บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1310: บ้านเกิด
ตอนที่ 1310: บ้านเกิด
แดนบรรพชนลัทธิทางช้างเผือกถูกเหยียบย่ำ!
วันเดียวกันนั้น ข่าวนี้สะพัดเยี่ยงพายุทั่วภูมิดาราจิตเทวะ ก่อให้ทั่วโลกหล้าสะเทือนลั่น
ลัทธิทางช้างเผือกคือหนึ่งในขุมกำลังยักษ์ใหญ่อันลือนามทั่วจักรวาลพร่างดาว
ทว่ายามนี้ กระทั่งแดนบรรพชนของพวกเขายังถูกเหยียบย่ำ เป็นสิ่งที่มิเคยเกิดขึ้นมาก่อน พายุที่เกิดขึ้นจึงเหนือคาดคิด
ขุมกำลังทั้งหลายซึ่งทำงานรับใช้ลัทธิทางช้างเผือกล้วนครั่นคร้าม ยากหลับลง
ขณะเดียวกัน ตัวตนบรรพกาลผู้หนึ่งจากลัทธิทางช้างเผือกลุกขึ้นมาปรามาสทัศนาจารย์ว่าน่ารังเกียจ ฉวยโอกาสยามไร้คนก่อเรื่องมาดร้าย ช่างน่าอายนัก
ขณะเดียวกัน ตัวตนบรรพกาลนี้ก็ประกาศต่อโลกหล้าว่าลัทธิทางช้างเผือกไร้ผู้สูญเสีย และกล่าวข่มขู่ว่าหลังบรรพชนของพวกตนเข้าสู่วิถีจุติสรวง เขาจะสังหารทัศนาจารย์ล้างอาย!
เมื่อข่าวเช่นนี้ถูกประโคมติด ๆ กัน ทั่วทั้งโลกหล้าก็เซ็งแซ่
ยามนั้นเองที่พวกเขาพลันประจักษ์ว่าการล่มสลายของแดนบรรพชนลัทธิทางช้างเผือกนั้น แท้จริงเป็นฝีมือร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์!
“ทัศนาจารย์เป็นศูนย์กลางแห่งพายุมาโดยตลอด หาสำรวมเก็บตัวเงียบไม่ แต่กลับทวีอำนาจขึ้นกว่าเก่า เขา… ไม่กลัวถูกคิดบัญชีจริง ๆ หรือ?”
หลายผู้รู้สึกเหลือเชื่อ
เพราะถึงอย่างไร ยุคสมัยใหม่ได้ก่อเกิดทั่วจักรวาลพร่างดาว วิถีจุติสรวงซึ่งเดิมห่างหายหวนคืนสู่โลกหล้า
ภายหน้าจะเป็นยุคสมัยที่เหล่าผู้ฝึกตนในขอบเขตจุติสรวงเป็นผู้นำ!
นอกจากนั้น เนื่องจากมีข่าวการกลับมาของทัศนาจารย์ในช่วงนี้ ทั่วจักรวาลพร่างดาวจึงเซ็งแซ่ด้วยเสียงหารือกันอยู่แล้ว
ยามนี้ กระทั่งผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ในโลกหล้ายังทราบว่ามีผู้กวนกระแส ทำให้ทัศนาจารย์เป็นศูนย์กลางความสนใจของทุกผู้
ทว่าทัศนาจารย์ก็ยังไม่ยิ่งหย่อน หาสนใจเปลี่ยนสถานการณ์ไม่ ซ้ำยังเหยียบย่ำแดนบรรพชนของลัทธิทางช้างเผือกด้วย!
ใครเล่าจะมิประหลาดใจ?
“ทำตัวสำรวมเงียบอันใด? ทำแล้วจะรอดไปได้หรือ? ไม่มีทาง!”
“อนิจจา บางทีการสิ้นทัศนาจารย์อาจเป็นการปิดฉากยุคสมัยเก่ากระมัง?”
……
ยามโลกภายนอกเดือดพล่าน ซูอี้และเว่ยซานได้ออกเดินทางสู่ภูมิดาราเทพนครแล้ว
เจ็ดวันต่อมา
ในจักรวาลพร่างดาวอันกว้างใหญ่ เรือท้องแบนพาซูอี้และเว่ยซานละล่องผ่าน
“นายน้อย ภูมิดาราเทพนครอยู่ตรงหน้าแล้ว”
เว่ยซานกระซิบ
ดวงตาของเขาซับซ้อนเปี่ยมอารมณ์
ภูมิดาราเทพนคร!
