บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1307: ความลับของโลกแห่งเซียน
ตอนที่ 1307: ความลับของโลกแห่งเซียน
ซูอี้อดตะลึงมิได้
สุราเพียงสามจอก ทำให้วิถีเต๋าของเขาเคลื่อนผ่านหนึ่งขั้น!
เมรัยทิพย์นาม ‘จวบปลายขัย’ นี้คือสมบัติหายากอันแปลกประหลาดยิ่ง
ต้องทราบว่าซูอี้ปวดเศียรมาตั้งแต่บรรลุสู่ขอบเขตคืนสู่สามัญ
เพราะทรัพยากรฝึกฝนในขอบเขตราชันแห่งภูมินั้นไม่อาจสนองความต้องการในการฝึกฝนของเขาอีกต่อไป
กล่าวคือ หากเขาต้องการพัฒนาการฝึกฝนวิถีที่สูงกว่านี้ เขาต้องรวบรวมทรัพยากรฝึกฝนที่มีระดับสูงกว่า เช่นโอสถทิพย์ขอบเขตจุติสรวง!
ทว่ายามนี้ เพียงสุราสามจอกและเกี๊ยวหนึ่งชามกลับทำให้การฝึกฝนของเขาเลื่อนไปหนึ่งขั้น ช่างเหลือเชื่อจริงแท้
ยิ่งกว่านั้น ซูอี้เข้าใจถ่องแท้ว่าแม้การฝึกฝนของเขาจะเลื่อนขั้น แต่พื้นฐานที่เขาสร้างยังคงแข็งแกร่ง ไร้ผลเสียใด ๆ
“สุราดี”
ซูอี้กล่าวอย่างทึ่ง ๆ
ไม่ห่างไปนัก สุนัขพื้นเมืองน้ำลายหกอย่างอิจฉา ยามได้ยินก็กล่าวอย่างมิพอใจ “เพ้อเจ้อ สุรานี้สร้างจากมธุรสเมรัยในวิถีเซียนโดยแท้จริง ซ้ำยังอาบแก่นวิญญาณหญ้าจุติสรวงนับร้อย ๆ ต้น จะมิใช่สุราดีได้เช่นไร?”
ซูอี้ตะลึง ก่อนจะหันไปกล่าวกับเซียนหงอวิ๋น “ยังมีอีกหรือไม่?”
ใบหน้าของสุนัขพื้นเมืองพลันมืดหมอง ยังจะขอเพิ่มหรือ!? เกิดเป็นมนุษย์ไยจึงไร้ยางอายเพียงนี้?
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าว “สุราจวบปลายขัยนั้นพิเศษมาก จอกแรกแทนอดีตชาติ จอกสองแทนปัจจุบันชาติ และจอกที่สามแทนอนาคต ไม่ว่าผู้ใดได้ดื่ม มันจะสำแดงผลเหลือเชื่อเพียงหนเดียว หากมิเชื่อ ลองอีกก็ได้”
กล่าวจบ นางก็ส่งสุราให้เขาอีกไห
หัวใจของสุนัขพื้นเมืองหลั่งโลหิต เกิดอันใดขึ้นกับนายมันกันหนอ ไยจึงเอาสมบัติล้ำเลิศเช่นนี้มาเอาใจเจ้าเด็กนั่นนัก?
