บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1309: พบชาวประมงอีกครั้ง
ตอนที่ 1309: พบชาวประมงอีกครั้ง
ซูอี้เงียบไป
หัวใจของซงเฮ่อสั่นระรัว เป็นฝ่ายชิงพูดก่อน “ความแข็งแกร่งของข้าอาจอ่อนด้อยห่างไกลจากท่านปราชญ์ แต่ข้าเคยเป็นผู้ฝึกตนใน ‘ขอบเขตรวมวิถี’ ของวิถีจุติสรวงมาก่อน ยามนี้ความแข็งแกร่งของข้าอ่อนแอกว่ากาลก่อนมาก แต่ก็ยังเทียบได้กับยอดฝีมือขั้นปลาย ‘ขอบเขตจิตทารก’ อยู่ขอรับ…”
เขาอธิบายอย่างใจเย็น หวังจะได้รับการเห็นชอบของซูอี้
ได้ยินเช่นนี้ เว่ยซานและคนอื่น ๆ ก็อดอ้าปากค้างมิได้
พวกเขาล้วนรู้แล้วว่าวิถีจุติสรวงแบ่งออกเป็นสามขอบเขต จิตทารก รวมวิถี และจุติมงคล
ทว่าไม่มีผู้ใดคาดว่าวิญญาณอาสัญซงเฮ่อจะเป็นตัวตนในขอบเขตรวมวิถีก่อนตาย!
และการเปรียบเทียบเช่นนี้ทำให้คนมิอาจจินตนาการได้ว่าปราชญ์หงอวิ๋นผู้เป็นทายาทแห่งเซียนควรแข็งแกร่งเพียงไร?
ต้องทราบว่าบัณฑิตผีและสมมติเทพเซวี่ยเติงนั้นแข็งแกร่งเหนือชั้นกว่าซงเฮ่อไปไกล ทว่ากลับถูกปราชญ์หงอวิ๋นจัดการได้ในชั่วดีดนิ้ว!
“สหายเต๋า ความแข็งแกร่งของซงเฮ่ออาจไม่ได้สูงส่งที่สุด แต่ก็เป็นเพราะเช่นนี้ เขาจึงมีโอกาสย่างก้าวสู่โลกหล้าโดยไม่กระตุ้นกฎสวรรค์ได้”
ปราชญ์หงอวิ๋นอธิบาย “กล่าวคือ อย่างน้อยก็ในโลกหล้ายามนี้ ความแข็งแกร่งของซงเฮ่อกล่าวได้ว่าอยู่ในระดับสูงสุด ภายหน้าหากได้พบศัตรูในความแข็งแกร่งเท่าเทียมซงเฮ่อ เจ้าให้ซงเฮ่อลงมือก็ได้”
ซงเฮ่อเองก็พยักหน้าซ้ำ ๆ “ใต้เท้าโปรดวางใจ หากข้าติดตามรับใช้ข้างกาย ข้าจะเป็นวัวเป็นม้ามิกลัวตายขอรับ!”
เขากระทั่งเปลี่ยนคำเรียก จินตนาการได้ว่าเขาไม่ลังเลทำทุกสิ่งเพื่อโอกาสนี้
ซูอี้ครุ่นคิดสักพัก เขาก็กล่าวขึ้น “รับปากข้าสองอย่าง”
ซงเฮ่อกล่าวอย่างใจชื้น “โปรดกล่าวมาเถิด”
“หนึ่ง อย่าล้ำเส้น”
“สอง อย่าเหลิงอำนาจไปทั่ว”
เดิมซงเฮ่อคิดว่าซูอี้จะขอให้รับปากเรื่องหนักหนาใหญ่โต หัวใจประหม่าอย่างมิอาจเลี่ยง ทว่ายามได้ยินคำขอแค่นี้ เขาก็ถอนหายใจโล่งอก รับปากทันทีอย่างไร้ลังเล
“นี่คือของเล่นเล็กน้อยที่ข้าเคยใช้ มีนามว่า ‘แขนงเหมันต์แพรกสาน’ ขอให้สหายเต๋ารับไว้ด้วย”
ปราชญ์หงอวิ๋นแบมือออก ดาบไผ่สีเขียวหยกยาวเก้าชุ่นเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้น “สมบัตินี้ใช้สังหารวิญญาณอาสัญเช่นซงเฮ่อได้สามหน”
วาจาของนางไร้การปิดบัง เหงื่อกาฬซงเฮ่อแตกพลั่กยามได้ยิน ตระหนักแล้วว่าปราชญ์หงอวิ๋นกล่าวเช่นนี้เพื่อเตือนสติเขา
“นี่คือยันต์ดาบวิถีเซียนหรือ?”
