บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1305: กินข้าวแล้วหรือไม่
ตอนที่ 1305: กินข้าวแล้วหรือไม่
เสียงฝีเท้านี้แผ่วเบามากและมีจังหวะเฉพาะ ดูสอดประสานกับฟ้าดิน
ทั่วโลกหล้าเงียบสงัด กระทั่งวายุยังเหมือนหยุดนิ่ง
ทว่าเสียงฝีเท้านี้กลับเหมือนหัตถ์เทพลั่นกลองใส่โสตคนทุกผู้ สะเทือนถึงหัวใจ
ฟาดเข้ากลางทรวง!
ยังมีผู้จะเข้ามาร่วมวงอีกหรือ?
จวงปี้ฟานและเว่ยซานล้วนประหลาดใจและงุนงง
“มิต้องกลัว ผู้หนุนหลังเรากำลังมา!”
ซงเฮ่อตื่นเต้น ใบหน้าแสนปรีดา ดวงตาของเขาเจิดจรัส
เขาถ่ายทอดเสียงบอกพวกจวงปี้ฟานไม่ให้กลัวทันที พวกเขาทำแค่รอดูเฉย ๆ เท่านั้นก็พอ!
“มิคาดว่ากระทั่งนางก็มาด้วย…”
คิ้วขาวโพลนของสมมติเทพเซวี่ยเติงขมวดหากัน สีหน้าเคร่งขรึมอย่างหายาก
ในสมุทรมารไร้กำหนดนี้มีสตรีผู้น่ากลัวคนหนึ่ง
ตลอดกาลผ่านมา สตรีผู้นั้นเก็บตัวเงียบในสถานที่อันเรียบง่าย ใช้ชีวิตวัน ๆ ปลูกผักจัดดอกไม้บ่มสุรา
นานทีปีหนเมื่อคิดสนใจ นางจะพาสุนัขของนางออกร่อนเร่ในสมุทรมารไร้กำหนด
แม้ยามนางออกสัญจร นางก็ยังคงกระทำตนไร้ชื่อเสียง มิเคยเผยร่องรอย และไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องใด ๆ ในสมุทรมารไร้กำหนด
ทว่าวิญญาณอาสัญผู้ชาญฉลาดใด ๆ ต่างรู้แน่ชัดว่ามิอาจยุ่งกับสตรีผู้นี้ได้!
ใครยุ่งกับนาง ผู้นั้นจะหายไป!
ตลอดกาลผ่านมา มิอาจทราบได้ว่ามีวิญญาณอาสัญระเหิดหายจากหล้าเพราะล่วงเกินสตรีผู้นี้แล้วกี่ตน
และในหมู่พวกเขายังมีตัวตนอันทรงพลังยิ่งยวดรวมอยู่ด้วย!
นางลึกลับและเหมือนอยู่ผิดที่เกินไป ซ้ำยังมีครรลองของตน
บัณฑิตผีถอนใจ ถูจมูกกล่าว “หากนางคิดปล้นกัน… ก็แบ่งสรรปันส่วนให้นางด้วยก็ได้”
สมมติเทพเซวี่ยเติงเงียบไป
และชาวประมงซึ่งอยู่ข้างบัณฑิตผีก็อดตระหนกมิได้
สตรีน่ากลัวผู้นั้นก็มาหรือ?
นี่ครั้งแรกเลย!
ชาวประมงถูกสะกดไว้ที่นี่เนิ่นนานเกินนับปี ทว่าตลอดมา เขาได้ยินเพียงว่าสตรีผู้นี้ร้ายกาจเพียงไร แต่มิเคยได้พานพบตัวจริงสักหนเดียว
“ดูเหมือนว่า กระทั่งคนเช่นนางยังไม่อาจต้านทานความเย้ายวนของวัฏสงสารได้…”
เมื่อคิดเช่นนี้ ชาวประมงก็อดเหลือบมองซูอี้อย่างเวทนามิได้
เวียนวัฏมาเพื่ออันใด?
