บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1304: แผนซ้อนแผน
ตอนที่ 1304: แผนซ้อนแผน
เพียงพริบตา วิญญาณอาสัญผู้แข็งแกร่งเหนือขอบเขตราชันแห่งภูมิทั้งสามตนพลันแหลกสลาย!
ทุกผู้ตกตะลึง
โดยเฉพาะซงเฮ่อซึ่งก็เป็นวิญญาณอาสัญผู้มีเชาว์ ความแข็งแกร่งเหนือกว่าราชันแห่งภูมิใดในใต้หล้า
ทว่ายามเขาเห็นหลิวเหอ หัวจิ่งและหลิวอิ๋งต่างแหลกสลายตาม ๆ กัน เขาก็อดพรั่นพรึงไม่ได้
และยังตระหนักถึงทรวงว่าอำนาจแห่งวัฏสงสารร้ายกาจเพียงใดยามรับมือกับวิญญาณอาสัญเหล่านี้!
ตู้ม!
เรือหมื่นแสงดารานิรันดร์ที่อยู่ไกลออกไปกู่คำราม ร่างของชาวประมงปรากฏขึ้นบนนั้นขณะทะยานขึ้นสู่นภา
เจ้าลัทธิทางช้างเผือกผู้นี้มองศึกอย่างเย็นชามาโดยตลอด คาดว่าด้วยการยืมมีดผู้อื่นฆ่าคน ลบมหาศัตรูอย่างทัศนาจารย์ เหตุทุกอย่างก็ลงตัวแล้ว
ทว่าเขาไม่คิดเลยว่าสถานการณ์จะกลับตาลปัตร เมื่อตระหนักว่าท่าไม่ดี เขาหรือจะกล้าอยู่ จึงรีบหนีไปเสียก่อน
ทว่าซูอี้หรือจะปล่อยเจ้าเฒ่านี่ไป
ซูอี้ถือดาบแห่งโลกา โจมตีโดยใช้กฎแสงพริบตาเข้าโจมตีพร้อมกับวจีดาบสนั่นหล้า
ตู้ม!
ปราณดาบทะยานดุจรัศมีดาวตกผ่าห้วงเวหาเข้าฟาดฟันเรือหมื่นแสงดารานิรันดร์จนสั่นสะท้านรุนแรง และเกิดรอยร้าวขึ้นที่ตัวเรือ
แม้ชาวประมงจะหลบการโจมตีนี้ได้อย่างฉิวเฉียด ทว่าเขาก็ยังได้รับผลกระทบจนร่างสะท้าน เรือหมื่นแสงดารานิรันดร์แทบพลิกคว่ำ
ขณะเดียวกัน ซูอี้ก็โจมตีอีกหน
ปราณดาบของดาบแห่งโลกาพุ่งทะยานเป็นเส้นสาย ความเร็วของมันช่างน่าเหลือเชื่อ
ชาวประมงนำคันเบ็ดสีทองหม่นออกมาต่อต้าน
ทว่า เพียงไม่กี่อึดใจ คันเบ็ดสีทองหม่นกลับแหลกสลาย และกระทั่งเรือหมื่นแสงดารานิรันดร์ใต้เท้าของเขาก็ทลายลงเพราะปราณดาบ
ซูอี้ ณ ขณะนี้แข็งแกร่งจริง ๆ เขาสามารถกระหน่ำโจมตีจนชาวประมงแทบไร้โอกาสต่อกร
“ยามนี้ นายน้อยแข็งแกร่งยิ่งกว่าตัวเขาในอดีตชาติเสียอีก!”
หัวใจของเว่ยซานพลุ่งพล่านไปด้วยความตื่นเต้น
เวลานี้ ราวกับเขาได้หวนคืนสู่ชั่ววันเก่า ๆ
ขณะนั้น นายน้อยใช้หนึ่งดาบก่อวีรกรรมสร้างชื่อเสียงโดดเด่น สะพัดทั่วทศทิศ ไม่อาจหาศัตรูอันคู่ควรได้ทั่วจักรวาลพร่างดาวแม้สักคน!
