บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1308: ยื่นหมูยื่นแมว
ตอนที่ 1308: ยื่นหมูยื่นแมว
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าวว่า “ใครเล่าจะไม่หวั่นไหวยามอยู่ต่อหน้าเคล็ดวัฏสงสาร? ทว่าข้าจะมิขัดต่อคำสอนของบรรพชน”
ซูอี้เลิกคิ้ว และอยากรู้มากขึ้นว่าคำสอนของบรรพชนซึ่งตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นของตระกูลปราชญ์หงอวิ๋นเป็นเช่นไร?
ราวกับมองทะลุความคิดของซูอี้ ปราชญ์หงอวิ๋นจึงกล่าวว่า “หากเจ้ามีโอกาสเข้าสู่โลกเซียนในภายหน้า และเหล่าผู้เฒ่าตระกูลข้ายังอยู่ พวกเขาอาจตอบสิ่งที่เจ้าต้องการทราบได้”
ซูอี้มิถามมากไปกว่านั้น เขาจึงเอ่ยปากขึ้นทันที “แล้วเจ้าต้องการความช่วยเหลือจากข้าหรือไม่?”
แม้ปราชญ์หงอวิ๋นจะเป็นทายาทแห่งเซียน แต่ยามนี้นางก็เป็นวิญญาณอาสัญ และต้องการอำนาจวัฏสงสารเพื่อสะบั้นคำสาปในร่างของนางแน่
ทว่าซูอี้ก็ต้องแปลกใจที่เห็นปราชญ์หงอวิ๋นส่ายหน้า “ยังไม่ต้องการในยามนี้”
และนางก็อธิบายทันที
แม้ว่าทั่วจักรวาลพร่างดาวจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง วิถีจุติสรวงจะปรากฏท่ามกลางกฎสวรรค์ ทว่าพันธนาการวิญญาณอาสัญยังอยู่!
ยิ่งวิญญาณอาสัญแข็งแกร่งเท่าไร พันธนาการที่รัดเกี่ยวก็ยิ่งกล้าแกร่ง
โดยเฉพาะตัวตนเช่นปราชญ์หงอวิ๋น แม้นางจะสะบั้นคำสาปบนร่างทิ้งเสียยามนี้ นางก็ยังไปจากสมุทรมารไร้กำหนดมิได้อยู่ดี
หากไม่ นางจะตกตายภายใต้กฎสวรรค์แน่นอน
“ท้ายที่สุดแล้ว วิญญาณอาสัญเช่นพวกข้าก็ควรตายไปตั้งแต่ยุคสิ้นกฎเกณฑ์ การยังตื่นลืมตาอยู่ในโลกหล้านับได้ว่าเป็นการโกงสวรรค์แล้ว”
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าวเบา ๆ “และพลังคำสาปบนร่างข้าก็เหมือนตรวนจากยุคสิ้นกฎเกณฑ์ แม้จะแหลกสลายไป แต่ก็จะยังทิ้งร่องรอยไว้บนร่างข้า ถือเป็นผู้ทำผิดต่อกฎสวรรค์ซึ่งสมควรถูกลบหายอยู่ดี”
ท้ายที่สุด นางก็รำพึงเบา ๆ “นี่แหละกฎสวรรค์ แม้จะเป็นเซียนก็มิอาจต่อกรเหนือกว่า”
“หรือก็คือ จนกว่าวิถีจุติสรวงจะปรากฏท่ามกลางกฎสวรรค์ วิญญาณอาสัญเช่นพวกเจ้าก็มิอาจเข้าสู่โลกหล้าได้?”