ภูมิดาราอันดับหนึ่งในจักรวาลพร่างดาว
มันมีสมญามากมาย ทั้งเป็น ‘หัวใจ’ ของจักรดาราตงเสวียน ใจกลางแห่งจักรวาลพร่างดาวนี้ สุขาวดีอันหลงเหลือจากโลกเซียน หนึ่งในสี่ภูมิดาราอันก่อเกิดแต่แรกบรรพกาล และ…
สมญาเจิดจรัสชื่อแล้วชื่อเล่าแต่งแต้มความลึกลับแก่ภูมิดาราเทพนคร
มีกลุ่มเต๋าและชนเผ่านับหมื่นแสนร่วมอาศัย
เป็นแดนบรรพชนของหกตระกูลโบราณอารักษ์วิถี
ขุมกำลังยักษ์ใหญ่ทั่วจักรวาลฟ้าดิน แปดตระกูลราชันแห่งภูมิผู้ถูกเถลิงเป็นใหญ่ในภูมิดาราล้วนแต่มีที่มั่นอยู่ในภูมิดารานี้!
คงไม่เป็นการกล่าวเกินไปหากจะบอกว่าภูมิดาราเทพนครคือศูนย์กลางแห่งจักรดาราตงเวงียน และยังเป็นสุขาวดีในสายตาผู้ฝึกตนหลายล้านในโลกหล้า
ภูมิดาราอื่น ๆ ในจักรดาราตงเสวียนรวมกัน ยังมิอาจเทียบได้กับหนึ่งภูมิดาราเทพนคร
ลือกันว่าแต่แรกเดิมที มีวิถีสู่เซียนอยู่ในภูมิดาราเทพนครนี้!
สำหรับเว่ยซาน ภูมิดาราเทพนครมีเพียงชื่อเดียว
บ้านเกิด!
เขาและนายน้อยเติบโตมาในภูมิดาราเทพนคร ฝึกฝนสัญจร สร้างความทรงจำไว้ที่นี่มากมาย
ซูอี้บนเรือท้องแบนลืมตาขึ้นมองไปไกล
ห่างออกไปในจักรวาลพร่างดาวอันกว้างใหญ่มีเงาโลกภูมิใหญ่โตเกินคาดเดาลอยอยู่ แม้จะมองจากไกล ๆ ก็เห็นได้เพียงหนึ่งมุมของมันเท่านั้น!
หมู่ดารานับไม่ถ้วนเวียนวนหมุนรอบเป็นวงแหวน
ทว่ากลับดูแสนเล็กจ้อยเมื่อเทียบกับโลกภูมิแห่งนี้
เหมือนเช่นเศษฝุ่นแทบเท้ายักษ์
นั่นคือภูมิดาราเทพนคร!
แตกต่างจากภูมิดาราอื่น ๆ ซึ่งรวมโลกภูมิน้อยใหญ่มากมาย ในภูมิดาราเทพนครนี้มีเพียงโลกภูมิเดียว คือเทพนคร!
ยามนี้ เมื่อเขาเห็นภูมิดาราเทพนคร ภาพความทรงจำของทัศนาจารย์ก็ปรากฏในใจซูอี้
ชั่วชีวิตของเขา ทัศนาจารย์สัญจรไปในโลกหล้าภูมิดาราหลัก ผ่านสถานที่ลึกลับมากมายเหมือนยอดยุทธ์สัญจรท่องโลกหล้า
ทว่าสิ่งที่เขายึดติดด้วยที่สุดในใจมีเพียงภูมิดาราเทพนคร
เพราะนี่คือบ้านเกิดของเขา!
“เรากลับ ‘เมืองหมื่นหลิว’ กันก่อนเถอะ”
ซูอี้สั่งการ
“ได้!”