ซูอี้กล่าวอย่างสนอกสนใจ
ปราชญ์หงอวิ๋นอธิบาย “อย่างมากก็ถือได้เพียงยันต์ดาบวิถีจุติสรวงเท่านั้นแหละ แต่มันสลักลวดลายแก่นวิถีเต๋าไว้เท่านั้น”
วันนั้นยมบาลและเมิ่งฉางอวิ๋นอยู่ต่อ
ในขณะที่ซูอี้ เว่ยซาน จวงปี้ฟาน และซงเฮ่อจากไป
……
ระหว่างทาง
ซูอี้นั่งในเรือท้องแบน มองสินสงครามที่ซงเฮ่อเก็บเกี่ยวจากบัณฑิตผีและสมมติเทพเซวี่ยเติง
พวกมันแทบทั้งหมดต่างเป็นสมบัติในวิถีจุติสรวง มีมูลค่าเกินคณานับ
“ไม่ใช่ว่า ‘ค่ายกลดาบปลิดวิญญาณ’ ในมือบัณฑิตผีประกอบด้วยดาบบินยี่สิบสี่เล่มหรือ? ไฉนจึงเหลือเพียงสิบสองเล่า?”
ซูอี้ถาม
ยามเขาต่อกรกับชาวประมง อีกฝ่ายเคยใช้ ‘ดาบบินพิรุณสิ้นเหมันต์’ อันเจิดจรัสกะเทาะตราประทับบรรพตทักษิณเป็นรอยด้วยดาบเดียว เผยอำนาจร้ายกาจเหลือเชื่อ
สิ่งนี้ประทับใจซูอี้อย่างลึกล้ำ
ยามนี้ เขารู้แล้วว่าดาบบินพิรุณสิ้นเหมันต์นี้เป็นเพียงหนึ่งในชุดดาบบินยี่สิบสี่เล่มซึ่งสร้างเป็นค่ายกลดาบปลิดวิญญาณ
“เรียนใต้เท้า จากการคาดเดาของข้าน้อย ดาบบินเล่มอื่นเสียหายหนักจนสูญหายไปแล้วขอรับ”
ซงเฮ่ออธิบายอย่างใจเย็น
วิญญาณอาสัญเหล่านี้ประสบหายนะสิ้นกฎเกณฑ์จนตายตก ร่างวิถีถูกทำลาย กระทั่งสมบัติส่วนใหญ่บนร่างยังแหลกสลายไปในหายนะ
เหมือนเช่นบัณฑิตผีและสมมติเทพเซวี่ยเติงซึ่งถือได้ว่าเป็นตัวตนห้ามล่วงเกินอันร้ายกาจที่สุดในสมุทรมารไร้กำหนด
สมบัติโบราณส่วนใหญ่ของพวกเขาก็มิสมบูรณ์เช่นกัน
“อย่างนี้เอง”
ซูอี้กล่าวกับตน เทียบแล้ว พื้นหลังและอำนาจทรัพย์ของปราชญ์หงอวิ๋นนั้นน่าเหลือเชื่อเกินไปจริง ๆ
ไม่เพียงสามารถใช้สารพัดสมบัติมางอกพืชปลูกผล ยังใช้ทำอาหารบ่มสุราด้วย ร่ำรวยยิ่งนัก
ต่อมา ซูอี้ก็จัดเรียงสินสงคราม
ทว่า เขาก็ต้องเสียดายที่พบว่าโอสถอันใช้ฝึกฝนนั้นมีเพียงเล็กน้อย และห่างไกลเกินเทียบได้กับ ‘สุราจวบปลายขัย’ ของปราชญ์หงอวิ๋น
‘แต่ทรัพยากรระดับจุติสรวงเหล่านี้สามารถใช้ขัดเกลาดาบแห่งโลกาได้ กระทั่ง…หลอมเถาวัลย์มารดาฟ้าดินเข้าไปในดาบแห่งโลกา’
