บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1306: สุราจวบปลายขัย
………………..
ตอนที่ 1306: สุราจวบปลายขัย
ทั่วฟ้าดินเงียบสงัด บรรยากาศกดดัน
ปราชญ์หงอวิ๋นวูบไหวบนอากาศ ปรากฏกายไม่ห่างจากซูอี้นัก
ในมือของนางคว้าคอบัณฑิตผีและสมมติเทพเซวี่ยเติงไว้คนละมือ “เอ้า พวกเขาไม่ดิ้นแล้ว เจ้าชำระหนี้แค้นได้”
ทุกผู้ “…”
ความรู้สึกนี้เหมือนมีผู้จับไก่พื้นบ้านมาสองตัว และเชื้อเชิญให้มาช่วยเชือดถ่ายเลือดไก่พิกล
มุมปากของซูอี้กระตุกเล็กน้อย ขณะรำพึง “นี่ก็… น่าเบื่อไปหน่อยแฮะ”
เดิมทีเขาอยากทดสอบฝีมือบัณฑิตผีและสมมติเทพเซวี่ยเติงด้วยมือตัวเองอยู่หรอก
ทว่าใครเล่าจะคิดว่าปราชญ์หงอวิ๋นจะจับตัวไอ้แก่ทั้งสองนี่มาส่งถึงมือเขาทันที
ทั้งบัณฑิตผีและสมมติเทพเซวี่ยเติงล้วนรู้สึกอับอายขึ้นมา
พวกเขาถูกหยามเกียรติเพียงนี้แต่ยามใดกัน!?
“นี่… ดูจะน่าเบื่อจริง ๆ แหละ”
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าวกับตนเอง
“สหายเต๋า วิถีเต๋าของข้าดีไม่สู้เจ้า หากจะฆ่าก็ฆ่าอย่างมีเกียรติเถิด มิควรดูหมิ่นเหยียบย่ำกันเช่นนี้!”
บัณฑิตผีอดกล่าววาจามิได้ ใบหน้าเดี๋ยวคล้ำเดี๋ยวซีด
กร๊อบ!
ปราชญ์หงอวิ๋นเพิ่มแรงบีบมือ และวิญญาณของบัณฑิตผีก็หลุดลอยสู่ปรภพ
แม้วอนตายก็ยังมิรามือ?
สมมติเทพเซวี่ยเติงรีบกล่าว “ข้ายอมแพ้แล้ว หวังว่าท่านปราชญ์จะเมตตาผู้น้อยด้วย”
เสียงของเขาสั่นเครือ
สมมติเทพเซวี่ยเติง “…”
มิรีรอให้พูด ปราชญ์หงอวิ๋นก็กล่าวกับตนเอง “แน่นอนว่าไม่”
เปรี้ยง!
วิญญาณของสมมติเทพเซวี่ยเติงเองก็แหลกสลายเช่นกัน
ทุกคนล้วนมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้อย่างตื่นกลัว รู้สึกเสียวสันหลังวาบ
ไม่ว่าจะเป็นบัณฑิตผีหรือสมมติเทพเซวี่ยเติงล้วนแต่เป็นตัวตนที่น่ากลัวที่สุดในสมุทรมารไร้กำหนดนี้ และเป็นตัวตนสูงสุดในขอบเขตจุติสรวงก่อนตกตาย
ทว่ายามนี้ พวกเขากลับถูกปราชญ์หงอวิ๋นกำจัดทิ้ง เฉยเมยเยี่ยงบี้มด!
“ทัศนาจารย์!”
ทันใดนั้น ชาวประมงซึ่งอยู่ห่างออกไปพลันเอ่ยปากเสียงแหบแห้ง “หลบข้างหลังสตรี มีฝีมือตรงไหน ไม่กล้ามาประมือกันตัวต่อตัวหรือไร?”