“ช่างเถิด”
ซูอี้ผลักมันคืน เขาเชื่อวาจาของปราชญ์หงอวิ๋น
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าวอย่างเสียมิได้ วางไหสุราลงบนโต๊ะหินข้างกายซูอี้
“บอกที เหตุใดจึงปฏิบัติกับข้าอย่างอบอุ่นนัก”
ซูอี้ครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยปากถามตรงไปตรงมา
เจ้าสุนัขพื้นเมืองหูผึ่ง มันเองก็สับสนยิ่งในใจ มิอาจคิดได้ว่าเหตุใดนายของมันจึงชอบไอ้หนูผู้นี้นัก
ทว่าเห็นได้ชัดว่าปราชญ์หงอวิ๋นไม่คิดให้ผู้อื่นได้รับรู้ นางจึงโบกมือตัดบท
หนึ่งพิรุณแสงโปรยปราย แปรเปลี่ยนเป็นม่านพลัง แยกนางและซูอี้ออกจากโลกภายนอก
สิ่งนี้ทำให้สุนัขพื้นเมืองตะลึง ก่อนจะทรุดกับที่อย่างห่อเหี่ยว
…
“ข้ามาจากโลกแห่งเซียน และบรรพชนของข้าก็ทิ้งคำสั่งสอนไว้เมื่อนานมาแล้ว”
ดวงตาจรัสแสงดุจระลอกน้ำยามสารทของปราชญ์หงอวิ๋นวูบไหวราวกับกำลังย้อนรำลึก
เพียงหนึ่งวาจานี้ หัวใจของซูอี้ก็อึ้งตะลึง
สตรีตรงหน้าเขาผู้นี้คือเซียนหรือ?
แม้จะมิใช่เซียนแท้จริง แต่นางก็ต้องเป็นทายาทแห่งเซียนแน่!
“คำสอนสั่งของบรรพชนนั้นพิเศษมาก มันนับได้ว่าเป็นความลับสูงสุดของตระกูลข้า และมีเพียงทายาทสายตรงซึ่งได้รับการยอมรับจากญาติผู้ใหญ่เท่านั้นที่จะได้รับทราบ”
ปราชญ์หงอวิ๋นว่า “ข้าบอกเจ้าเกี่ยวกับคำสอนสั่งบรรพชนนี้มิได้ แต่บอกได้ว่าคำสอนสั่งของบรรพชนซึ่งถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นจวบยามนี้ของตระกูลข้าเกี่ยวข้องกับวัฏสงสาร”
ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย ตระกูลโบราณในโลกแห่งเซียนมีคำสอนของบรรพชนที่เกี่ยวกับวัฏสงสาร ทั้งยังสืบต่อจากรุ่นสู่รุ่นอีกด้วย?
มิน่าเล่า สตรีผู้นี้จึงปฏิบัติต่อเขาอย่างดี ท้ายที่สุดก็ยังเกี่ยวกับวัฏสงสาร
ซูอี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “เล่าเรื่องโลกแห่งเซียนให้ข้าฟังได้หรือไม่?”
ปราชญ์หงอวิ๋นถอนหายใจเบา ๆ และกล่าวว่า “โลกเซียนที่ว่านั้นเป็นเพียงดินแดนอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตแห่งหนึ่ง”
จากวาจาของนาง เนิ่นนานมาแล้ว โลกเซียนและโลกมนุษย์นั้นอยู่อาศัยร่วมกัน เชื่อมโยงกันด้วยวิถีจุติสรวง และผู้ฝึกตนในขอบเขตจุติสรวงจะสามารถขึ้นมาฝึกฝนยังโลกแห่งเซียนได้
และเซียนทั้งหลายก็สามารถลงมาสู่โลกหล้า ท่องโลกโลกีย์ได้มิต่างกัน
ทว่าด้วยการอุบัติของหายนะปริศนานั้น วิถีจุติสรวงจึงถูกสะบั้นขาด และจากนั้นมา โลกเซียนและโลกมนุษย์ก็ถูกสะบั้นสัมพันธ์ ขาดจากกันโดยสิ้นเชิง
ไร้เซียนใด ๆ เหลือในโลกหล้า
ซูอี้เองก็เคยได้ยินเรื่องเหล่านี้มานานแล้ว
ทว่าสิ่งที่ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าวต่อไปทำให้เขาประหลาดใจ กระทั่งหวาดหวั่น
แสดงว่าวิถีจุติสรวงได้หายไปเนิ่นนานแล้วก่อนหน้านี้ โลกเซียนก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ วิถีเซียนอันน่าครั่นคร้ามดูเหมือนจะแหลกสลาย แล้วจึงเกิดหายนะสิ้นกฎเกณฑ์กวาดทั่วโลกหล้า!