ซูอี้กล่าวอย่างครุ่นคิด
“ถูกต้อง”
กล่าวจบ ปราชญ์หงอวิ๋นก็กล่าวเตือน “วิญญาณอาสัญเยี่ยงซงเฮ่อ ขอเพียงทำลายคำสาปบนร่างของเขาได้ ก็น่าจะสามารถปรากฏตัวในโลกหล้าได้แล้ว”
“นอกจากนั้น หากผู้ฝึกตนในปัจจุบันบางคนก้าวสู่ขอบเขตจุติสรวงได้ พวกเขาก็จะได้คืนสู่หล้าในไม่ช้า”
นางชี้ไปยังท้องนภา “กล่าวคือ ยุคใหม่มาถึงแล้ว และเมื่อกาลเคลื่อนผ่าน ผู้คนและสิ่งที่เกี่ยวกับวิถีจุติสรวงก็จะปรากฏบนโลกหล้ามากขึ้น”
เมื่อกล่าวเช่นนั้น ปราชญ์หงอวิ๋นก็มองไปยังซูอี้อีกครั้ง “ส่วนเจ้า คงดีที่สุดหากจะเร่งพัฒนาการฝึกฝน หาไม่ การมีเพียงอำนาจวัฏสงสารในมือจะทำให้เจ้าตกเป็นเป้าหมายของคนทุกผู้”
ซูอี้หรี่ตาลง ก่อนจะแย้มยิ้มทันที “กล่าวตามตรง ข้ากำลังรอให้วันนั้นมาถึงเร็ว ๆ”
ปราชญ์หงอวิ๋นตะลึง “เพราะเหตุใด?”
ซูอี้กล่าวโดยไร้ลังเล “ข้าอยากลองความสามารถของพวกตัวตนในขอบเขตจุติสรวงด้วยวิถีราชันแห่งภูมิ”
ปราชญ์หงอวิ๋น “…”
นางประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด และอดมองซูอี้อย่างพินิจมิได้
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น นางก็กล่าวว่า “ทะเยอทะยานนัก เท่าที่ข้ารู้ ในโลกเซียน ผู้ที่เอาชนะผู้ฝึกตนขอบเขตจุติสรวงในขอบเขตราชันแห่งภูมิได้ หากไม่ใช่ผู้เลิศล้ำโดยกำเนิดก็มักเป็นตัวตนระดับบุตรศักดิ์สิทธิ์ในสำนักวิถีเซียนใหญ่ ๆ สักแห่ง”
เมื่อซูอี้ได้ยินเช่นนี้ เขาก็อดกล่าวอย่างประหลาดใจมิได้ “ข้ายังไม่เคยพบพานคนเช่นนั้นในโลกหล้า ทว่ายามนี้ดูเหมือนข้าจะประเมินตัวตนคนในโลกแห่งเซียนต่ำไปเสียแล้ว”
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าวด้วยแววตาประหลาด “หากภายหน้าเจ้าเข้าสู่โลกแห่งเซียน เจ้าจะได้รู้เองว่าผู้เลิศล้ำโดยกำเนิดและบุตรศักดิ์สิทธิ์ในสำนักวิถีเซียนใหญ่ที่ข้าว่าเป็นตัวตนพิเศษเหนือธรรมดาเช่นไร หากเทียบกับโลกมนุษย์ พวกเขาจะเป็นตัวตนอันดับหนึ่ง มิอาจมีผู้ใดเทียบได้ตลอดยุคสมัยได้แน่นอน”
ซูอี้แย้มยิ้ม มิกล่าวอันใดอีก
ต่อมา ทั้งคู่ก็พูดคุยกันสักพัก ในที่สุดปราชญ์หงอวิ๋นก็แจ้งเจตนา อย่างน้อยหนึ่งปี อย่างมากสองปี วิถีจุติสรวงจะหวนคืนสู่กฎสวรรค์
ยามนั้น นางจะออกจากสมุทรมารไร้กำหนดมาหาซูอี้ ขอให้เขาช่วยปลดคำสาปบนร่างนางให้
ซูอี้ย่อมไม่ปฏิเสธ
“แม่นางผู้นั้นมีฝีมือมาก และพื้นฐานที่นางสั่งสมในขอบเขตมหาจักรพรรดิแข็งแกร่งพอ หากเจ้าไม่ถือสา ให้นางอยู่ฝึกฝนกับข้าได้นะ”
ปราชญ์หงอวิ๋นมองไปยังยมบาลสาวซึ่งอยู่มิไกลนัก “หากไร้อุบัติเหตุใด ข้าจะช่วยนางสร้างพื้นฐานวิถีชั้นหนึ่งในโลกยามก้าวสู่ขอบเขตราชันแห่งภูมิได้”
ซูอี้ครุ่นคิดสักครู่ และกล่าวว่า “ขึ้นกับความต้องการของนาง”
ปราชญ์หงอวิ๋นพยักหน้า
ไม่นาน ซงเฮ่อก็กลับมา
เขานำสินสงครามจากรังสมมติเทพเซวี่ยเติงและบัณฑิตผีกลับมามากมาย
ทว่าปราชญ์หงอวิ๋นไม่ได้มองมัน สั่งให้ซงเฮ่อส่งสินสงครามเหล่านี้ให้ซูอี้ทั้งหมด
ซูอี้รับรู้ได้ทันทีว่าปราชญ์หงอวิ๋นสร้างสัมพันธ์อันดีกับเขามาแต่ต้น!