ซูอี้จมในภวังค์ความคิด
ดาบแห่งโลกาคือดาบที่ทัศนาจารย์ภาคภูมิที่สุด และเดิมสร้างขึ้นจาก ‘ทองคำนิลกาฬหลอมบรรพจักร’ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ฮุ่นตุ้นซึ่งบรรจุที่มาหลอมนิลกาฬเอาไว้
ในด้านรูปลักษณ์และพื้นเพ ดาบนี้หาได้ด้อยไปกว่าเถาวัลย์มารดาฟ้าดินไม่
หากวัตถุศักดิ์สิทธิ์ฮุ่นตุ้นทั้งสองหลอมเป็นหนึ่ง อำนาจของมันย่อมแปรเปลี่ยนมหาศาลเยี่ยงเกิดใหม่!
“ดูเหมือนข้าต้องไปภูมิดาราเทพนครเสียแล้ว”
ซูอี้ครุ่นคิด
ณ ภูมิดาราเทพนครมีสถานที่หนึ่งเรียกว่า ‘โรงหลอมเทวะ’ ซึ่งลือนามในการสร้างสมบัติทั่วจักรวาลพร่างดาว ถือได้ว่าเป็นแดนสวรรค์สูงสุดด้านหลอมสมบัติในโลกหล้า
เจ้าของโรงหลอมเทวะนั้นมีวัตถุศักดิ์สิทธิ์สองสิ่ง
หนึ่งคือวัตถุศักดิ์สิทธิ์ฮุ่นตุ้น ‘เตาหมื่นเลิศล้ำ’
อีกหนึ่งคือประกายเพลิงแรกจักรวาล ‘เพลิงวิถีเก้ากระจ่าง’
ด้วยวัตถุศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองนี้ โรงหลอมเทวะจึงสามารถหลอมสมบัติวิถีอันสะเทือนทั่วโลกาได้มากมาย
ยามทัศนาจารย์ตีดาบแห่งโลกา เขาได้ไปเยือนโรงหลอมเทวะ และยืมเตาหมื่นเลิศล้ำกับเพลิงวิถีเก้ากระจ่างมาใช้!
นอกจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นสืบเรื่องหายนะที่เฒ่าเว่ยขาเดี้ยงประสบเมื่อกาลก่อน ไปหาชิงถัง หรือสืบเบาะแสช่างเสื้อที่ ‘วัดสรรพสุญตา’ ล้วนต้องไปยังภูมิดาราเทพนครทั้งสิ้น
“แต่ก่อนหน้านั้น ต้องไปลัทธิทางช้างเผือกก่อน”
ซูอี้เคลือบแคลงมากว่าชาวประมงหาตายจริง ๆ ไม่
ด้วยความเข้าใจของเขาต่อเจ้าเฒ่าผู้นี้ ต่อให้วางแผนใช้อำนาจวิญญาณอาสัญเหล่านั้นมาฆ่าเขาที่เขาเต่าดำ แต่เจ้าเฒ่านี่ไม่มีทางปิดทางรอดให้ตนเองแน่แท้!
……
สองวันต่อมา ภูมิดาราจิตเทวะ
เขาศักดิ์สิทธิ์ทองแดงชาด
แดนบรรพชนของลัทธิทางช้างเผือก เป็นที่เลื่องลือในนามเขาศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งแห่งภูมิดาราจิตเทวะ
วูบ!