กลุ่มเต๋าและแดนศักดิ์สิทธิ์สูงสุดมากมายในโลกเซียนย่อมได้รับผลกระทบจากหายนะไปตาม ๆ กัน
เป็นกลียุคอันมืดมิดซึ่งเหล่าเซียนเหนือสรวงต่างตกตายราวดวงดาวโปรยปรายจากนภาด้วยหายนะนั้น
ยักษ์ใหญ่ในหมู่เซียนและตัวตนในตำนานบางส่วนยังมีชีวิตอยู่อย่างยืนยาว ทว่าพวกเขายังตกสู่ขุมนรก กลายเป็นเศษซากวิญญาณด้วยหายนะนี้!
ยุคสมัยนี้เป็นที่เลื่องลือในนาม ‘ยุคอวสานเซียน’ ณ โลกเซียน!
“กาลก่อน สรรพสิ่งในโลกเซียนนั้นอยู่รอดปลอดภัย ไร้อันตรายมากนัก มีเพียงขุมกำลังยักษ์ใหญ่ในโลกเซียนเท่านั้นที่เสียหายสาหัส”
ดวงตาของปราชญ์หงอวิ๋นดูซับซ้อน “ยามฟ้าถล่ม ผู้เดือดร้อนแรกมักจะยืนตระหง่านสูงสุด”
“กลุ่มเต๋ามากมายพังทลายลงเพราะเหตุนี้ กระทั่งยักษ์ใหญ่อย่างศาลเซียนรวมศูนย์ยังเสียหายยับเยิน…”
กล่าวถึงตรงนี้ ปราชญ์หงอวิ๋นก็ส่ายหน้า “เรื่องนี้นานมาแล้ว ข้าไม่อาจทราบได้ว่าผ่านไปกี่หมื่นแสนปี และข้ายังได้เคยฟังเหล่าผู้เฒ่าคุยกันเมื่อกาลก่อน จึงพอรู้เพียงสังเขปบ้างเท่านั้น”
“ฟังผู้เฒ่าคุยกันหรือ?”
ซูอี้อึ้งไป
“ใช่ หลังจากหายนะกวาดทั่วโลกเซียนเมื่อกาลก่อน ตระกูลข้าก็ตัดสินใจจากโลกเซียนสู่ที่อื่นเพื่อหลบหายนะ”
“กาลนั้น ตระกูลข้าแบ่งกำลังเป็นสามส่วน ผู้เฒ่ากลุ่มที่มีการฝึกฝนวิถีเต๋าสูงสุดเลือกไปค้นหาโอกาสรอดชีวิตยังดินแดนไกลโพ้นอันไม่เป็นที่รู้จักในโลกเซียน”
“กลุ่มลูกหลานของตระกูลข้า นำโดยบิดาข้ามาหลบภัยยังโลกมนุษย์”
“และยังมีกลุ่มผู้เฒ่าของตระกูลข้าที่เลือกอาศัยอยู่ในโลกเซียนด้วย”
กล่าวถึงตรงนี้ ดวงตาของปราชญ์หงอวิ๋นก็เหม่อลอยเล็กน้อย “ทว่าใครเล่าจะคิด ว่าไม่นานหลังเรามาถึงโลกมนุษย์ หายนะนั้นจะเกิดขึ้น และวิถีจุติสรวงก็พังทลาย…”
ซูอี้อดเงียบไปมิได้
เขาพอเข้าใจแล้วว่าโลกเซียนได้เกิดภัยพิบัติขึ้น จนกระทั่งเข้าสู่ ‘ยุคอวสานเซียน’
จากนั้นหายนะหนึ่งก็ปรากฏในโลกมนุษย์ สะบั้นวิถีจุติสรวงลง และจากนั้นมา โลกหล้าก็เข้าสู่ยุคสิ้นกฎเกณฑ์
“ยามนั้น หายนะสิ้นกฎเกณฑ์ในโลกนี้เดิมมุ่งเป้าไปที่ผู้ฝึกตนเซียน และสมาชิกตระกูลข้าก็มาจากโลกเซียน พวกเขาจึงถูกกระทบสาหัสที่สุด มิรอดจากหายนะ ล้มตายทีละคน…”
ปราชญ์หงอวิ๋นกระซิบ “กระทั่งข้าเองก็สาหัส ร่างวิถีแหลกเป็นธุลี มีเพียงจิตวิญญาณที่เซียนก็มิใช่ ผีก็มิเชิงหลงเหลือในโลกหล้า”
วาจานั้นเรียบเฉย แต่ความหมายของมันกลับทำให้หัวใจของซูอี้เต้นกระตุกชั่วขณะ
ขนาดผู้แข็งแกร่งอย่างตัวตนในวิถีเซียนยังมิอาจรอดพ้นในยุคสิ้นกฎเกณฑ์ คาดได้เลยว่าหายนะสิ้นกฎเกณฑ์นั้นร้ายกาจโหดเหี้ยมเพียงใด!
