บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 131 โชคดีและโชคร้าย แบ่งปันชีวิตและความตาย
เรือนเงียบสุขสงบ
“คุณชายซู ผู้สกุลหยวนมาเยือนเพื่อสองประการ หนึ่งมาเพื่อแสดงความขอบคุณ สองนั้นได้รับความไว้วางใจจากมิตรสหายภายในเมือง นำสมบัติเหล่านี้มาเป็นของตอบแทน”
มันเป็นช่วงเวลากลางดึก กระนั้นหยวนอู่ทงผู้นำตระกูลหยวน ก็ยังมาเยือนพร้อมหยวนลั่วซีและหยวนลั่วอวี่
นอกจากนี้ยังมีผู้ติดตามแบกหามกล่องสมบัติขนาดใหญ่มาด้วยอีกสองกล่อง
หยวนอู่ทงทั้งงามสง่าและโอนอ่อน บรรยากาศประหนึ่งผู้คงแก่เรียน ยามเผชิญหน้าซูอี้จึงเผยซึ่งความสุภาพ พูดกล่าวด้วยดีอย่างรู้ความ ทำเอาผู้คนรู้สึกประหนึ่งพบเจอสายลมแรกใบไม้ผลิ
ซูอี้กล่าวคำไม่เห็นด้วย “ข้าช่วยบุตรสาวท่านเอาไว้เมื่อกาลนั้น มันเป็นเรื่องราวเพียงเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องมากพิธีไป”
สิ้นคำ จึงเชิญหยวนอู่ทงและผู้อื่นนั่งร่วมวงภายในศาลาข้างลานบ้าน
“ของตอบแทนเหล่านี้มีความหมายเช่นไร?”
ซูอี้ชี้ยังกล่องสมบัติสองใบพร้อมเอ่ยถาม
หยวนอู่ทงเผยยิ้ม “หลังเรื่องราวที่ลานฝึกฝนเตาหลอมขจีในวันนี้ หลายตระกูลภายในเมืองต่างรู้สึกติดค้างหนี้อยู่ในใจ พวกเขาต่างนำเอาสมบัติส่วนตนออกมา หวังว่าคุณชายซูจะไม่เอาความใดกับพวกเขา”
ซูอี้แค่นเสียง ทั้งยังอดไม่ได้จนหัวเราะเบา “เหมือนว่าการเชือดไก่ให้ลิงดูจะได้ผลไม่น้อย”
พบเห็นซูอี้หัวเราะ ผู้อื่นจึงหัวเราะตาม
แรกเริ่ม หยวนลั่วซีกังวลว่าบิดามาพบครั้งนี้จะทำซูอี้ไม่ยินดี แต่ขณะนี้คล้ายว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น
หยวนอู่ทงนำเอากระดาษแผ่นหนึ่งออกจากแขนเสื้อ ส่งมอบให้ซูอี้ “สิ่งนี้คือรายชื่อตระกูลที่ส่งมอบของขวัญแก่คุณชายซู ขอคุณชายรับชม”
ซูอี้รับมาและมองสำรวจ ราวไม่คิดประหลาดใจแม้แต่น้อย
รายชื่อยาวเหยียด รวมเข้ากับสองกลุ่มอิทธิพลเช่นจวนผู้ว่าการและตระกูลจาง ยังมีกลุ่มอิทธิพลน้อยใหญ่เช่นสำนักดาบชิงเหอ ตระกูลเฉียน ตระกูลฮัว และตระกูลหลิว
โดยแต่ละรายชื่อมีรายละเอียดเขียนไว้ดังนี้