นั่นคือยุคสมัยของนายน้อย หนึ่งคนหนึ่งดาบเหนือล้ำค้ำโลกา สะเทือนทั่วสรวงตลอดสมัย!
“ในด้านการใช้คำ ข้านี่สู้คนผู้นี้มิได้จริง ๆ”
จวงปี้ฟานรำพึง
เมิ่งฉางอวิ๋นและยมบาลอดขำมิได้
บนท้องนภามีดวงตะวัน จันทราและดวงดาว และโลกนี้มีสรรพสิ่ง
บางคนเปรียบได้กับดวงตะวันเหนือนภา เฉิดฉายในโลกหล้าเพียงลำพัง
ทั่วหล้าล้วนหาผู้ใดเทียบไม่ได้
มิต้องการการประดับตกแต่งใด ๆ ด้วยเลิศล้ำเป็นหนึ่งในตนเองอยู่แล้ว!
มิต้องสงสัยเลยว่าซูอี้คือผู้เลิศล้ำไร้เทียบแห่งสรวง
เปรี้ยง!
ชาวประมงพ่ายแพ้ในศึกใต้ท้องนภา ร่างของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจนแทบทรุด
“ทัศนาจารย์ เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าข้าเตรียมการมาแค่นี้ตลอดหลายต่อหลายปี?”
ชาวประมงเดือดดาล
ซูอี้เสสรวลกล่าว “ข้าฝังเจ้าไว้ที่นี่ เดิมทีก็เพื่อให้เจ้าอยู่อย่างแย่กว่าตาย ไม่ใช่มิอาจฆ่าเจ้าแต่อย่างใด ยามนี้ แม้เจ้าจะบรรลุสู่ขอบเขตจุติสรวงไปครึ่งก้าว แต่เทียบกับข้าก็ยังช้าไปก้าวหนึ่งอยู่ดี”
ขณะกล่าวเช่นนั้น ดาบแห่งโลกาก็ลั่นคำราม ปราณดาบทะยานรวดเร็วเยี่ยงลำแสง
“ไป!”
ชาวประมงพ่นดาบบินออกมาเล่มหนึ่ง
ดาบบินเล่มนี้พุ่งแหวกเวหา หมุนควงวูบไหวรวดเร็ว พิรุณแสงเซียนโปรยปรายเยี่ยงพายุฝน ทั่วฟ้าดินสาดประกายขาววาววับ
เห็นได้ราง ๆ ว่าที่ด้ามดาบนี้มีอักษร ‘พิรุณสิ้นเหมันต์’ จารึกไว้ตัวเล็ก ๆ
“ดาบบินพิรุณสิ้นเหมันต์? นี่มิใช่สมบัติของบัณฑิตผีหรือไร ไฉนจึงมาอยู่กับเขาได้?”
ซงเฮ่อประหลาดใจ
บัณฑิตผีคือหนึ่งในสามตัวตนร้ายกาจซึ่งมิอาจถูกล่วงเกินได้ในสมุทรมารไร้กำหนด
ในมือบัณฑิตผีมีสมบัติสูงสุดขอบเขตจุติสรวงอยู่ชุดหนึ่ง ซึ่งนามว่า ‘ค่ายกลดาบปลิดวิญญาณ’ ประกอบด้วยดาบบินยี่สิบสี่เล่ม แต่ละเล่มล้วนบัญญัติชื่อตามยี่สิบสี่ภาวะตะวันในรอบปี
ดาบบินพิรุณสิ้นเหมันต์นี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น
ค่ายกลดาบปลิดวิญญาณก็เป็นหนึ่งในสมบัติขอบเขตจุติสรวงชั้นหนึ่งแห่งโลกหล้ามาแต่ยุคสิ้นกฎเกณฑ์ หากถูกใช้ด้วยกัน อำนาจของมันก็เทียบได้กับสมบัติเซียน!