ยุคสมัยเปลี่ยนผันผ่านไปแล้ว!
ทัศนาจารย์ผู้เคยเป็นที่ยกย่องในยุคสมัยก่อน ท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นอาหารเลิศรสที่ผู้รอดชีวิตจากยุคสิ้นกฎเกณฑ์ตัดแบ่งอิ่มเอม!
ในบรรยากาศอันกดดันนี้ เสียงฝีเท้าอันมีจังหวะเฉพาะใกล้เข้ามาทุกขณะ
ซูอี้เงยหน้าขึ้นมอง
และพบว่าใต้ท้องนภาที่อยู่ไกลออกไปมีแสงอัสดงดุจสีชาดแต่งสำอางบนใบหน้าสตรี
สตรีผู้หนึ่งในชุดผ้าฝ้าย ขมวดผมปักปิ่นยุรยาตรเหนือเมฆหมอก เดินช้า ๆ มาทางนี้
ใบหน้าของนางเหลืองเล็กน้อย รูปลักษณ์ค่อนข้างดาษดื่น มิผอมมิอ้วน มิสูงมิเตี้ย ธรรมดายิ่ง
มีเพียงคู่เนตรที่กระจ่างเยี่ยงระลอกน้ำยามสารทซึ่งดูราวสามารถสะท้อนแสงนภาหมู่เมฆได้ชัดเจน
ข้างกายนางมีสุนัขพื้นเมืองตัวหนึ่งตามมาต้อย ๆ
สุนัขตัวนี้ค่อนข้างมีสีสัน หัวหางเชิดสูง สายตามองไปรอบ ๆ ราวกับเป็นราชันท่องโลกหล้า
เมื่อเห็นสตรีที่ดูเยี่ยงสามัญชนและสุนัขปรากฏขึ้น บรรยากาศรอบบริเวณก็เคร่งเครียดขึ้นทุกขณะ
ซูอี้อดเลิกคิ้วมิได้ บรรยากาศของสตรีผู้นี้พิเศษมากจริง ๆ นางดูราวบ่อน้ำแห้งไร้คลื่นกระเพื่อม แต่กลับให้ความรู้สึกเกินคาดหยั่ง
“ท่านปราชญ์! ผู้น้อยไร้สามารถ มิอาจทำตามคำสั่งท่านได้ ทำให้ท่านผิดหวังแล้ว!”
ซงเฮ่อก้าวออกมาก้มหัวกล่าวอย่างจริงใจ
สตรีในชุดผ้าฝ้ายนั้นก็คือปราชญ์หงอวิ๋น ผู้เป็นหนึ่งในสามตัวตนร้ายกาจในสมุทรมารไร้กำหนด
นางเหลือบมองซงเฮ่อและซูอี้
ยามนี้ หัวใจของซูอี้สัมผัสได้ถึงภัยคุกคามที่มองไม่เห็นอย่างช่วยมิได้
เป็นสังหรณ์อันมิอาจกล่าว ราวกับสตรีผู้ดูเรียบง่ายนี้คืออันตรายถึงชีวิต
หัวใจของทุกผู้ที่นี่ต่างตึงเครียด
ทว่าปราชญ์หงอวิ๋นกลับถามคำเดียวอย่างน่าประหลาดใจ “กินข้าวแล้วหรือไม่?”
ทุกผู้ “???”
เว่ยซาน จวงปี้ฟานและคนอื่น ๆ แทบผงะ
นี่… หมายความเช่นไร?
คิ้วของสมมติเทพเซวี่ยเติงขมวดหนักกว่าเก่า
รอยยิ้มบนใบหน้าบัณฑิตผีจางหาย ดวงตาเย็นเยียบลง
ซูอี้ตะลึงไปชั่วขณะ และตอบอย่างสัตย์ซื่อทันที “ยัง”
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าว “ข้าทำเกี๊ยวไว้ ยังเหลืออยู่หลายตัว หากมิถือสา เจ้าลองชิมดูได้”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “ไส้อันใดหรือ?”