“ตระกูลจาง สมุนไพรวิญญาณระดับสามหนึ่งต้น ระดับสองอีกสิบต้น และระดับหนึ่งอีกหนึ่งร้อยต้น ศิลาวิญญาณระดับที่หนึ่งจำนวนสามร้อยก้อน ระดับที่สองจำนวนสิบก้อน วัตถุวิญญาณสามสิบประการ…”
“สำนักดาบชิงเหอ สมุนไพรวิญญาณระดับสามหนึ่งต้น ระดับสอง…”
เหล่านี้คือรายการสมบัติล้ำค่าเต็มแน่น ประกอบด้วยสมุนไพรวิญญาณ ศิลาวิญญาณ และวัตถุวิญญาณที่เป็นประกายระยิบระยับ
จากรายชื่อ มันแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างกลุ่มอิทธิพลชั้นแนวหน้าของมหานครอวิ๋นเหอ และกลุ่มอิทธิพลทั่วไป
ยกตัวอย่าง สมุนไพรวิญญาณระดับที่สามคือสิ่งที่กลุ่มอิทธิพลหรือตระกูลทั่วไปไม่อาจครอบครอง
สมุนไพรวิญญาณระดับที่สอง รวมถึงศิลาวิญญาณระดับที่สอง ในแง่ปริมาณ กลุ่มอิทธิพลทั่วไปก็ยังด้อยกว่ากลุ่มอิทธิพลชั้นแนวหน้าอยู่
แน่นอนว่า ซูอี้หาได้ใส่ใจไม่
เดิมเขาไม่คิดรับผลประโยชน์ใดอยู่แล้ว แต่ขณะนี้ได้รับ ‘สิ่งตอบแทนคำขออภัย’ จึงประหลาดใจอยู่บ้าง
‘เดิมนั้นหลังจากก้าวถึงขอบเขตรวบรวมลมปราณ สมุนไพรวิญญาณระดับที่หนึ่งทั่วไปแทบไม่อาจใช้งาน ระดับสองที่มีกับตัวก็แทบหมดแล้ว ขณะนี้ได้สมบัติเหล่านี้มาครอบครอง ถือว่าช่วยคลี่คลายได้…’
ซูอี้พูดกล่าวอยู่ภายในใจ
ไม่เพียงแต่สมุนไพรวิญญาณ และวัตถุวิญญาณที่เขามีก็แทบหมดแล้วเช่นกัน
อาจกล่าวได้ว่า หากหยวนอู่ทงไม่ได้นำของเหล่านี้มาจากกลุ่มอิทธิพลใหญ่ภายในเมือง เขาก็กำลังครุ่นคิดถึงวิธีการ ‘หาเงิน’ ด้วยตนเองอยู่เช่นกัน
ซูอี้เร่งรีบเก็บรายชื่อพร้อมกล่าวคำ “ข้าไม่ได้มีเจตนาเบาะแว้งกับผู้ใด เว้นแต่มีผู้ใดหาเรื่องราวต่อข้าก่อน”
หยวนอู่ทงพยักหน้ายิ้มรับ “ด้วยคำนี้จากคุณชายซู ข้าเชื่อว่าสหายเหล่านั้นคงวางใจได้แล้ว”
กล่าวถึงตรงนี้ เขาพลันลุกขึ้น พร้อมนำเอากล่องหยกขนาดราวฝ่ามือออกมา พร้อมประคองส่งมอบด้วยสองมือ “คุณชายซู นี่เป็นของเล็กน้อยจากตระกูลหยวน ข้าคาดหวังว่าท่านจะยินดีรับเอาไว้”
หยวนลั่วซีและหยวนลั่วอวี่ต่างเร่งรีบลุกขึ้นยืน
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ถ้อยคำกล่าวออกราวไม่ยินดี “ตัวข้าถือว่ามีมิตรไมตรีกับบุตรสาวเจ้าอยู่บ้าง เหตุใดจึงนำของเช่นนี้ออกมา? หรือในสายตาของตระกูลหยวน ซูผู้นี้ละโมบหิวโหยงั้นหรือ?”
