บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1303: เวียนวัฏคืนโลกา
ตอนที่ 1303: เวียนวัฏคืนโลกา
สมมติเทพเซวี่ยเติงถูกซูอี้เหยียบย่ำใต้เท้าจนไม่อาจขยับได้
และท่าทีมองจากที่สูงของซูอี้ก็ทำให้เขาเดือดดาลด้วยความอับอายยิ่งกว่า
ในฐานะหนึ่งในสามตัวตนอันร้ายกาจซึ่งมิอาจถูกล่วงเกินได้แห่งสมุทรมารไร้กำหนด เขาเคยถูกปฏิบัติด้วยเช่นนี้ที่ไหนกัน?
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ สมมติเทพเซวี่ยเติงก็ขมวดคิ้วก่อนกล่าวว่า “หากฆ่าเจ้าแต่แรก มีหรือจะตกต่ำถึงจุดนี้?”
“มิพอใจหรือ?”
ซูอี้เสสรวลกล่าว “ชาวประมงร่วมมือกับเจ้าวางแผนให้ข้าเอาตัวเองมาติดกับเสียดิบดี แต่เหตุใดจึงไม่อาจพาตัวเองมาติดกับของข้าได้บ้างเล่า?”
หลังจากนิ่งไปเล็กน้อย ซูอี้ก็กล่าวอย่างเฉยชา “โลกนี้ไร้คำว่าถ้า ต่างกันเพียงหนึ่งก้าวก็สามารถชี้เป็นตาย ต่อให้มีความสามารถร้ายกาจ แต่ยามนี้ ในห้วงความนึกคิดของข้า เจ้าก็เป็นเพียงเหยื่อ”
สมมติเทพเซวี่ยเติงตะลึงไป ก่อนจะส่ายหน้ากล่าวว่า “ทุ่มเทแผนสิ้นลูกไม้ ทว่าก็ยังหยุดตัวแปรเช่นเจ้าไม่ได้ โลกนี้ช่างไม่จีรัง คนเรามิเหมือนกันโดยแท้”
ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นกล่าวกับซูอี้ “ในเมื่อเจ้าแน่ใจว่าจะชนะ ไยจึงมิฆ่าข้าเสียเล่า?”
ซูอี้ว่า “รอก่อน”
“รอก่อน?”
ม่านตาของสมมติเทพเซวี่ยเติงหดตัว “นี่… เพื่อการใด?”
ซูอี้กล่าวพร้อมกับยิ้ม “คิดจริง ๆ หรือว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าตรงหน้าข้าเป็นเพียงร่างอวตาร?”
สมมติเทพเซวี่ยเติงพลันเงียบไป
“ข้าคงไม่อาจวางใจ หากมิฆ่าเจ้าไปกับร่างต้น”
ซูอี้ว่าพลางยกมือขึ้นดีดนิ้ว
เป๊าะ!
ตรวนวิญญาณกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากห้วงความนึกคิด ผนึกสมมติเทพเซวี่ยเติงและลากไปยังดาบเก้าคุมขัง
“นี่…นี่คือดาบเซียนหรือ? ไม่สิ! กระทั่ง ‘ดาบเลิศจักรวาล’ ซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในยุคสิ้นกฎเกณฑ์ยังมิร้ายกาจเท่าดาบนี้เลย…”
“นี่มันดาบวิถีอันใด? หรือจะเป็นอนุสรณ์ที่เทพทิ้งไว้ในโลกหล้า?”
สมมติเทพเซวี่ยเติงตัวสั่น
ก่อนตกตาย เขาเคยได้เห็นอำนาจวิเศษของ ‘ดาบเลิศจักรวาล’ จากไกล ๆ หนึ่งดาบนั้นแหวกม่านแห่งสรวงสวรรค์ จมจันทรากลบหมู่ดาว ตัวตนร้ายกาจนับไม่ถ้วนในวิถีเซียนล้วนตกตายในพริบตา!