ปราชญ์หงอวิ๋นตอบ “ไข่กับกุยช่าย”
กล่าวจบ นางก็เสริม “ข้าปลูกกุยช่ายเอง แต่หาไข่ไก่มิได้ จึงทำได้เพียงหาไข่นกมาแทนที่ แต่รสชาติมิเลวนะ”
ซูอี้ถาม “มีสุราบ้างหรือไม่?”
สุนัขท้องถิ่นพลันเบิกตากว้างมองซูอี้อย่างไม่พอใจ ราวกับคิดว่าเจ้านี่กล้าขอเช่นนี้ ช่างเสียมารยาทนัก
ทว่าปราชญ์หงอวิ๋นตอบว่า “มีสิ ข้าบ่มเอง มิรู้จะถูกปากเจ้าหรือไม่”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “มีสุราก็เพียงพอแล้ว ข้าไม่เรื่องมากหรอก”
บทสนทนาระหว่างทั้งสองเหมือนดั่งเพื่อนบ้านปุถุชน ทำให้ทุกคนรู้สึกพิกล
ทุกผู้ล้วนจ้องมองอย่างงุนงง
การมาพูดเรื่องสัพเพเหระในสถานการณ์เช่นนี้ดูจะผิดที่ผิดทางเกินไป
ทว่าขณะเดียวกัน ปราชญ์หงอวิ๋นกลับถามอย่างจริงจังมาก และซูอี้เองก็ตอบอย่างจริงจังมิแพ้กัน
จวงปี้ฟานอดถ่ายทอดเสียงถามซงเฮ่อมิได้ “นี่ผู้หนุนหลังเจ้าจริง ๆ หรือ? เหตุใดจึงเหมือน…”
“ชู่!”
ซงเฮ่อรีบขัดคำพูด “เจ้าจะไปรู้อันใด นี่เรียกว่ามหาวิถีคืนสามัญ จอมคนสู่ปุถุชน ด้วยระดับขอบเขตของท่านปราชญ์นั้น สภาพจิตใจเป็นได้ทั้งเทพเซียนเหนือเก้าสวรรค์ ทั้งสมาชิกสรรพชีวิตในโลกโลกีย์ ใหญ่โตได้เกินคาดหยั่ง เล็กจ้อยได้เกินมองเห็น นี่แหละอำนาจที่แท้จริง!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จวงปี้ฟานก็ผงะไป แม้จะไม่เข้าใจแต่ก็รู้สึกว่าช่างเลิศล้ำเอาการ มิกล้ามองข้ามดูแคลน
หนึ่งสตรีผู้มีความแข็งแกร่งเหนือกว่าขอบเขตราชันแห่งภูมิ ถูกยอเกียรติชื่นชมเพียงนี้ และทำให้สมมติเทพเซวี่ยเติงกับวบัณฑิตผีสงวนท่าทีได้ยามปรากฏตัวย่อมร้ายกาจยิ่งมิต้องถาม!
“ไปกันเถอะ”
ปราชญ์หงอวิ๋นหันหลังจากไป
ตั้งแต่ต้นจนจบ นางเมินคนอื่น ๆ ไปสิ้น
“ยามนี้หรือ?”
ซูอี้ตะลึง
“ยังมีเรื่องอื่นหรือ?”
ปราชญ์หงอวิ๋นถามย้อน
ซูอี้อดมองสตรีผู้นี้อย่างลึกล้ำมิได้
ถึงแม้สตรีผู้นี้จะดูดาษดื่น แต่ท่าทีมองข้ามสรรพสิ่ง สนใจเพียงครรลองของตนนั้นถูกใจซูอี้อย่างมาก
“มีเรื่องอื่นจริง ๆ แหละ”
ซูอี้กล่าว
“ไหนว่ามา”
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าว
ซูอี้ว่า “ความแค้นต้องชำระ”
ปราชญ์หงอวิ๋นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “ฆ่าผู้ใด?”