ถ้อยคำเหล่านี้ค่อนข้างเย็นชา
ใบหน้างดงามของหยวนลั่วซีแปรเปลี่ยน นางคิดเอ่ยคำ
หยวนอู่ทงเร่งร้อนอธิบาย “คุณชายซูอย่าได้เข้าใจผิดไป ตระกูลหยวนของข้าไม่ได้ช่วยเรื่องราวใดในวันนี้ และเพราะมิตรภาพกับคุณชายซู อำนาจของตระกูลหยวนจึงเพิ่มพูนมากขึ้น ขณะนี้ยามตาเฒ่าจางจือเหยียนพูดคุยกับข้า ยังสุภาพไม่กล้าเผยกิริยาเสียมารยาทด้วยซ้ำ”
“หยวนผู้นี้ทราบดี ทั้งหมดเป็นเพราะเกียรติของคุณชายซู ดังนั้นจึงนำของขวัญเล็กน้อยนี้เพื่อแสดงความขอบคุณแทนตระกูลหยวนของข้า”
หลังกล่าวถ้อยคำ เขาจึงโค้งกายลง
พบเห็นเช่นนี้ ซูอี้จึงหันมองทางหยวนลั่วซี ที่สีหน้าร้อนรน สุดท้ายพยักหน้ารับ “เอ่ยเช่นนี้ ข้าย่อมเข้าใจเจตนาเจ้า เพียงแต่บางครั้งต้องพูดกล่าวให้ชัดเจน”
“คุณชายซูชี้แนะแล้ว” หยวนอู่ทงกล่าวตอบจริงจัง
ซูอี้กล่าวตอบเฉยเมย “ข้าตระหนักถึงมิตรไมตรีกับตระกูลหยวน เพียงแต่ภายหน้าต้องไม่ใช่กระทำการใดในนามของซูอี้ผู้นี้”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น” หยวนอู่ทงรับคำโดยไม่ลังเล
ซูอี้จิบชาพลางกล่าว “ผู้นำตระกูลหยวนสมควรทราบกระจ่าง การรักษาสัมพันธ์กับข้าเอาไว้ หมายความถึงได้รับผลกระทบจากสิ่งที่ข้ากระทำในภายหน้าด้วย”
หยวนอู่ทงเผยสีหน้าเคร่งเครียดกล่าวคำออก “ตัวข้าทำความเข้าใจเป็นอย่างดีแล้ว ตระกูลหยวนนั้นขึ้นและลงอยู่บ่อยครั้ง พร้อมแบ่งปันทุกข์และสุขร่วมกับคุณชายซู กระทั่งชีวิตและความตาย!”
ซูอี้วางถ้วยชาลง พยักหน้ารับ และไม่กล่าวคำใดเพิ่มเติมอีก
หยวนอู่ทงผ่อนลมหายใจโล่งอก พร้อมบรรจงวางกล่องหยกลงบนโต๊ะหินข้างกายซูอี้
ขนาดของกล่องหยกเพียงราวฝ่ามือ ทว่ามันคือสมุนไพรวิญญาณระดับที่สี่ต้นหนึ่ง!
มูลค่าอันมหาศาลของมัน ไกลห่างเกินกว่าสมุนไพรวิญญาณระดับสามจะสามารถเทียบเท่า!
หยวนอู่ทงมั่นใจ ยามที่ซูอี้พบเห็นสมุนไพรวิญญาณในกล่องหยก เขาจะต้องตระหนักถึงความจริงใจและเจตนาของตระกูลหยวน
หลังพูดกล่าวต่อกันพักหนึ่ง หยวนอู่ทงและคณะจึงกล่าวลาเดินทางกลับ
ระหว่างทางกลับ หยวนลั่วซีเกิดกังวล “ท่านพ่อ ถ้อยคำคุณชายซูเหล่านั้น ท่านไม่โกรธหรือ?”
หยวนอู่ทงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะตอบรับ “มีแต่ยินดี เอาอะไรมาโกรธกัน? ลูกยังเยาว์จึงยากเข้าใจความหมายในการสนทนา”
หยวนลั่วซีเกิดสงสัย “ท่านพ่อ ช่วยไขความกระจ่างได้หรือไม่?”