อำนาจเช่นนั้นร้ายกาจเสียจนมิอาจหยั่งถึง
ดังนั้นดาบเลิศจักรวาลจึงเป็นที่เลื่องลือในฐานะดาบเซียนอันดับหนึ่งแห่งยุคสิ้นกฎเกณฑ์!
ทว่า เมื่อเทียบกับดาบวิถีซึ่งปกคลุมด้วยชั้นตรวนทิพย์ตรงหน้าเขา สมมติเทพเซวี่ยเติงก็รู้สึกชัดเจนว่าถึงดาบนี้จะอยู่นิ่ง แต่ปราณก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าดาบเลิศจักรวาลสักนิด!
สิ่งนี้ทำให้สมมติเทพเซวี่ยเติงตกตะลึง
ในโลกหล้าทุกวันนี้ วิถีเซียนสูญหาย ไร้เซียนแท้จริงในโลกา
คนผู้นี้คือใครกันแน่?
ไฉนเขาจึงควบคุมวัฏสงสารและถือครองดาบวิถีอันน่าพรั่นพรึงเช่นนี้ได้?
ก่อนที่สมมติเทพเซวี่ยเติงจะได้รู้แน่ชัด ดวงตาของเขาก็มืดมัว ถูกปราณดาบเก้าคุมขังสยบสิ้นสติ
…
ใต้ท้องนภา มหาสงครามยังคงคุกรุ่น
หัวจิ่งและหลิวอิ๋งร่วมมือกันต่อสู้กับซงเฮ่อ ทำให้เขาไร้เวลามาสนใจสิ่งอื่น
หลินเหออยู่มิห่างจากซูอี้นัก ในมือถือบาตรสีดำ ขณะมองไปรอบ ๆ รอให้สงครามจบ
“ซงเฮ่อ รูปแบบเดิม ๆ มิเหลือแล้ว หากเจ้ายังดึงดัน ยามสมมติเทพเซวี่ยเติงยึดเคล็ดวัฏสงสารสำเร็จ จะเป็นยามตายของเจ้า!”
หัวจิ่งกล่าวอย่างมาดร้าย ร่างของเขาสูงใหญ่ ถือหอกสั้นสำริด อำนาจต่อสู้ของเขาน่าพรั่นพรึง
“หากข้าเป็นเขาคงไม่ยอมแพ้หรอก เพราะถึงอย่างไร คำร่ำลือก็กล่าวว่าอำนาจแห่งวัฏสงสารเท่านั้นที่สามารถปลดคำสาปบนร่างพวกเราได้ และต่อหน้าโอกาสเช่นนี้ ใครเล่าจะยอมหยุดง่าย ๆ?”
หลิวอิ๋งถอนใจเบา ๆ อย่างเข้าอกเข้าใจ
ทว่ายามนางลงมือกลับมิแสดงความปรานี แส้ยาวสีเพลิงตวัดร่ายรำเยี่ยงมังกรไฟสะบัดไปทั่วแดนดิน
ร้ายกาจดุดัน
สีหน้าของซงเฮ่อเครียดขึ้ง ไม่กล่าววาจาใด
อันที่จริง ในใจเขาคิดยอมหลีกลี้แล้ว
ไม่ว่าโอกาสจะดีเพียงไร หากตายไปทุกสิ่งก็ศูนย์
“เขาต้องกลับไปพบปราชญ์หงอวิ๋นโดยเร็วที่สุด มีเพียงให้ปราชญ์หงอวิ๋นลงมือเท่านั้น เราจึงจะสามารถพลิกสถานการณ์ได้”
ซงเฮ่อสูดหายใจลึก ๆ และกำลังจะถอยหนี
หลินเหอซึ่งดูศึกอยู่ห่าง ๆ กล่าวเสียงต่ำ “ก่อนเรื่องนี้จบลง จะให้ซงเฮ่อหนีไปมิได้ หากไปเรียกปราชญ์หงอวิ๋นมาจริง ๆ ชีวิตเราได้พลิกผัน”
สีหน้าซงเฮ่อพลันแปรเปลี่ยน ก่อนจะกล่าวขึ้นเสียงแข็ง “หากให้ปราชญ์หงอวิ๋นทราบเรื่อง เกรงว่าพวกเจ้าจะรับผลกระทบไม่ไหวแน่!”