ซูอี้ “…”
สตรีผู้นี้ตรงไปตรงมามาก!
เขาว่า “เดี๋ยวข้าทำเอง”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าว บัณฑิตผีซึ่งอยู่ห่างออกไปก็หัวเราะพลางกล่าวขึ้นว่า “ปราชญ์หงอวิ๋นเอ๋ย ได้ยินหรือไม่ ไอ้หนูนี่มิอยากไปกับเจ้าเลย หากเจ้าบังคับพาเขาไป งั้นพวกเราก็มิเห็นด้วยนะ”
สมมติเทพเซวี่ยเติงพยักหน้ากล่าวเสริม “เรารวมตัวกันวันนี้ก็มิใช่เพื่อสิ่งใดอื่นนอกจากวัฏสงสาร ในเมื่อท่านปราชญ์มาเอง เคล็ดวัฏสงสารนี้ย่อมมีส่วนแบ่งของท่านปราชญ์ด้วย แต่หากท่านปราชญ์คิดฮุบมันไว้คนเดียว ก็ยากที่ข้าจะยอมรับได้จริง ๆ”
วาจาเหล่านี้ถูกกล่าวอย่างสำรวมและสุภาพที่สุด
ทว่าปราชญ์หงอวิ๋นกลับขมวดคิ้ว ร่างของนางหายวับไป ก่อนที่พริบตาต่อมาจะมาอยู่ตรงหน้าบัณฑิตผี ยกมือขึ้นคว้าคอเขาไว้
สีหน้าของบัณฑิตผีพลันแปรเปลี่ยน ขณะเดียวกัน ร่างของเขาก็ถอยกรูด ดาบบินเก้าเล่มพลันปรากฏตรงหน้า แต่ละเล่มต่างปกคลุมด้วยแสงเซียน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นค่ายกลดาบ ฟาดฟันเข้าใส่ปราชญ์หงอวิ๋น
ตู้ม!
ปราชญ์หงอวิ๋นมิคิดหลบ ห้านิ้วเสียบทะลุค่ายกลดาบอย่างรุนแรง บดขยี้ให้แหลกสลาย
และนิ้วทั้งห้าก็รวบเข้าหากัน
เปรี้ยง!
ร่างของบัณฑิตผีซึ่งถอยกรูดไปไกลพลันชะงักเยี่ยงหุ่นเชิดกลางอากาศ
“เจ้า…”
บัณฑิตผีตะลึงเสียจนวิญญาณแทบหลุดลอย
คิดให้หัวแตก เขาก็ไม่คาดว่าปราชญ์หงอวิ๋นจะแข็งแกร่งเสียจนเขาสิ้นพลังจะตอบโต้
ปราชญ์หงอวิ๋นดูไม่สนใจที่จะมองเขาเลย หลังจากจับตัวบัณฑิตผีได้ ร่างของนางก็หายไปทันที
“แย่แล้ว!”