“ยามนี้ หลังจากผ่านไปนาน กระทั่งข้ายังมิอาจทราบได้ว่าโลกเซียนทุกวันนี้เป็นเช่นไร”
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าว “ทว่า ในเมื่อวิถีจุติสรวงที่ห่างหายไปนานจะหวนสู่โลกหล้า มันย่อมพิสูจน์ว่าภายหน้า โอกาสจุติสู่วิถีเซียน ก้าวสู่โลกเซียนจะหวนคืน”
ในช่วงท้าย สีหน้าของนางแฝงเค้าความคะนึงหา
ซูอี้พยักหน้า “หากเป็นเช่นนั้น ก็ย่อมเป็นผลดีต่อผู้ฝึกตนในยุคปัจจุบันแน่”
เมื่อคิดดูแล้ว แม้จะมีความสามารถกล้าแกร่ง เลิศล้ำเหนือผู้ใด แต่หากมิอาจเข้าสู่วิถีจุติสรวงได้ก็ไร้ค่า!
เหมือนเช่นทัศนาจารย์ก่อนหน้านี้ เนื่องด้วยไร้โอกาสเข้าสู่วิถีจุติสรวง เขาจึงเลือกเวียนวัฏฝึกฝนใหม่!
ต่อมา ซูอี้กับปราชญ์หงอวิ๋นก็พูดคุยกันหลายต่อหลายเรื่อง
ความสงสัยและปริศนาในใจของเขา ในที่สุดก็ได้รับคำตอบบ้าง
เช่น ในเขตหวงห้ามบางแห่งทั่วจักรวาลพร่างดาวทุกวันนี้มีผู้ฝึกตนขอบเขตจุติสรวงตกตายในยุคสิ้นกฎเกณฑ์ และฟื้นคืนขึ้นมาในฐานะวิญญาณอาสัญอยู่จริง ๆ
มีกระทั่งทายาทแห่งเซียนอย่างปราชญ์หงอวิ๋น!
โดยเฉพาะในเขตหวงห้ามเซียนละล่องซึ่งเดิมเป็นสุขาวดีสูงสุดบนโลกหล้าในยุคสิ้นกฎเกณฑ์ ผู้ฝึกตนในกลุ่มเต๋าวิถีเซียนและจุติสรวงส่วนใหญ่ล้วนไปหลบภัยกันที่นั่น
แม้สุดท้าย ขุมกำลังวิถีเซียนและผู้ฝึกตนขอบเขตจุติสรวงเหล่านี้จะถูกทำลายสิ้น พวกเขาก็ยังมีอนุสรณ์และมรดกพลังหลงเหลือไว้มากมาย
ยิ่งกว่านั้น เมื่อวิถีจุติสรวงกำลังจะหวนคืนสู่โลกหล้า ซากของเหล่าผู้ฝึกตนวิถีจุติสรวงซึ่งตกตายในเขตหวงห้ามเซียนละล่องเหล่านั้นก็จะฟื้นคืนเป็นวิญญาณอาสัญสู่โลกาเช่นกัน!