ไม่ว่าจะเป็นเกี๊ยวที่อีกฝ่ายเชิญเขามาลอง ทั้งสุราจวบปลายขัยที่ให้เขาดื่ม หรือคำชี้แนะที่กล่าวยามสนทนาเมื่อครู่ ล้วนแล้วแต่มีสองเหตุผลเท่านั้น
หนึ่งคือเกี่ยวเนื่องกับคำสอนบรรพชนในตระกูลของนางซึ่งตกทอดมา
สองคือสร้างความสัมพันธ์กับเขาให้แน่นแฟ้น
ด้วยเหตุนี้ ซูอี้จึงไม่ได้ปฏิเสธ
เขาเองก็รู้ว่าภายหน้า เขาสามารถตอบแทนโดยช่วยปราชญ์หงอวิ๋นปลดคำสาปในร่างได้
ส่วนเรื่องที่ว่าปราชญ์หงอวิ๋นจะมีเจตนาอื่นใดหรือไม่ ซูอี้มิได้สนใจ
ความสัมพันธ์อันดีที่ว่านี้ก็มีเพียงการซื้อใจ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
วันเดียวกันนั้น ปราชญ์หงอวิ๋นนำสุราเก่าที่นางบ่มไว้มาเลี้ยงพวกซูอี้
ซงเฮ่อเองก็โชคดีพอจะได้ร่วมวง จึงอดเกรงใจประหม่ามิได้
จนเมื่องานเลี้ยงจบลง เว่ยซาน จวงปี้ฟานและคนอื่น ๆ ล้วนเมามาย เริ่มทำสมาธิฝึกฝน
กระทั่งซูอี้ยังรู้สึกแน่นเล็กน้อย
ปราชญ์หงอวิ๋นนำสุราอาหารเลิศรสมารับแขก กล่าวได้ว่าเป็นสมบัติเลิศล้ำที่พบได้ยากในโลกหล้า
หลังกินดื่มอิ่มหนำ ทุกคนก็มีสภาพไม่ต่างจากการกินโอสถทิพย์เลิศล้ำไร้ใดเทียบเข้าไปจำนวนมหาศาล ต่างคนจึงต่างรับไม่ไหว
เห็นเช่นนี้ ปราชญ์หงอวิ๋นจึงสั่งให้สุนัขพื้นเมืองนาม ‘ซิงเชวีย’ ไปชี้แนะจัดการวิถีเต๋าแต่ละคนให้
ส่วนนางนั่งร่ำสุราลำพัง กิริยาเย็นชาทว่างดงาม
ดวงตาของนางเหลือบมองซูอี้ผู้กำลังทำสมาธิฝึกฝนมิห่างไปนักนาน ๆ หน ก่อนจะเพิ่มความถี่อย่างครุ่นคำนึง
“ท่านพ่อ หากท่านยังอยู่ คงไม่เชื่อแน่ว่าอำนาจวัฏสงสารซึ่งพันธสัญญาแห่งเทพไม่อาจรับได้จะปรากฏขึ้นในจักรดาราตงเสวียน…”
“คนผู้นี้พิเศษมาก เหมือนเช่นในคำสอนแห่งบรรพชนจริงแท้ ทั้งอายุ การฝึกฝน เชาว์ปัญญา… ล้วนมิอาจคาดหยั่งได้”
“สำหรับข้า นี่เป็นโอกาสอันหาได้ยากยิ่งตลอดกาล และสำหรับตระกูลเรา ในที่สุดโอกาสที่ระบุในคำสอนบรรพชนก็มาถึงจนได้”