หลินเหอเสสรวลกล่าว “ยามสมมติเทพเซวี่ยเติงบรรลุแผน ต่อให้เป็นปราชญ์หงอวิ๋นก็สายไปแล้ว!”
ขณะสนทนา หัวจิ่งและหลิวอิ๋งต่างรุดหน้าโจมตี โดยมิให้โอกาสซงเฮ่อหนีแต่อย่างใด
“หลินเหอ ฆ่าพวกนั้นก่อน อย่าทิ้งตัวแปรไว้”
ทันใดนั้น หลิวอิ๋งก็กล่าวขึ้น และพุ่งความสนไปทางพวกเว่ยซาน
“ได้”
หลินเหอพยักหน้าน้อย ๆ
เขายืนนิ่ง บาตรสีดำในมือของเขาลอยสู่เวหา เพลิงศักดิ์สิทธิ์มืดทมิฬแผดจ้าทะยานเข้าใส่พวกเว่ยซาน
เว่ยซาน จวงปี้ฟานและคนอื่น ๆ ล้วนหน้าเปลี่ยนสี
“พวกเจ้ากล้า!”
เสียงของซงเฮ่อดังลั่นเยี่ยงอสนีบาต ก่อนจะพุ่งเข้าใส่พวกเว่ยซานโดยไม่สนอาการบาดเจ็บของตน
ตู้ม!
หอกของหัวจิ่งฟาดฟันเข้าใส่ซงเฮ่ออย่างดุเดือด สร้างบาดแผลชุ่มเลือดบนหลังของเขา จนร่างปริแยกเป็นแผล
ทว่าเห็นได้ชัดว่าซงเฮ่อมองข้ามมันไป เพราะเขาเร่งใช้เศษสำริดฟาดฟันไปบนอากาศ ก่อนจะผลักบาตรสีดำออกไป
ขณะเดียวกัน เว่ยซาน จวงปี้ฟานและคนอื่น ๆ ได้แต่ตกตะลึงจนเหงื่อกาฬแตกพลั่ก
อำนาจของวิญญาณอาสัญเหล่านี้ร้ายกาจเกินไป ซ้ำยังเหนือกว่าขอบเขตราชันแห่งภูมิไปไกลโข เกรงว่าหากพวกเขาจะหนีคงไม่แคล้วต้องสูญเสียจนสิ้น
โชคดีที่ซงเฮ่อหยุดการโจมตีนี้ไว้ได้
“แปลกจริง เจ้าไร้มิตรภาพกับผู้ฝึกตน ณ ขณะนี้ ไยจึงทุ่มชีวิตเพื่อพยายามช่วยเหลือพวกเขาด้วยเล่า?”
หลินเหอขมวดคิ้วถาม
เว่ยซานเองก็ประหลาดใจ
ซงเฮ่อสูดหายใจลึก ๆ พลางแย้มยิ้มเยาะ “พวกเจ้าช่างไม่เข้าใจอันใดเลย!”
“โอ้ งั้นรอดูเถิดว่าเจ้าจะปกป้องคนเหล่านี้ได้หรือไม่”
หลิวอิ๋งแค่นยิ้ม
ขณะนั้น นางกับหัวจิ่งก็โจมตีอีกหน
นอกจากนั้นยังมีหลิวเหอใช้บาตรสีดำโจมตีมาจากไกล ๆ ด้วย
เมื่อถูกล้อมโจมตีเช่นนี้ ซงเฮ่อก็ทุ่มสุดตัว ทว่าเขาก็ดูอ่อนล้าเกินทน ซ้ำยังต้องปกป้องพวกเว่ยซาน ทำให้เขาถูกจำกัดทุกทิศทาง
เพียงพริบตา เขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส
พวกจวงปี้ฟานดวงตาแทบถลน แม้จะพยายามเข้าไปช่วย แต่พวกเขาก็อ่อนแอเกินไป จึงถูกสยบอย่างง่ายดาย
“พวกเจ้าหนีไปเสีย”
ยามนี้ ซงเฮ่ออดรำพึงขณะเผชิญหน้าศัตรูเพียงลำพังด้วยสีหน้าดุดันมิได้ “ในยามที่ข้ายังสู้ไหว พวกเจ้ารีบไปจากเขาเต่าดำนี่เร็วเข้า!”