“วิญญาณอาสัญนั้นเทียบได้กับการโกงสวรรค์ แม้จะรอดมาจนยามนี้ แต่ก็ไร้ผู้มีภูมิปัญญาโดยแท้จริง”
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าว “นอกจากนั้น ตัวตนที่มีเชาว์ทั้งหลายล้วนเป็นผู้ฝึกตนอันร้ายกาจในขอบเขตจุติสรวงก่อนตกตายทั้งสิ้น และแม้จะเป็นวิญญาณอาสัญ อำนาจต่อสู้ก็ยังเหนือกว่าขอบเขตราชันแห่งภูมิ”
“แม้ความแข็งแกร่งของพวกเขาอาจฟื้นสู่จุดสมบูรณ์พร้อมก่อนตายได้ แต่พวกเขาจะไม่อาจพัฒนาไปได้อีกตลอดกาล หาไม่จะต้องทัณฑ์สวรรค์ วิญญาณสลายเป็นจุดจบ”
“เหตุนั้นเกี่ยวกับพลังคำสาปอันเปี่ยมล้นในร่างพวกเขา ต่อให้ทำเช่นไรก็ปลดคำสาปนี้ทิ้งมิได้”
“หนทางเดียวคือการเวียนวัฏสงสาร!”
“วัฏสงสารนั้นไม่เพียงจบอดีตและกำราบวิญญาณอาสัญได้ แต่ยังสามารถทำลายคำสาปแห่งอดีตกาล ปลดปล่อยวิญญาณอาสัญเป็นอิสระได้เช่นกัน”
กล่าวถึงตรงนี้ คู่เนตรกระจ่างพราวระยับของปราชญ์หงอวิ๋นก็ดูมีเลศนัยขึ้นมา “และในโลกนี้ มีเพียงเจ้าผู้ควบคุมวัฏสงสารได้ ในสายตาเหล่าวิญญาณอาสัญ เจ้าคือผู้เป็นนาย จะสั่งการให้พวกเขาเป็นหรือตายเช่นไรก็ได้โดยสมบูรณ์”
ซูอี้ถูหว่างคิ้วรำพึง “เป็นนาย? ไฉนข้าจึงมิดีใจเลยเล่า?”
รอยยิ้มปรากฏบนริมฝีปากของปราชญ์หงอวิ๋นอย่างยากพบพาน “โลกหล้าเป็นเช่นนี้ โชคเคราะห์พึ่งพา เจ้าควบคุมวัฏสงสาร และจะเป็นเหยื่อในสายตาวิญญาณอาสัญทั้งมวล พวกเขาจะทำทุกอย่างเพื่อทำลายคำสาปในร่างพวกตน”
“แน่นอน ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีวิญญาณอาสัญมากมายจะชิงเข้าหาและเลือกร่วมมือกับเจ้า แต่ในความเห็นข้า หากเจ้าช่วยพวกเขาจริง ๆ เกรงว่าเจ้าก็มีแต่จะทำร้ายตนเอง”
“เพราะถึงอย่างไร หากเจ้าทำลายคำสาปให้วิญญาณอาสัญ ก็ยากที่อำนาจวัฏสงสารของเจ้าจะกำราบพวกเขาลงได้อีก ถึงยามนั้น ก็รับประกันได้ยากว่าพวกเขาจะไม่คิดร้ายกับเจ้า”
กล่าวเช่นนี้ ปราชญ์หงอวิ๋นก็ทอดถอนใจ “นี่คืออำนาจแห่งวัฏสงสาร เหมือนดาบตัดสินเป็นตาย แล้วใครเล่าจะเต็มใจให้ของเช่นนี้แขวนเหนือศีรษะ? มีผู้ใด… ไม่อยากได้มันมาครอบครองบ้าง?”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “มันเป็นแหล่งที่มาหายนะอันเกินคาดหยั่งจริง ๆ ทว่า… เจ้ามิหวั่นไหวกับอำนาจวัฏสงสารบ้างหรือ?”
กล่าวจบ เขาก็จ้องตาของปราชญ์หงอวิ๋นอย่างเงียบ ๆ
ที่มาของสตรีผู้นี้เป็นปริศนายากหยั่งวัด กระทั่งยามนี้ ซูอี้ก็ยังมิอาจเข้าใจความคิดของนางได้
และยามนี้ เขาก็เผยไพ่เพื่อหยั่งคำตอบของปราชญ์หงอวี้!
………………..