“ตัวตนเช่นองค์ชายหกพิเศษและสูงส่งเพียงใด? เขายังทำได้เพียงตามเก็บกวาดความวุ่นวายให้คุณชายซู ด้วยเรื่องราวนี้ ลูกควรทราบแล้วว่าการที่ตระกูลหยวนของเราและคุณชายซูได้มีมิตรไมตรีอันดีต่อกัน มันเปรียบได้ดังรับประทานพร!”
ดวงตาของหยวนอู่ทงลุ่มลึกประหนึ่งห้วงสมุทร เขากล่าวคำเนิบนาบ “รอภายหน้าหลังจากฟูมฟัก คุณชายซูจะต้องแข็งแกร่งยิ่งใหญ่สะท้านทั้งต้าโจวอย่างแน่นอน ยิ่งคุณชายซูแข็งแกร่งเพียงใด ก็ยิ่งช่วยให้ตระกูลหยวนของเรายิ่งใหญ่เพียงนั้น!”
หยวนลั่วซีเอ่ยคำขึ้น “เหมือนดั่งคำที่ว่า หนึ่งคนบรรลุขึ้นฟ้า หมูหมากาไก่รอบตัวพากันได้เป็นเซียน*[1]งั้นหรือ?”
“เสี่ยวซี ไฉนเปรียบพวกเราเป็นหมูหมากาไก่?”
หยวนลั่วอวี่เกิดไม่พอใจ
“ฮ่าฮ่าฮ่า ถ้อยคำก็ไม่ได้หยาบจนเกินไป คำของเสี่ยวซีถือว่าไม่เลว”
หยวนอู่ทงหัวเราะออก
หยวนลั่วอวี่อดที่จะกล่าวไม่ได้ “แต่หากคุณชายซูเผชิญอันตรายใดเข้า นั่นย่อมกระทบต่อพวกเรา ท่านพ่อไม่กังวลหรือ?”
“สิ่งนี้จึงเรียกแบ่งปันสุขและทุกข์ แบ่งปันทั้งชีวิตและความตาย! มีสิ่งใดในโลกที่ต้องการแล้วไม่มีราคาต้องจ่ายอย่างไร้เหตุผลบ้างเล่า?”
หยวนอู่ทงสูดลมหายใจเข้าลึก “โดยสรุป ตระกูลหยวนของพวกเราได้ยืนหยัดบนเรือใหญ่เช่นคุณชายซู ไม่ว่าผ่านคลื่นลมใด อับปางหรือตกตาย ล้วนค่อยว่ากล่าวภายหน้า!”
ผู้ซึ่งไม่อาจอ่านสถานการณ์ ย่อมไม่อาจไขว่คว้าอำนาจ
ผู้ซึ่งไม่วางแผนการ ก็ไม่อาจยืนหยัดบนโลก!
…
เรือนเงียบสุขสงบ
“พี่ซู จัดแยกตามที่สั่งเรียบร้อยแล้ว”
หวงเฉียนจวินชี้ไปยังสมบัติหลากหลายบนพื้นพร้อมกล่าว “สมุนไพรวิญญาณระดับสามจำนวนเจ็ดต้น ระดับที่สองจำนวนเจ็ดสิบเก้าต้น และระดับที่หนึ่งจำนวนสี่ร้อยสามสิบต้น”
“ศิลาวิญญาณระดับที่หนึ่งจำนวนห้าร้อยสี่สิบก้อน ระดับที่สองอีกห้าสิบห้าก้อน”
“รวมกับวัตถุวิญญาณ หกสิบสี่รายการด้วยกัน”
สายตาเขาถึงกับเป็นประกายตื่นเต้นยินดี
มันมากขนาดต่อให้นำทรัพย์สินตระกูลหวงมารวมกัน ก็ยังไม่อาจเทียบหนึ่งในสิบของสมบัติตรงหน้านี้!