ซูอี้อดขำมิได้ เหตุใดเขาจะไม่เห็นว่าชาวประมงกำลังตื่นกลัว ยอมสู้กับเขาดีกว่าถูกปราชญ์หงอวิ๋นสังหาร?
ซูอี้หันไปมองสุนัขพื้นบ้านข้างกายปราชญ์หงอวิ๋น “เจ้าเป็นสุนัขที่ทรงพลังหรือไม่?”
เจ้าสุนัขพื้นบ้านกล่าวอย่างไม่ชอบใจทันที “ไอ้หนู ไฉนเจ้าพูดเช่นนี้ได้! เชื่อหรือไม่ว่าข้าตบเจ้าตายได้?”
ซูอี้เมินมัน และหันไปกล่าวกับเซียนหงอวิ๋น “คนดีกระทำการใดต้องไปให้สุด ข้าหาใส่ใจส่งไอ้แก่นี่ไปที่ชอบ ๆ ไม่ เจ้าให้สุนัขนี้ไปเถิด”
ดวงตาของสุนัขพื้นบ้านเบิกกว้าง ไอ้หนูนี่… กล้าใช้มันหรือ!?
ไกลออกไป ชาวประมงลงมือโจมตีรวดเร็วเยี่ยงอสนีบาต ร่างสะท้านด้วยโทสะ ให้สุนัขจัดการเขาหรือ?
จะหยามกันเกินไปแล้ว!
ทว่าอึดใจต่อมา ชาวประมงก็หันหลังเผ่นหนี
เห็นเช่นนี้ ปราชญ์หงอวิ๋นก็เตะสุนัขพื้นบ้านเบา ๆ “ไป”
สุนัขพื้นบ้านสั่นสะท้านทั้งกาย และหลังจากมองซูอี้ด้วยสายตาชิงชัง มันก็หายลับไป
จากนั้นทุกคนก็ได้เห็นภาพอันชวนตะลึง
ภายใต้ท้องนภาที่อยู่ไกลออกไป มีหนึ่งอุ้งเท้าสุนัขมโหฬารกระทืบลง และชาวประมงซึ่งกำลังหนีก็แบนแหลกไร้โอกาสหลบพ้น
“นี่…”
จวงปี้ฟานตะลึงอึ้ง
ซงเฮ่อลอบรำพึง ใครเล่าจะกล้าคิด ว่ากระทั่งสุนัขข้างกายปราชญ์หงอวิ๋นจะแข็งแกร่งเพียงนี้?
วูบ!
สุนัขพื้นเมืองวูบไหวบนอากาศมาหาซูอี้ ยกอุ้งเท้าขึ้นส่ายและกล่าวอย่างเย็นชา “เห็นหรือไม่ ข้าผู้นี้ตบทีเดียว ตัวตนใด ๆ ที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตจุติสรวงล้วนอ่อนไม่ต่างจากกระดาษ ส่วนเจ้าหรือ… หึ ๆ เดาเอาเองเถอะ!”
ซูอี้แย้มยิ้ม ลูบหัวเจ้าสุนัขพลางกล่าวชื่นชม “เก่งมาก!”
สุนัขพื้นเมือง “…”
มันแยกเขี้ยวสีขาวโพลน อยากขย้ำไอ้บ้านี่ให้ตายเหลือเกิน
ขณะนั้นเอง ซงเฮ่อก็ก้าวออกมาคำนับปราชญ์หงอวิ๋นอย่างนอบน้อม “ท่านปราชญ์ สมมติเทพเซวี่ยเติงและบัณฑิตผีล้วนตกตาย สมบัติในรังของพวกเขาไม่ควรถูกช่วงชิง จากนี้ ผู้น้อยขออนุญาตท่านปราชญ์จัดการเรื่องนี้ได้หรือไม่”
ปราชญ์หงอวิ๋นครุ่นคิดสักพักและกล่าว “ได้”
ว่าแล้ว นางก็หันไปพูดกับซูอี้ “ยังมีเรื่องที่ต้องสะสางอยู่อีกหรือไม่?”