เว่ยซาน จวงปี้ฟานและคนอื่น ๆ มองหน้ากัน
หนี?
ชีวิตของซูอี้มิรู้เป็นตาย พวกเขาหรือจะเลือกหนีรักษาชีวิต?
ทว่าหากพวกเขามิไป จะชดใช้ให้ซงเฮ่อได้อย่างไร?
“หนีหรือ? เขาเต่าดำนี้ใหญ่โตตั้งแปดพันลี้ ทั้งหมดนี้คือถิ่นข้า ด้วยการฝึกฝนอย่างพวกเขาจะหนีไปหนใดได้?”
หลินเหออดหัวเราะมิได้ “ซงเฮ่อเอ๋ย เจ้าช่างโง่เง่า ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะยอมกระทั่งสละชีพเพียงเพื่อผู้มิเกี่ยวข้องไม่กี่คนเช่นนี้”
“ไปเร็ว!”
ดวงตาของซงเฮ่อแดงก่ำ
“ไปก็บ้าแล้ว!”
จวงปี้ฟานพูดด้วยความเหลือทน “เจ้าไม่กลัวตาย แล้วเราต้องกลัวตายหรือ? ก็แค่ตายเท่านั้น ยากอันใด?!”
เว่นซานและเมิ่งฉางอวิ๋นเองก็แสดงความดุดันราวกับพร้อมจะแลกชีวิตออกมาเช่นกัน
ยามนั้นเอง หลินเหอพลันโพล่งขึ้นมาอย่างประหลาดใจ
“ท่านเทพ ท่านทำสำเร็จแล้วหรือขอรับ?”
ทุกผู้ต่างหันไปมองเป็นตาเดียว และพบว่าซูอี้ผู้นิ่งเยี่ยงรูปปั้นดินเหนียวลืมตาขึ้นแล้วอย่างเงียบเชียบ
“ขอแสดงความยินดีกับใต้เท้าที่ชิงวาสนาสวรรค์แปรชะตา ทำลายตรวนคำสาปฟื้นชีวิตอีกหนขอรับ!”
หัวจิ่งอดหัวเราะอย่างสุขสันต์มิได้
หลิวอิ๋งเองก็แสดงความตื่นเต้น “ใต้เท้าครองวัฏสงสาร เขาจะช่วยข้าฟื้นชีวิตที่นอกสมุทรมารไร้กำหนดได้แน่นอน!”
“สำเร็จแล้วหรือ?”
ชาวประมงซึ่งมองเรื่องทั้งหมดอย่างเย็นชามาตั้งแต่แรกอดแสดงความปรีดาไม่ได้ เมื่อสิ้นทัศนาจารย์ก็เหมือนช่วยเขากำจัดมหาศัตรูอันชังที่สุดชั่วชีวิตลงได้!
จะไม่ให้เขาตื่นเต้นได้เช่นไร?
ซงเฮ่อ เว่ยซาน จวงปี้ฟานและคนอื่น ๆ ล้วนหน้าเปลี่ยนสี มือเท้าเย็นเฉียบ สมมติเทพเซวี่ยเติงทำสำเร็จแล้วหรือ?
และดวงตาของซูอี้ที่เห็นเรื่องทั้งหมดนี้ก็ฉายแววพิกล
หลินเหอรีบจัดอาภรณ์ ก้าวเข้ามาประสานมือคำนับอย่างนอบน้อม “ท่านเทพมีบัญชาใดขอรับ?”
ซูอี้ยิ้มน้อย ๆ และกล่าวว่า “ข้าจะมอบความตายให้เจ้า”
หลินเหอ “???”