“ศิลาวิญญาณและสมุนไพรวิญญาณระดับที่หนึ่ง เจ้ากับศิษย์น้องเฟิงแบ่งกันไป ส่วนของอื่นนำไปไว้ที่ห้องข้า”
ซูอี้พูดกล่าว ก่อนจะลุกขึ้นตระเตรียมไปฝึกเคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่องที่ลานบ้าน
ท่าทีของเขาดูสงบ ราวกับมุ่งเป้าหมายเพียงหนึ่ง
หวงเฉียนจวินยืนขึ้นเหม่อมอง
ผ่านไปนาน เขาค่อยสูดลมหายใจเข้าลึก พร้อมสะกดอารมณ์ที่ไม่อาจควบคุมและความอบอุ่นในหัวใจ ก่อนจะเงียบงันเก็บกวาดสมบัติบนพื้น
หลังการฝึกฝนเคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่อง ซูอี้ที่กลับถึงห้อง ก็พบว่าสมบัติทั้งหลายวางรออยู่ก่อนแล้ว
ด้วยการโบกแขนเสื้อคลุมเพียงแผ่วเบา สมบัติทั้งหลายจึงเก็บเข้าจี้หยกสีดำข้างเอว
หลังครุ่นคิด ซูอี้เอ่ยคำขึ้น “ชิงหว่าน”
ภายในน้ำเต้าปลุกวิญญาณ ร่องรอยควันขาวปรากฏขึ้น ตามมาด้วยชุดกระโปรงสีแดงเลือด พร้อมร่างอันงดงามของเด็กสาวใสซื่อบางเบาในอากาศ
นางคล้ายสุขใจอยู่ไม่น้อย ดวงตากลมโตกะพริบ ถ้อยคำกล่าวกระมิดกระเมี้ยน “หว่านเอ๋อร์คำนับนายท่าน ไม่ทราบว่านายท่านมีบัญชาใดหรือเจ้าคะ?”
ซูอี้มองสำรวจชิงหว่าน สายตาประหนึ่งนักประเมินสมบัติ ราวไม่คิดพลาดรายละเอียด
ชิงหว่านเกิดรู้สึกไม่ใคร่สบายใจกับสายตา นางคิดอยากหลบเลี่ยง ทว่าไม่กล้า ดังนั้นจึงก้มหน้างุด จนแทบจะฝังใบหน้าเข้ากับหน้าอก ขนตาของนางสั่นเทาเล็กน้อย ใบหน้างดงามขาวราวหิมะแดงเรื่อร้อนแรงประหนึ่งไฟเผา
ในสายตาซูอี้ ชิงหว่านเกิดความเปลี่ยนแปลงไปมาก!
วิญญาณที่เป็นกายโปร่งใสเริ่มชัดเจนขึ้น ผิวเป็นมันเงาและละเอียดอ่อนราวหยกเนื้องาม ใบหน้าจิ้มลิ้มงดงามแสดงถึงความอ่อนเยาว์อันเด่นชัด ดวงตายังเปรียบดังหงส์อมตะทรงเสน่ห์งดงามดึงดูด
เสน่ห์อันกระจ่างชัด งดงามชวนรับชม เป็นความงามอย่างหาตัวจับได้ยาก ที่ไม่ว่าผู้ใดพบเห็นต้องชะงักมอง
ผ่านไปครู่ ซูอี้ค่อยละสายตากลับพร้อมพยักหน้า “เจ้าแปรสภาพกลายเป็น ‘ผีอสูร’ ได้ไม่เลว”
ผีหยินคือตัวตนอันต่ำเตี้ยของภูตผี เหนือกว่านั้นคือ ‘ผีอสูร’
ที่สภาวะนี้ ร่างวิญญาณจะก่อตัว ปรากฏรูปลักษณ์ จนแทบไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ทั่วไป
