายความเช่นไร?”
หลินเหอขมวดคิ้ว ดูมิเป็นมิตร
หลิวอิ๋งและหัวจิ่งล้วนดูเย็นชา ไม่คิดเลยว่ายามนี้ ซงเฮ่อจะยังเข้าปกป้องพวกซูอี้ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้ความเป็นความตาย
“หมายความว่าอย่างไรหรือ?”
ซงเฮ่อหัวเราะ ดวงตาฉายประกายบ้าคลั่ง “มิชอบขี้หน้าพวกเจ้านับได้หรือไม่?”
ตู้ม!
ร่างของเขาวูบไหว เศษสำริดชิ้นหนึ่งทะยานเวหาพุ่งตรง
“วอนตาย!”
หลิวอิ๋งแค่นเสียงอย่างเย็นชา สะบัดแส้ยาวสีเพลิงของนางเข้าโจมตีซงเฮ่อ
เปรี้ยง!
มหาสงครามบังเกิด
ไม่ว่าซงเฮ่อหรือหลิวอิ๋งล้วนสำแดงอำนาจเหนือล้ำกว่าขอบเขตราชันแห่งภูมิ ราวกับสองเทพประชันศึก ดุดันร้ายกาจยิ่ง
ทว่าไม่นานนัก หลิวอิ๋งก็ดูเพลี่ยงพล้ำเล็กน้อย เกือบถูกซงเฮ่อกดดันเอาชนะได้
“ซงเฮ่อ โอกาสนี้อยู่ในมือสมมติเทพเซวี่ยเติงนานแล้ว อย่าว่าแต่เจ้าเลย กระทั่งปราชญ์หงอวิ๋นมาเองก็ไร้โอกาสประชัน!”
หัวจิ่งลงมือตวัดหอกสั้นสำริดของเขาเข้าโจมตี
ทันใดนั้น ซงเฮ่อก็ถูกตีกระหนาบ
ดวงตาของหลินเหอเหลือบมองพวกจวงปี้ฟานอย่างเย็นชา ขณะกล่าวว่า “หากพวกเจ้ากล้าขยับ ข้านี่แหละจะฆ่าเจ้าคนแรก!”
เมิ่งฉางอวิ๋นแสนเดือดดาล เหมือนจะกล่าวบางอย่าง ทว่าจวงปี้ฟานข้างกายเขารีบส่งกระแสเสียงปราณมาที่เขา “ลนลานไปไย ดูศึกเถิด คิดจริง ๆ หรือว่าคุณชายของเจ้าสิ้นท่าแล้วจริง ๆ?”
เมิ่งฉางอวิ๋นตะลึงนิ่ง
เมื่อเขามองขึ้นไป ก็เห็นว่าทางเรือหมื่นแสงดารานิรันดร์ไกลออกไป ซูอี้นิ่งมิไหวติง ร่างปกคลุมด้วยแสงสีเลือด
สถานการณ์ดูอันตราย แต่กลับมิแสดงทีท่าเพลี่ยงพล้ำ
จวงปี้ฟานกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน “ยามนี้ สิ่งเดียวที่เราต้องทำคือสงบสติรักษาชีวิตไว้ก่อน อย่าว่าแต่อะไรเลย ในสายตาเจ้าพวกร้ายกาจนี้ ที่ไว้ชีวิตเรานั้นเป็นเพราะไม่ควรค่าให้ฆ่าโดยแท้”
สีหน้าของเมิ่งฉางอวิ๋นมืดมนลง
เขาสังเกตได้อย่างชัดเจนว่าเว่ยซานก็กลับมาแล้วเช่นกัน และเมื่อได้จวงปี้ฟานเตือนสติเอาไว้ พวกเขาจึงคอยรอดูเหตุการณ์ต่อไป
และขณะเดียวกัน
ในห้วงความนึกคิดของซูอี้ เงาสีเลือดเงาหนึ่งวิ่งพล่านไปทั่ว
เมื่อมองใกล้ ๆ จะพบว่าเงาสีเลือดนั้นเป็นนักพรตเฒ่าผู้หนึ่ง คิ้วและหนวดเคราของเขาเป็นสีขาวดุจหิมะ ดวงตาสีเหลืองน้ำตาลประหลาดตา
เพียงแค่ว่ายามนี้ นักพรตเฒ่าผู้นี้ดูลนลานราวกับตกใจกลัวอย่างยิ่ง เอาแต่หนีอยู่ในห้วงความนึกคิด
นักพรตเฒ่านี้ก็คือร่างวิญญาณส่วนหนึ่งของสมมติเทพเซวี่ยเติง!
ก่อนหน้านี้ หลังจากเขาพุ่งเข้ามาในร่างของซูอี้ได้ เขาก็ทะยานใส่จิตวิญญาณของชายหนุ่มก่อนอื่นใด พยายามยึดร่างในทันที
ทว่าใครเล่าจะคิดว่าหลังจากเข้ามาในห้วงความนึกคิดของซูอี้ได้ อำนาจดาบที่มิอาจมองเห็นสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ถึงจะมิได้เล็งมาทางเขา แต่อำนาจเช่นนั้นก็แทบสลายวิญญาณของเขาทั้งเป็น!
สมมติเทพเซวี่ยเติงตระหนักทันทีว่าบางอย่างผิดปกติ คิดหลบหนี ทว่าสายไปแล้วก้าวหนึ่ง
เมื่อซูอี้โคจรการฝึกฝน ในห้วงความนึกคิดอันไพศาลก็มีวจีวิถีคำรามก้อง อำนาจจิตวิญญาณร้ายกาจกระเพื่อมเป็นกระแส กั้นทางหนีทั้งหมดของสมมติเทพเซวี่ยเติงสิ้น
ยิ่งกว่านั้น ด้วยอำนาจจิตวิญญาณที่แผ่ทั่วห้วงความนึกคิดนี้ สมมติเทพเซวี่ยเติงเป็นราวกับเรือท้องแบนท่ามกลางทะเลคลั่ง มันอาจถูกทำลายลงยามใดก็ย่อมได้!
“ราชันแห่งภูมิในขอบเขตคืนสู่สามัญ ต่อให้มีเคล็ดเวียนวัฏ แต่ไยจึงมีอำนาจจิตวิญญาณท้าทายสวรรค์ได้เพียงนี้?”
สมมติเทพเซวี่ยเติงเดือดดาลและทำใจเชื่อไม่ลง
ป้าบ!
ศีรษะล้านเลี่ยนของเขาถูกตบ ร่างทรุดลงกับพื้นทันที
จากนั้นเท้าใหญ่ข้างหนึ่งก็ย่ำลงมา ทำให้เขาไม่อาจขยับตัว
สมมติเทพเซวี่ยเติงเงยหน้าขึ้นมอง พบเจตจำนงของซูอี้ปรากฏขึ้น ขณะกำลังมองลงมาที่เขาด้วยรอยยิ้ม
คู่เนตรลึกล้ำเปี่ยมความดูแคลน
………………..