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ
“งั้นไปกัน”
ปราชญ์หงอวิ๋นหันหลังจากไป
ซูอี้พาเว่ยซาน จวงปี้ฟานและคนอื่น ๆ ตามไปด้วยกัน
…
หน้าบ้านศิลา
สุนัขพื้นเมืองนอนหมอบเฝ้าหม้อเกี๊ยวซึ่งกำลังเดือดปุด
ปราชญ์หงอวิ๋นมายังสวนผัก เลือกเก็บเกี่ยวแตงกวาชุ่มน้ำใส่ตะกร้า และส่งให้พวกซูอี้
“ข้าจะไปเอาสุรามา”
ปราชญ์หงอวิ๋นหันหลังเดินเข้าไปในบ้านศิลาอีกครั้ง
ทุกคนมองหน้ากัน
รู้สึกเกินจริงเล็กน้อยเสมอมา
หนึ่งตัวตนร้ายกาจในยามก่อน ครานี้กลับกลายเป็นเหมือนหญิงสามัญชนใช้ชีวิตปลีกวิเวกที่นี่
หากมิได้เห็นด้วยตา เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดกล้าเชื่อ
“ใหญ่โตได้เกินคาด เล็กจ้อยได้เกินมองเห็น ปราชญ์ผู้นี้ควรค่าแก่การเป็นตัวตนดุจเทพเซียน”
จวงปี้ฟานรำพึง
กร๊อบ!
ยมบาลกัดแตงกวาดังกร๊วบ
ทันใดนั้น ดวงเนตรงามของนางก็เบิกกว้าง กล่าวอย่างประหลาดใจ “แตงกวานี้… อร่อยยิ่งกว่าผลวิญญาณบางชนิดเสียอีก ซ้ำยังมีปราณบริสุทธิ์อีกด้วย”
ทุกผู้ต่างตะลึงและหยิบกิน จริงดังว่า พวกเขาต่างพบว่าแตงกวาอันดูดาษดื่นนี้เทียบได้กับโอสถทิพย์ชั้นหนึ่งไร้เทียบเทียมในโลกหล้า รสชาตเกินพร่ำพรรณนา
พวกเขายังสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าวิถีเต๋าของพวกเขาได้รับการเสริมความแข็งแกร่งขึ้น ผ่อนคลายทุกรูขุมขน สบายตัวแทบพลิ้วทะยาน
“เจ้าพวกเต่าบก”
ไกลออกไป สุนัขพื้นเมืองกล่าวอย่างเดียดฉันท์ “นับแต่เมล็ดแตงกวานี้ถูกเพาะ มันก็ถูกเจ้านายข้ารดน้ำจาก ‘สระผ่องแผ้วเที่ยงแท้’ และทุกเจ็ดวันก็ได้ดูดซับปราณกำเนิดฮุ่นตุ้นจากดินห้าสีส่วนหนึ่งจนผลิดอกออกผล ได้รับหยาดวิญญาณจุติสรวงราว ๆ สามจินทุกวัน กว่าจะโตได้ก็ 7,749 วันถ้วน”
“หากไม่ใช่เพราะพลังในสมุทรมารไร้กำหนดนี้ร่อยหรอและมีปราณคำสาป ด้วยฝีมือนายข้า การปลูกแตงกวาเซียนอันแท้จริงก็ย่อมทำได้”
“ถึงเช่นนั้น แตงกวาที่พวกเจ้าถืออยู่นี้ก็เทียบได้กับโอสถทิพย์ชั้นหนึ่งในวิถีจุติสรวง”
“ค่อย ๆ กินก็ได้ อย่าให้มากนัก เดี๋ยวจะทนไม่ไหวจนตายเอา”
กล่าวจบ สุนัขพื้นเมืองก็กลอกตาและเลิกสนใจพวกซูอี้
ทุกคน “…”
นี่พวกเขาถูกสุนัขดูแคลนอยู่หรือ?