“น่าเสียดาย… ที่พวกท่านสิ้นไปหมดแล้ว ข้าไม่รู้กระทั่งว่าชาวเราซึ่งอยู่ในโลกเซียนยามนี้ยังปลอดภัยอยู่หรือไม่…”
เมื่อคิดเช่นนี้ ปราชญ์หงอวิ๋นก็อดลอบถอนใจไม่ได้
และทันใดนั้น ดวงตาของนางก็เปลี่ยนเป็นสุขุมหนักแน่น “ไม่ว่าอย่างไร ข้าจะยึดมั่นในมรดกแห่งบรรพชน และทำทุกสิ่งในเรื่องนี้ให้ดีที่สุด!”
…
สามวันต่อมา
พวกซูอี้ล้วนตื่นจากภวังค์สมาธิ
ทุกคนต่างได้รับประโยชน์มหาศาล
การฝึกฝนของจวงปี้ฟานแข็งแกร่งขึ้นกว่าเก่าจากการบ่มเพาะครั้งนี้
การฝึกฝนของเว่ยซานทะยานสู่ขอบเขตไร้ขีดจำกัดขั้นปลาย
เมิ่งฉางอวิ๋นเข้าสู่ขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงขั้นสมบูรณ์
การฝึกฝนของซูอี้ยังคงอยู่ในขอบเขตคืนสู่สามัญขั้นกลาง ทว่าก็ห่างจากขั้นปลายไม่มาก
หลังจากหารือกับเว่ยซาน ยมบาลก็ตัดสินใจอยู่ฝึกฝนติดตามปราชญ์หงอวิ๋น
สุนัขพื้นเมืองนามซิงเชวียเรียกเมิ่งฉางอวิ๋นให้แยกตัวมาคุยด้วย กล่าวกับเขาว่า “เจ้าหนูเฒ่า เจ้ากำลังจะต้องเผชิญกับหายนะคืนสู่สามัญ ข้าแนะนำว่าเจ้าควรอยู่ต่อนะ ด้วยการชี้แนะฝึกฝนของข้า ประกันได้เลยว่าเจ้าจะพัฒนาก้าวกระโดดเหมือนเกิดใหม่เป็นคนละคน!”
สามวันมานี้ เนื่องจากเมิ่งฉางอวิ๋นพูดจาวางตัวดี เจ้าสุนัขพื้นเมืองจึงชอบเขามาก
ยามนี้ เมื่อรู้ว่าเมิ่งฉางอวิ๋นกำลังจะจากไป มันจึงอดรู้สึกมิเต็มใจมิได้
เมิ่งฉางอวิ๋นส่ายหน้า กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ผู้อาวุโส ข้ารับความปรารถนาดีของท่านไว้แล้ว ทว่าข้าสาบานไว้ว่าจะขอติดตามรับใช้นายข้าไปชั่วชีวิต จะผิดวาจาได้เช่นไร?”
สุนัขพื้นเมืองกล่าวอย่างตื้นตันใจ “วาจาของเจ้าช่างกินใจ ข้าผู้นี้ชื่นชมนัก!”
ตลอดกาลผ่านมา มันหรือจะไม่ได้ติดตามรับใช้นายมันอย่างซื่อสัตย์?