ขณะนี้ เมื่อดาบบินพิรุณสิ้นเหมันต์พุ่งผ่านนภา ฟ้าดินก็แตกร้าวเยี่ยงสะบัดเส้นสีบนผืนผ้าใบ ปราณดาบดุดันเหนือใดเทียบปะทุบนสุญญะเยี่ยงพิรุณหลาก
แม้จะมองจากไกล ๆ ก็ยังทำให้เจ็บแปลบถึงวิญญาณราวถูกเชือดเฉือน
และทันทีที่ดาบนี้ปรากฏ มันก็วูบไหวกลางเวหา ฟาดฟันใส่ซูอี้!
ผิวของซูอี้เจ็บแปลบ เมื่อสัมผัสได้ถึงปราณคุกคามปะทะหน้า
เขาอดทึ่งไม่ได้
ดาบบินเล่มนี้… ไม่เลว!
เขาใช้ตราประทับบรรพตทักษิณโดยไม่ลังเล
ตราประทับบรรพตทักษิณเองก็เป็นสมบัติในขอบเขตจุติสรวง และหลังจากที่เขาขัดเกลามันก็สามารถใช้งานได้คล่องมือ
ทว่า แม้ตราประทับบรรพตทักษิณจะขวางดาบบินพิรุณสิ้นเหมันต์ได้ แต่มันก็ถูกผ่าเป็นรอยแตกอันน่าตกใจด้วยเสียงกึกก้องสนั่นภพ
ซูอี้ขมวดคิ้ว
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคุณภาพของสมบัติชิ้นนี้เหนือกว่าตราประทับบรรพตทักษิณหลายขุม!
“ตาย!”
ชาวประมงตวาด
ดาบบินพิรุณสิ้นเหมันต์ระเบิดแสงเซียนเรืองรองประหนึ่งโลกหลุดจากวงโคจร
ยามนั้น หัวใจของทุกคนจุกอยู่ที่ลำคอ
เคล็ดเวียนวัฏสงสารกำราบวิญญาณอาสัญเหล่านั้นได้ แต่มิใช่กับยักษ์ใหญ่สูงสุดในโลกหล้าอย่างชาวประมง
และไม่ว่าผู้ใดก็เห็นชัดว่าดาบบินพิรุณสิ้นเหมันต์ของชาวประมงเป็นยอดอาวุธสังหาร!
วิชาและสิ่งของใด ๆ ในขอบเขตราชันแห่งภูมิมิอาจต้านรับได้เลย
ทว่าเกินคาด เมื่ออยู่ต่อหน้าดาบนี้ ซูอี้กลับเก็บตราประทับบรรพตทักษิณไป จากนั้นเขาก็ยื่นมือขวากดลงบนอากาศ
บนมือของเขามีปราณดาบเก้าคุมขังฉาบอยู่
ยามนั้น ดาบบินพิรุณสิ้นเหมันต์ซึ่งแหวกอากาศมาเยี่ยงอสนีบาตพลันนิ่งชะงักกลางอากาศก่อนจะสั่นสะท้าน
“นี่…”
ทุกคนต่างตะลึงอึ้ง
ชาวประมงผงะ เขาสัมผัสได้ชัดเจนว่าตนเองใกล้เสียการควบคุมดาบบินพิรุณสิ้นเหมันต์ ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ไร้ผล
จากนั้นซูอี้ก็กระดิกนิ้วเรียก
ฟิ้ว!
ดาบบินพิรุณสิ้นเหมันต์เหมือนดั่งลูกนางแอ่นหวนรัง ทะยานสู่มือของซูอี้อย่างว่าง่าย
อันที่จริง ดาบนี้ถูกปราณดาบเก้าคุมขังสะกดอยู่ มันจึงมิกล้าขยับแม้เพียงน้อยราวกับเป็นลูกสัตว์ไร้ทางสู้ผู้สั่นกลัวด้วยหวาดผวา
อั้ก!