“ก็แค่เรื่องของสุนัข อย่าลดตัวไปเสมอสิ”
ซูอี้นั่งเอกเขนกบนเก้าอี้หวาย แทะแตงกวาพลางกล่าวอย่างมิใส่ใจ
สุนัขพื้นเมือง “???”
มันย่นใบหน้าของมัน ดวงตามิเป็นมิตร รอขย้ำไอ้เด็กปากดีผู้นี้ไม่ไหวแล้ว
ทว่าสุดท้ายมันก็ยั้งตนไว้
ไม่ว่าอย่างไร นี่ก็คือแขกคนแรกที่นายของมันเชิญมา และมันในฐานะสุนัขก็มิกล้าสร้างเรื่องมากเกินไป
ซูอี้มองสวนผักที่อยู่ไกลออกไป
ที่นี่เหนือธรรมดาอย่างแท้จริง แม้จะมีพื้นที่เพียงสองพันห้าร้อยไร่ ทว่ากลับมีพลังชีวิตเกินบรรยาย
แตงกวา ผักกาด กุ้ยช่าย หัวไชเท้าและพืชผักต่าง ๆ ในสวนหาได้ทั่วไปในโลกหล้า แต่หากสัมผัสใกล้ ๆ จะสัมผัสปราณเซียนในพืชผลเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน
กระทั่งดินปลูกพืชยังมีปราณฮุ่นตุ้นเกินเข้าใจ!
น่าอัศจรรย์ไร้กังขา
เมื่อเขากินแตงกวาในมือจนหมดเกลี้ยง ซูอี้ก็อดประหลาดใจมิได้เมื่อพบว่าการฝึกฝนของตนพัฒนาขึ้นเล็กน้อย!
ในขณะที่จวงปี้ฟาน เว่ยซานและคนอื่น ๆ นั้นอาบไล้ในแสงเซียน พลังปราณกู่คำราม แต่ละคนเหมือนเมามาย
โดยเฉพาะยมบาลซึ่งปรากฏเค้าลางเลื่อนขอบเขต!
การฝึกฝนของนางอ่อนแอที่สุด ยังคงอยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิ หากนางเลื่อนขอบเขตในยามนี้ นางจะเรียกมหาภัยพิบัติแห่งอสงไขยแท้เที่ยง ก้าวสู่วิถีสู่สวรรค์ได้แน่นอน!
“ยังเร็วไปที่จะเลื่อนขอบเขต”
เสียงห้วนสั้นเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้น
ปราชญ์หงอวิ๋นเดินออกมาจากบ้านศิลาแล้วดีดนิ้ว
ทันใดนั้น พลังปราณในร่างของยมบาลสาวก็ถูกสยบลง
“ยามเจ้าขัดเกลาพลังที่ข้าให้ไปหมด นั่นคือยามที่เจ้าจะข้ามขอบเขตได้ หากฝืน ภายหน้าเจ้าจะไร้หวังก้าวสู่วิถีจุติสรวง”
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าว
หญิงสาวลุกขึ้นขอบคุณอย่างซาบซึ้ง “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะ!”
ปราชญ์หงอวิ๋นส่งสุราให้ซูอี้ไหหนึ่ง “นี่คือสุราที่ข้าบ่มยามอยู่ในยุคสิ้นกฎเกณฑ์ มีนามว่า ‘ปลายขัย’ เจ้าลองดู”
กล่าวจบ นางก็เดินมายังเตาไฟ ยกทัพพีขึ้นตักเกี๊ยวที่สุกแล้วลงในชามกระเบื้อง จากนั้นจึงวางไว้บนโต๊ะหินข้างซูอี้
จากนั้นจึงนั่งลงกล่าวว่า “ยามกินอิ่มแล้ว เราค่อยคุยกันเถอะ”
ซูอี้พยักหน้า “ได้”
เมื่อสุนัขพื้นเมืองเห็นเรื่องทั้งหมด หัวใจของมันก็ทั้งตะลึงและงุนงง
นี่เป็นครั้งแรกที่มันได้เห็นนายมันแสนดีต่อชายหนุ่มแปลกหน้าสักคน
อย่าว่าแต่ช่วยฆ่าศัตรู ยังต้มเกี๊ยวให้เขากินด้วยตนเอง และกระทั่งหยิบสุราจวบปลายขัยซึ่งนางถนอมมาแสนนานให้เขาไหหนึ่ง!