เพราะเช่นนี้ สุนัขพื้นเมืองจึงยิ่งชอบเมิ่งฉางอวิ๋นกว่าเดิมอีก
เหมือนเช่นคำกล่าวว่าคนแบบเดียวกัน เข้าใจกันลึกซึ้ง
ซูอี้ซึ่งเห็นเรื่องทั้งหมดนี้อดเสสรวลกล่าวมิได้ “เฒ่าเมิ่ง เจ้าอยู่ก็ได้นะ แค่ปีสองปีเอง รอดูเถิดว่าผู้อาวุโสสุนัขที่เจ้าว่าตัวนี้จะเปลี่ยนเจ้าได้เช่นไรบ้าง”
“ผู้อาวุโสสุนัขอันใด นี่เจ้าด่าใครอยู่!”
สุนัขพื้นเมืองแยกเขี้ยว
“นี่…”
เฒ่าเมิ่งกำลังจะปฏิเสธ
ทว่าซูอี้โบกมือกล่าว “เป็นไปตามนั้น”
ไม่ใช่เพราะเขาคิดว่าเมิ่งฉางอวิ๋นถ่วงแข้งถ่วงขาแต่อย่างใด แต่วิถีของเขาเคลื่อนไวมาก ในขณะที่เมิ่งฉางอวิ๋นเคลื่อนขอบเขตเชื่องช้าเพราะคุณสมบัติไม่ถึง
หากติดตามข้างกายเขาไปเช่นนี้ อาจมิใช่เรื่องดีสำหรับเมิ่งฉางอวิ๋นก็เป็นได้
ในทางกลับกัน การอยู่ฝึกฝนที่นี่ชั่วขณะอาจทำให้เมิ่งฉางอวิ๋นบรรลุความสำเร็จในวิถีอย่างรวดเร็วอย่างเช่นวาจาของสุนัขพื้นเมืองก็เป็นได้
“งั้นก็อยู่”
ปราชญ์หงอวิ๋นก็กล่าวเช่นกัน
เมิ่งฉางอวิ๋นจึงไม่ปฏิเสธอีก
เขาคำนับซูอี้อย่างเคร่งขรึม และกล่าวอย่างซาบซึ้ง “ใต้เท้า ความหวังดีของท่าน ตาเฒ่าผู้น้อยจดจำใส่ใจแล้ว เมื่อถึงเวลา ตาเฒ่าผู้น้อยจะหวนคืนไปหา รับใช้ท่านจนวันตายขอรับ!”
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ
ซงเฮ่อดูริษยา
การได้อยู่ฝึกฝนข้างกายปราชญ์หงอวิ๋นนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนใด ๆ ในขอบเขตจุติสรวงวอนขอได้!
กระทั่งดวงตาของจวงปี้ฟานยังร้อนเร่า
เขาอยากอยู่ต่อใจแทบขาด
เพราะถึงอย่างไร ปราชญ์หงอวิ๋นตรงหน้าผู้นี้ก็เป็นทายาทเซียน! อำนาจแข็งแกร่งร้ายกาจ เหนือล้ำกว่าตัวตนทั่วไปในขอบเขตจุติสรวงลิบลับ!
โชคร้ายที่เขาต้องกลับไปพิทักษ์ตระกูล จึงทำได้เพียงเลือกทิ้งโอกาส
“สหายเต๋าซู เจ้าให้ซงเฮ่อติดตามรับใช้เจ้าดีหรือไม่?”
ทันใดนั้น ปราชญ์หงอวิ๋นก็กล่าวขึ้น “หากมีเขาอยู่ เขาจะสามารถรับมือกับวิญญาณอาสัญในขอบเขตจุติสรวงบางส่วนได้ เจ้าก็แค่ช่วยเขาปลดคำสาปในร่างในภายหน้าเท่านั้น”
ซงเฮ่อผงะ หัวใจรุ่มร้อน ตระหนักแล้วว่าปราชญ์หงอวิ๋นกำลังช่วยกรุยทางให้เขาอยู่!
ขอเพียงเขาติดตามรับใช้ข้างกายซูอี้ได้ ไฉนกาลข้างหน้าต้องกังวลเรื่องตรวนคำสาปในร่างด้วย?
………………..