หัวใจของเขาสั่นเทา จากนั้นร่างก็ถอยกรูดอย่างรวดเร็ว
ทว่าก็ช้าไปแล้วหนึ่งก้าว
ดาบแห่งโลกาในมือซูอี้ตวัดผ่านเวหา
ตู้ม!
วจีดาบเยี่ยงเกลียวคลื่น นิมิตหกวิถีเวียนวัฏปกคลุมใบดาบฟาดฟันลงอย่างดุเดือด แยกร่างหลินเหอเป็นสองอย่างง่ายดาย
เฉียบคมและชัดเจน
ทุกผู้ “…”
“แย่แล้ว เขาคือทัศนาจารย์ เขาไม่ได้ถูกชิงร่าง!”
ชาวประมงตวาดลั่นอย่างเดือดดาล
หัวจิ่งและหลิวอิ๋งต่างสีหน้าบิดเบี้ยวอย่างเชื่อมิลง ไม่อาจเข้าใจได้ว่าเหตุใดตัวตนร้ายกาจเช่นสมมติเทพเซวี่ยเติงจึงยึดร่างไม่สำเร็จ
“สมมติเทพเซวี่ยเติงถูกปราบแล้วหรือ?”
ซงเฮ่ออ้าปากค้าง
เว่ยซาน จวงปี้ฟานและคนอื่น ๆ ล้วนรู้สึกปรีดา เพียงพริบตาสถานการณ์ก็ตาลปัตร!
จากนั้นซูอี้ก็ฟาดฟันดาบแห่งโลกาในมือเข้าประหัตประหารโดยไม่รีรอให้ผู้ใดไหวตัว
ตู้ม!
นิมิตหกวิถีเวียนวัฏปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขา ปกคลุมฟ้าและตะวันประหนึ่งพร้อมเคลื่อนสรรพสิ่งสู่วัฏสงสาร
และดาบแห่งโลกาในมือของเขาก็คำรามลั่น ภาวะดาบระเบิดปะทุเยี่ยงคลื่นคลั่งถาโถม และเมื่อซูอี้โจมตี ปราณดาบอันน่าขนลุกก็พลิ้วแผ่ว
ทว่าเพียงพริบตา การโจมตีของวิญญาณอาสัญผู้แข็งแกร่งเหนือขอบเขตราชันแห่งภูมิทั้งสองก็แหลกสลายไป
เคล็ดวัฏสงสารทำลายอำนาจคำสาปในร่างพวกเขาได้
แต่ขณะเดียวกันก็ปราบวิญญาณอาสัญเหล่านี้ได้เช่นกัน!
“ถอย!”
หัวจิ่งกับหลิวอิ๋งหันหลังเผ่นหนี
เปรี้ยง!
แสงดาบทมิฬพุ่งผ่าน แล้วร่างของหลิวอิ๋งก็ร่วงลงสู่เก้าขุมอบายมืดมิดพร้อมเสียงกรีดร้องหวาดผวา
ทุกอย่างจบลงกะทันหัน
ร่างของนางสูญสิ้นในวัฏสงสาร มิเหลือกระทั่งธุลี!
หัวจิ่งรู้สึกตระหนก ก่อนจะพุ่งไปหาพวกเว่ยซาน เพื่อใช้ชีวิตของพวกเว่ยซานเป็นหลักประกัน
แต่เขาเพิ่งเผ่นไปได้ครึ่งทาง ซงเฮ่อก็ขวางเขาไว้!
ขณะเดียวกัน ซูอี้ก็ตวัดดาบของเขา ปราณดาบไหลบ่าเป็นน้ำตกฝังร่างของหัวจิ่งในพริบตา
ซงเฮ่อซึ่งอยู่ใกล้ ๆ บังเอิญได้เห็นภาพที่หัวจิ่งจมหายไปในคลื่นปราณดาบดุจน้ำตกและอดหลั่งเหงื่อกาฬเย็นเฉียบไม่ได้
หากปราณดาบนี้ขยายใหญ่กว่านี้สักหน่อย เขาก็คงโดนการโจมตีอันเหลือเชื่อนี่ลากไปด้วยแน่!
………………..