ในอดีต ชิงหว่านมีผิวกายซีดขาวและใบหน้าที่แทบโปร่งใส ราวกับภาพร่างมายา ผู้ใดพบเห็นล้วนทราบว่าไม่ใช่ตัวตนมนุษย์
กระนั้นตอนนี้ หากผู้คนพบเห็นย่อมไม่อาจจำแนก
การแปรสภาพสู่ ‘ผีอสูร’ นั้นช่วยให้ชิงหว่านเป็นประกายและงดงามอย่างดึงดูด
โชคร้าย ในสายตาของซูอี้ มันหาได้มีความดึงดูดเช่นนั้นคงอยู่ไม่
ย้อนกลับไปเมื่อชีวิตก่อนหน้า มีปีศาจสาวผู้เลิศล้ำจากเผ่าจิ้งจอกเนินเขียว เสน่ห์ของนางเลิศล้ำขนาดนักบวชพุทธอันเลิศล้ำผู้ใจแข็งประหนึ่งก้อนหินยังไม่อาจทนทาน
ปีศาจสาวผู้เลิศล้ำนั้นเสนอกายตนเองเป็นหมอนรองนั่งเพื่อเย้ายวนซูอี้ ผู้ซึ่งขณะนั้นคร่ำเคร่งกับการศึกษาวิถีดาบ
สุดท้าย หางจิ้งจอกทั้งเก้าถูกดาบของซูอี้ตัดทิ้ง จนนางแตกตื่นหนีหาย
ภายหลัง ทุกครั้งที่นางตระเวนไปที่ใด จะพูดกล่าวถึงเรื่องราว สบถต่อปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินว่าหาใช่บุรุษ แต่เป็นผู้หน้ามืดบนหนทางแห่งการฝึกฝน ถึงขนาดไม่สนใจสตรีใดในโลกหล้า…
ครั้งนั้นจึงกลายเป็นเรื่องราวขำขันทั่วเก้ามหาแดนดินไป
แน่นอนว่า ศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของชิงหว่านไม่ใช่อะไรที่ผู้อื่นสามารถเปรียบเทียบ
และนั่นคือหนึ่งในสาเหตุที่ซูอี้เลือกชิงหว่านให้เป็นเตาหลอมคู่บำเพ็ญเพียร
“นายท่านโปรดวางใจ หว่านเอ๋อร์ไม่กล้าละเว้นการฝึกฝน”
น้ำเสียงของชิงหว่านทั้งอ่อนนุ่มและอ่อนหวาน นางก้มศีรษะลงเล็กน้อย จับจ้องไปยังเท้าที่ราวผลึกแก้ว โดยไม่กล้ามองตอบสายตาของซูอี้
ซูอี้พยักหน้ารับ พับเก็บความคิด และนำเอาสมุนไพรวิญญาณระดับที่สองซึ่งเหมาะสมให้ผีอสูรได้ฝึกฝนออกมาจำนวนหนึ่ง “รับไว้และฝึกฝนให้ดี”
ชิงหว่านชะงักงัน ก่อนจะเร่งรีบรับเอาไว้ “ขอบคุณนายท่าน”
น้ำเสียงนี้กระจ่างและสดใส แสดงถึงความยินดีและใกล้ชิด
ซูอี้หัวเราะเบาตอบรับ
ชิงหว่านแปรเปลี่ยนไปมาก
ฉับพลันนี้เอง ซูอี้เกิดนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ เรื่องราวพิพาทจบสิ้นแล้ว ภัยอันตรายซ่อนเร้นถูกกำจัด ถึงเวลาควรไปพบหลิงเสวี่ย…
[1] หนึ่งคนบรรลุขึ้นฟ้า หมูหมากาไก่รอบตัวพากันได้เป็นเซียน หมายถึง เมื่อใครคนหนึ่งประสบความสำเร็จ ญาติพี่น้องหรือคนรอบตัวย่อมพลอยได้ดิบได้ดีไปด้วย