เมื่อนานมาแล้ว สุนัขพื้นเมืองเคยกล้าเอ่ยปากขอชิมสุราจวบปลายขัย ทว่าก็ถูกเตะออกไป
แต่นั้นมา สุนัขพื้นเมืองก็มิกล้าคิดถึงสุรานี้อีก
ทว่า มันไม่คิดเลยว่าเพิ่งพบกันแท้ ๆ แต่นายของมันกลับยกสุราให้ชายชื่อซูอี้ผู้นี้หนึ่งไห!
‘เจ้าเด็กนี่เป็นทายาทตระกูลเซียนใดหรือ? หรือบางทีอาจเป็นศิษย์สายตรงของขุมอำนาจเซียนสักที่? หาไม่ ไฉนเจ้านายจึงปฏิบัติกับเขาต่างออกไปด้วย?’
สุนัขพื้นเมืองครุ่นคิด
ในสายตามัน ไม่ว่าอำนาจแห่งวัฏสงสารจะเหลือเชื่อเพียงไร ก็คงมิทำให้นายมันต้อนรับขับสู้ด้วยความตื่นเต้นได้เพียงนี้
มันเกรงว่าจะมีเหตุผลอื่นแฝงอยู่!
ขณะนี้ ซูอี้เปิดผนึกไหสุรา กินเกี๊ยวร่ำเมรัย ดูเป็นธรรมชาติแสนผาสุก ไร้ท่าทีสำรวม
เกี๊ยวแป้งบางไส้เยอะ หอมอร่อยเลิศรส
ซูอี้ได้ลิ้มลองและตัดสินได้ทันทีว่าไส้ไข่และกุยช่าย รวมถึงวัตถุดิบทำแป้งเกี๊ยวนี้ล้วนประณีตบรรจงมาก เห็นได้ชัดว่าเป็นวัตถุวิญญาณหายาก มิเพียงเลิศรส ทว่ายังมีปราณอันเกินคาดเดาอยู่!
ทว่าเทียบกันแล้ว สุราจวบปลายขัยนี้ยิ่งประหลาดไปใหญ่
สุราไหนี้สูงเพียงสามชุ่น ทั้งไหเกลี้ยงเกลาเยี่ยงหยกสีหมึก ซูอี้คาดเดาว่าสุราในไหนี้น่าจะมีอย่างมากก็สามจอก
ที่จริงก็เป็นเช่นนั้นแหละ
ทว่า หลังจากดื่มสุราสามจอกนี้ ซูอี้ก็ตระหนักอย่างลึกซึ้งถึงทรวงว่าสุรานี้ประหลาดเพียงใด!
จอกแรกลงท้อง พลังปราณทั่วร่างของเขาก็เดือดพล่าน เตาหลอมมหาวิถีในกายส่งวจี พลังมหาวิถีสั่นพ้อง
จอกที่สองสมทบตาม การฝึกฝน จิตวิญญาณและร่างวิถีของเขาราวกับถูกชำระล้าง กลั่นบริสุทธิ์ยิ่งกว่าหนใด แปรเปลี่ยนไปอย่างน่าตกตะลึง
และยามสิ้นจอกที่สาม ซูอี้ก็รู้สึกราวสายฟ้าแล่นผ่านทั่วกาย เหมือนจิ้มนิ้วทะลุกระดาษบุหน้าต่าง การฝึกฝนของเขาทะยานตรงสู่ขอบเขตคืนสู่สามัญขั้นกลาง!