ชาวประมงซึ่งอยู่ห่างออกไปกระอักเลือด
ดาบบินพิรุณสิ้นเหมันต์ถูกสยบจนสิ้นฤทธิ์ ทำให้เขาต้องรับผลกระทบตามไป เลือดลมในกายปั่นป่วน ทำให้ร่างซึ่งสาหัสอยู่แล้วของเขายิ่งปวดร้าว
‘แม้ดาบเล่มนี้จะดี แต่ดาบเก้าคุมขังหาได้สนใจไม่ แสดงว่ามันด้อยกว่าหอกศึกพิสูจน์สวรรค์และดาบปลายมนแผดสวรรค์มากนัก’
ซูอี้คิดอย่างเคร่งขรึม
ขณะกำลังคิดอยู่นั้น เขาก็เก็บดาบบินพิรุณสิ้นเหมันต์ไป และกล่าวกับชาวประมงราวกับยังมิพอใจ “มีอย่างอื่นอีกหรือไม่?”
เส้นเลือดปูดทั่วหน้าผากชาวประมง โกรธเสียจนแทบกระอักเลือด ในสายตาคนผู้นี้ เขากลายเป็นกุมารแจกสมบัติไปแล้วหรือ?
“ดูจะไม่มีแล้วสินะ”
ซูอี้กล่าวกับตนเอง
ว่าพลาง เขาก็เดินขึ้นสู่อากาศเข้าโจมตีชาวประมง
ยามนี้ ชาวประมงรู้สึกเหลือทน จึงแผดเสียงตะโกนลั่น “ขอผู้อาวุโสช่วยด้วย!”
เสียงยังไม่ทันจาง
ตู้ม!
อากาศมลายเฉียบพลัน หัตถ์ใหญ่ข้างหนึ่งโผล่มาคว้าตัวชาวประมงไปกลางอากาศ
อีกฝ่ายสวมอาภรณ์ยาวแขนเสื้อกว้างสีดำ สวมมงกุฎบนหัว ใบหล่อเหลาหน้าเนียนขาวเช่นหยก มือของคนผู้นี้แบกร่างชาวประมงไว้
“ระวังด้วย คนผู้นี้คือบัณฑิตผี หนึ่งในสามอำนาจสูงสุดซึ่งมิอาจล่วงเกินได้ในสมุทรมารไร้กำหนด”
ซงเฮ่อกล่าวเตือน สีหน้าจริงจังยิ่งกว่าหนใด
เขามิคาดคิดว่าผู้มาช่วยชาวประมงจะเป็นบัณฑิตผี หาใช่สมมติเทพเซวี่ยเติงไม่
เกินคาดฝันจริง ๆ
เพราะถึงอย่างไร เมื่อครู่ชาวประมงก็ร่วมมือกับพวกหลินเหอและหัวจิ่งวางกับดักที่นี่ พยายามให้สมมติเทพเซวี่ยเติงยึดร่างของซูอี้
ทว่ายามนี้กลับเป็นบัณฑิตผีที่มาช่วยชีวิตชาวประมง!
วิปริตผิดปกติโดยมิต้องสงสัย
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยเหลือ!”
ชาวประมงกล่าวอย่างซาบซึ้ง
“ข้าผิดหวังกับแผนปราชัยเพราะความโง่เง่าของเจ้าจริง ๆ แต่ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็เป็นคนของข้าอยู่ดี ต่อให้ต้องตายก็ตายด้วยมือผู้อื่นมิได้”
บัณฑิตผีในชุดบัณฑิตกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ชาวประมงเงียบไป
เขาบาดเจ็บใกล้ตาย ชีวิตแขวนบนเส้นด้าย มิอาจหาญต่อปากต่อคำ
“แผนซ้อนแผน?”
ซูอี้เองก็ตระหนักว่าบางอย่างผิดปกติ
ยามนี้ เสียงอันชราวัยเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น
“ข้าว่าแล้วว่าเจ้าจะต้องไม่อยู่เฉย แต่มิคิดเลยว่าเจ้าจะส่งหนอนบ่อนไส้มาหาข้า”
พร้อมกันนั้น ใต้ท้องนภาห่างไกล โคมบงกชสีเลือดนับมิถ้วนก็เบ่งบาน พิรุณแสงพร่างพรรณราย และนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นบนอากาศ
คิ้วและหนวดเคราขาวโพลน ดวงตาเหลืองน้ำตาล ท่าทีเคร่งขรึมจริงจัง ทว่ากลับให้ความรู้สึกกดดันน่าพรั่นพรึงอย่างประหลาดภายใต้แสงแห่งโคมสีเลือด
สมมติเทพเซวี่ยเติง!