สุญญะกระเพื่อมไหว และร่างของซูอี้กับเว่ยซานก็ปรากฏขึ้น
ซงเฮ่อซ่อนตัวในเศษสำริดซึ่งห้อยอยู่ข้างเอวเว่ยซาน
หากไม่ได้รับคำสั่งซูอี้ วิญญาณอาสัญผู้แข็งแกร่งนี้จะมิปรากฏตัว
“ขอบังอาจถามว่าใต้เท้าทัศนาจารย์มาเพื่อการใด?”
หนึ่งเสียงคำรามลั่นจากหน้าประตูลัทธิทางช้างเผือก คนผู้หนึ่งเดินออกมาคำนับซูอี้และเว่ยซานจากไกล ๆ
เขาเป็นชายชราผมขาวในอาภรณ์ยาวแขนเสื้อกว้างสีเทา
ซูอี้เลิกคิ้วน้อย ๆ และกล่าวกับตนเอง “ชาวประมงเฒ่านั่นไม่ได้ตายจริง ๆ ด้วย”
“ชาวประมงให้เจ้ามารอที่นี่หรือ?”
เว่ยซานกล่าวเสียงลุ่มลึก
ชายชราผมขาวในชุดสีเทาพยักหน้าน้อย ๆ “บรรพชนของเราสั่งไว้ว่าหากใต้เท้าทัศนาจารย์มาเยือน ให้มอบยันต์ลับนี้แก่ใต้เท้าทัศนาจารย์”
กล่าวจบ เขาก็นำยันต์ลับชิ้นหนึ่งยกขึ้นด้วยสองมือ
เปรี้ยง!
ยันต์ลับแหลกร้าว กลายเป็นชายผู้หนึ่งในอาภรณ์ผ้า สวมหมวกไม้ไผ่สาน
มันคือเจตจำนงของชาวประมง
เขาเงยหน้าขึ้นมองซูอี้พลางกล่าวยิ้ม ๆ “ข้าว่าแล้วว่าคงไม่อาจซ่อนจากทัศนาจารย์ได้ ข้าจึงทิ้งเจตจำนงไว้ที่นี่”
ซูอี้ถูหว่างคิ้วกล่าว “แล้วผู้ที่ตายในสมุทรมารไร้กำหนดก็เป็นเพียงร่างอวตารเจ้าสินะ?”
ชาวประมงกล่าวอย่างสุขุม “ใช่ แม้จะร่วมมือกับบัณฑิตผีและสมมติเทพเซวี่ยเติง แต่ข้าก็ไม่เชื่อใจวิญญาณอาสัญเช่นพวกเขาซึ่งจะว่าคนก็ไม่ ผีก็ไม่เชิงเช่นนั้นหรอก ข้าจึงชิงตัดช่องน้อยหนีไปนานหลายปีแล้ว”
ท้ายที่สุด เขาก็ถอนใจด้วยสีหน้าคลุมเครือ “ทว่าข้ามิคาดจริง ๆ ว่าเจ้าทัศนาจารย์จะรอดจากสมุทรมารไร้กำหนดได้ด้วย ช่าง…น่าอัศจรรย์จริงแท้!”
สีหน้าของซูอี้เยือกเย็นลง “เจ้าทิ้งเจตจำนงไว้ คงมิใช่แค่เพราะเรื่องนี้กระมัง?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของชาวประมงเลือนหาย ประคองกำปั้นกล่าว “ร่างจริงของข้ากำลังดิ้นรนอยู่ในเขตหวงห้ามเซียนละล่อง เขาจะสามารถก้าวสู่วิถีจุติสรวงได้ในสักวัน ข้าหวังว่าก่อนหน้านั้น ทัศนาจารย์จะรามือ ไม่ระบายโทสะกับศิษย์ลัทธิทางช้างเผือก”
เขาเว้นช่วงเล็กน้อย และกล่าวว่า “และข้าประกันได้ว่าจากนี้ไป เรื่องเกี่ยวกับเจ้าทัศนาจารย์จะไม่เกี่ยวพันกับผู้ใดรอบกายเจ้าอีก”
เมื่อซูอี้ได้ยินเช่นนี้ เขาก็เสสรวลกล่าว “เพ้อพก”
คิ้วของชาวประมงขมวดหากัน “เท่าที่ข้ารู้ เจ้า เหยียนเต้าหลินและเติ้งจั๋วต่างก็เห็นพ้องเช่นนี้ ไฉนจึงปฏิเสธข้าเล่า?”