ม่านตาของสมมติเทพเซวี่ยเติงหดตัว ร่างของเขาพลันเจิดจรัสขึ้นมา โคมบงกชสีเลือดนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น แปรเปลี่ยนเป็นอำนาจทำลายล้างครอบกายของเขาไว้
โคมบงกชสีเลือดทั้งหมดร้อยแปดดวงแผดเผาสาดแสงธรรมปีศาจสีแดงเลือด และร่างลวงตาของพุทธะผู้มีดวงตาแดงฉานก็ปรากฏจากไส้โคม
ไม่ใช่เพียงเท่านั้น สมมติเทพเซวี่ยเติงยังใช้ประคำกลมเกลี้ยงทำจากกระดูกขาวเส้นหนึ่ง และเม็ดประคำแต่ละเม็ดต่างอาบแสงวิถีเจิดจ้า สร้างเป็นชั้นมนตรา
จากนั้น เขาก็หันหลังหนีไป
ทว่า หนีไปได้เพียงครึ่งทาง…
รอยหมัดสีขาวงดงามปรากฏจากสุญญะ และด้วยหมัดนี้ โคมบงกชสีเลือดทั้งร้อยแปดดวงก็แหลกสิ้น
เงาร่างของพระพุทธในโคมบงกชล้วนกรีดร้อง สลายไปจนมิเหลือธุลี
และรอยหมัดอันงดงามก็พุ่งมาจากปราชญ์หงอวิ๋น
มือขวาของนางยังคงยกร่างของบัณฑิตผี มือซ้ายกำหมัดชกออกมาอีกครั้ง
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
อำนาจมนตราแต่ละชั้นแหลกละเอียด ลูกประคำสลายหายลูกแล้วลูกเล่า
รอยหมัดนั้นทะลวงนภา ดูมิอาจทำลายได้ ป่นทุกชั้นสมบัติลับคุ้มกายที่สมมติเทพเซวี่ยเติงมีราวหักไม้ไผ่
จนเมื่อรอยหมัดกำลังจะถึงตัวสมมติเทพเซวี่ยเติงอยู่แล้ว ห้านิ้วก็กางออกคว้าคอเขาไว้
ทันใดนั้น สมมติเทพเซวี่ยเติงก็ร้องอย่างตกใจราวถูกสายฟ้าฟาด “ตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้ยอมแพ้!!”
เขาถูกผนึกทุกอำนาจ รู้สึกราวถูกหิ้วคอยกเป็นไก่ ตายหรือไม่ก็ขึ้นกับอีกฝ่าย ทำให้หวาดกลัวและอับอายยิ่งกว่าหนใด
น่ากลัวเกินไป!
ในอดีต เขาคาดการณ์มากกว่าหนว่าปราชญ์หงอวิ๋นมีวิถีเต๋าร้ายกาจเพียงใดกันแน่ แต่ยามนี้เอง เขาพลันตระหนักว่าการคาดเดาเดิมของตนน่าขันไร้เดียงสาเพียงไร
แม้เขาจะเป็นหนึ่งในตัวตนห้ามล่วงเกินในสมุทรมารไร้กำหนด ทว่าความห่างชั้นระหว่างเขากับปราชญ์หงอวิ๋นก็ยังเหมือนคนละโลก!
มิได้ใกล้เคียงกันเลยสักนิด!
ยามนี้ ทุกผู้ล้วนพากันมีปฏิกิริยา ขณะมองภาพตรงหน้าด้วยใบหน้าอึ้งตะลึง
ใครเล่าจะกล้าคิดว่าสตรีผู้ดูราวหญิงชาวบ้าน ไร้ความพิเศษผู้นี้จะแข็งแกร่งยิ่งยามลงมือ?
เพียงชั่วดีดนิ้ว บัณฑิตผีและสมมติเทพเซวี่ยเติงล้วนถูกสยบสิ้น คอถูกคว้ายกมิต่างจากไก่!
กระทั่งซงเฮ่อยังอดอ้าปากค้าง หัวใจเต้นมิเป็นส่ำ
ชื่อเสียงของคนเป็นดั่งเงาของพฤกษา
ทว่าไม่ต้องสงสัยเลยว่าคำร่ำลือเกี่ยวกับปราชญ์หงอวิ๋นในกาลก่อนล้วนประเมินความแข็งแกร่งของตัวตนนี้ต่ำไปอย่างมหันต์!
นี่คือตัวตนอันร้ายกาจที่สุดในสมุทรมารไร้กำหนด
ไม่มีผู้ใดเทียบได้!
………………..