บรรยากาศตึงเครียดจนทุกคนประหลาดใจ
กระทั่งซงเฮ่อยังต้องอ้าปากค้างด้วยตระหนักว่าสถานการณ์เกินรับมือเช่นกัน
“ดูเหมือนว่าไอ้ชั่วชาวประมงผู้นี้ร่วมมือกับสมมติเทพเซวี่ยเติงในที่แจ้งเพื่อวางกับดักจัดการกับข้าที่นี่ แต่แท้จริงเขาแปรพักตร์เป็นพวกบัณฑิตผีไปแล้ว”
ซูอี้เข้าใจ
เขาอดนับถือความเป็นไอ้แก่กลิ้งกลอกสับปลับของชาวประมงมิได้
“หากข้าเดาถูก ก่อนหน้านี้ ถ้าอวตารวิถีของข้าสามารถยึดร่างได้สำเร็จ เจ้าคนชั่วนี่และเจ้าจะร่วมมือกันเล่นสกปรกกับข้าอย่างเต็มที่ใช่หรือไม่?”
หลังจากสมมติเทพเซวี่ยเติงปรากฏกาย เขาก็พุ่งความมาดร้ายไปยังบัณฑิตผีดุจออกทัพไต่สวนบาปทันที
บัณฑิตผีถอนใจ “น่าเสียดาย แผนนี้ที่ข้าวางไว้ตั้งหลายปีพังไปเสียได้”
สมมติเทพเซวี่ยเติงทอดถอนใจ “จริงของเจ้า หลังจากรอมาแสนนานก็ถึงคราวเกิดโอกาสหนเดียวในชีวิตนี้ และไม่คาดเลยว่าจะเกิดอุบัติเหตุ”
เขากล่าวพลางมองไปยังซูอี้ “แค่โชคดีที่โอกาสยังอยู่”
บัณฑิตผีลูบคางกล่าวยิ้ม ๆ “เราร่วมมือกันจับคนผู้นี้ก่อน แล้วเวียนวัฏไปด้วยกันดีหรือไม่?”
“แม้ข้าจะรู้ว่าการร่วมมือกับเจ้าเหมือนร่วมคิดกับเสือ แต่ยามนี้ นี่ก็ดูจะเป็นทางเดียวที่ดีพอ”
สมมติเทพเซวี่ยเติงกล่าวเบา ๆ “เพราะถึงอย่างไร พลังแห่งวัฏสงสารก็เกิดมาเพื่อปราบวิญญาณอาสัญเช่นข้าและเจ้าอยู่แล้ว หากต้องการชิงโอกาสนี้มา เกรงว่าคงต้องเสียหายหนักหนา”
บัณฑิตผีกล่าวยิ้ม ๆ “ยามแสวงวาสนา ผู้ใดเล่าจะมิมีราคาต้องเสีย?”
บทสนทนาระหว่างทั้งสองเกิดขึ้นราวอยู่ในที่ปลอดคน ไร้ผู้ใดคิดซ่อนเจตนา ทำให้อารมณ์ของทุกคนยิ่งหนักอึ้ง
กระทั่งซงเฮ่อยังรู้สึกสิ้นหวัง
สัตว์ประหลาดเฒ่าอันไม่อาจล่วงเกินได้สองตนในสมุทรมารไร้กำหนดร่วมมือ ใครเล่าจะหยุดพวกเขาได้?
มีเพียงซูอี้ผู้ยืนนิ่ง สีหน้าไร้อารมณ์เช่นกาลก่อน และกระทั่งรู้สึกขบขันน้อย ๆ ในใจ
ไอ้แก่สองตนนี่คิดจริง ๆ หรือว่าชนะแล้ว?
ขณะเดียวกัน เสียงฝีเท้าแผ่วเบาที่มีจังหวะพิเศษเฉพาะกลับดังมาจากไกล ๆ
………………..