ซูอี้กล่าวเรียบ ๆ “ง่ายมาก ข้าเชื่อในอุปนิสัยของพวกเขาทั้งสอง แต่ไม่มีทางเชื่อเจ้าลง”
ชาวประมงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพลันเสสรวล “ว่าแล้วเชียว เจ้าทัศนาจารย์หามีข้าในสายตาไม่”
รอยยิ้มของเขาเย็นเยียบเป็นพิเศษ “หากเป็นเช่นนั้น เมื่อร่างจริงของข้าหวนคืนในภายหน้า อย่าโทษข้าที่กระทำการทุกอย่างเชียว!”
ซูอี้คร้านเกินกว่าจะพูดพล่าม โบกแขนเสื้อสะบัดไหว
เปรี้ยง!
เจตจำนงของชาวประมงระเบิดเป็นพิรุณแสง
ไกลออกไปที่หน้าประตูลัทธิทางช้างเผือก ชายชราผมขาวในอาภรณ์สีเทากล่าวอย่างตะลึงงัน “ใต้เท้าทัศนาจารย์ ในลัทธิทางช้างเผือกทุกวันนี้เหลือเพียงข้าอารักขาผู้เดียว ท่านคง… ไม่นำความโกรธมาระบายกับผู้น้อยเช่นข้าใช่หรือไม่?”
หนึ่งปราณดาบทะยานสังหารชายชราผมขาวในอาภรณ์สีเทาลงทันที
“หากไม่ตบแมลงวันให้ตาย มันก็ยังจงใจก่อกวนคนให้ขยะแขยงมิสิ้นอยู่หรือไม่?”
ซูอี้ส่ายหัวน้อย ๆ
เว่ยซานขมวดคิ้วกล่าว “นายน้อย ชาวประมงเฒ่านี้เจ้าเล่ห์จริง ๆ เห็นได้ชัดว่าเขาย้ายยอดฝีมือทั้งลัทธิไปก่อนแล้ว แต่ยังแสร้งทำเป็นเจรจาต่อรองกับนายน้อย ไร้ยางอายจริง ๆ ขอรับ!”
“เพราะเช่นนี้ไง ข้าจึงไม่มีวันเชื่อวาจาชาวประมง”
ซูอี้กล่าวพลางก้าวออกมา
ตู้ม!
ดาบแห่งโลกาทะยานข้ามนภา
ดาบทะยานสู่เก้าชั้นฟ้าตามใจซูอี้สั่งการ
ภาวะดาบร้ายกาจปกสวรรค์ ทั่วแดนดินในบริเวณหลายพันลี้สะเทือนสั่นรุนแรง สุญญะสะท้าน
“ผู้ฝึกตนหนีได้ แต่อารามหนีมิได้ ยามไร้คน ก็ทำลายแดนบรรพชนนี้ของลัทธิทางช้างเผือกได้”
ซูอี้กระซิบ อาภรณ์สั่นกระพือ
จากนั้นเขาก็ลากนิ้วสู่อากาศ
ตู้ม!
ดาบแห่งโลกาพุ่งลงมาจากเก้าชั้นสรวง
ราวท้องนภาแหลกมลาย แสงดาบเจิดจรัสร้ายแรงจมภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทองแดงชาดลง สาดแสงทั่วทศทิศ
ยามควันจางลง
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทองแดงชาดซึ่งถือเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งขอบภูมิดาราจิตเทวะ และแดนบรรพชนของลัทธิทางช้างเผือกก็ถล่มราบเละเทะ
ผืนปฐพีปรากฏร่องหลุมยาวแยกหายสุดตา
ชวนตะลึงอึ้ง!