เว่ยซานตอบรับ
……
ภูมิดาราเทพนครแบ่งออกเป็นสามสิบหกแคว้น
ดินแดนแต่ละแคว้นเทียบได้กับโลกภูมิอันใหญ่โตที่สุดแห่งจักรวาลพร่างดาว กว้างไกลไพศาลยิ่ง
นอกจากสามสิบหกแคว้นนี้ยังมีพื้นที่ลึกลับมากมาย รวมไปถึงโลกเร้นลับเขตหวงห้ามน้อยใหญ่
กระทั่งทัศนาจารย์ยามสมบูรณ์พร้อมเสาะหาแสนนาน ยังไม่อาจคะเนขนาดภูมิดาราเทพนครนี้ได้
เมืองหมื่นหลิว หนึ่งในเมืองนับพัน ณ แคว้นสีชาด
ในสายตาผู้ฝึกตนทั้งหลายในแคว้นสีชาด เมืองหมื่นหลิวนั้นหาโดดเด่นไม่ กล่าวได้กระทั่งว่าเป็นชนบทยากแค้น
ทว่านั่นก็คือเมื่อเทียบกับเมืองอื่น ๆ ในแคว้นสีชาดเท่านั้น
หากนำไปเทียบกับมหาทวีปคังชิง ขนาดเมืองหมื่นหลิวนั้นเทียบได้กับอาณาเขตต้าโจวทั้งเมือง
สองวันต่อมา
เมืองหมื่นหลิว
ท้องนภาชุ่มฉ่ำด้วยหยาดฝน
ซูอี้และเว่ยซานลงเดินบนถนน
ผู้คนคึกคักดุจธารไหล การสัญจรคับคั่ง
ซูอี้และเว่ยซานเดินปะปนกับพวกเขาเยี่ยงนักเดินทางสัญจรหวนเหย้า มองทัศนียภาพด้วยความสะเทือนใจ ภาพจากอดีตยามเยาว์หวนสู่ความคิด
สำหรับซูอี้ ประสบการณ์และความทรงจำเหล่านี้เป็นของทัศนาจารย์ แต่นั่นก็คืออดีตชาติของเขา จึงไร้ความตะขิดตะขวงใด ๆ
ในทางกลับกัน ยามประสบอารมณ์และความทรงจำเหล่านี้ หัวใจของเขาก็สะท้านสะเทือนมาก
โชคร้ายที่กาลผันผ่าน เรื่องราวแปลกเปลี่ยน
เมืองหมื่นหลิวก็ยังคงเป็นเมืองหมื่นหลิว ทว่ามันมิใช่ดังที่ซูอี้จำได้แล้ว
“ข้าจำได้ว่าเดิมที่นี่มีหอโคมเขียวอยู่ ดรุณีที่นี่งดงามกว่าที่ใด ยามอายุสิบหกปี ข้าเคยพาเจ้ามาดื่มที่นี่ แต่เจ้ากลับหน้าแดงเขินอายทำตัวไม่ถูกจนถูกหญิงหยอกเยาะ”
ซูอี้ชี้โรงเตี๊ยมซึ่งอยู่ห่างออกไปพลางเฮฮาเย้าหยอก “จากนั้น เจ้าก็เกรี้ยวกราด ขู่จะซื้อหอโคมเขียวรวมถึงสตรีทั้งหมดในนั้น ณ ภายหน้า”
เว่ยซานตะลึงและกล่าวอย่างเคอะเขิน “ข้ายังเด็กทำตัวเหลวไหล จะไปรู้อันใดเล่าขอรับ นอกจากนั้น ข้าเกิดมาเป็นคนซื่อ ไม่อาจเหมือนนายน้อยซึ่งเป็นพ่อหนุ่มระเริงลือนามแห่งหอโคมเขียวแต่ยามเยาว์ได้หรอกขอรับ”
ซูอี้กล่าวเรียบ ๆ “ข้าหาใช่หนุ่มระเริงไม่ ยิ่งมิต้องพูดถึงว่าข้าไปเพียงเพื่อดื่มสุรา มิกระทำการอื่น”
ทั้งคู่เสวนาขณะก้าวเดินต่อ
จนกระทั่งพลบค่ำ ทั้งสองจึงมาถึงหุบเขารกร้างทางบูรพาทิศของเมือง
มีบ้านเรือนร้างกระจัดกระจาย ฝูงกาเกาะบนยอดไม้ ส่งเสียงอุบาทว์เสียดหู
เมื่อมาถึงที่นี่ รอยยิ้มบนใบหน้าเว่ยซานก็เลือนหาย สีหน้ามืดหม่นขณะกระซิบ “นายน้อย ‘แดนลับพร่างจินดา’ ถูกทำลายสิ้นแล้วขอรับ เรา… กลับไปไม่ได้แล้ว…”
เนิ่นนานกาลก่อน ป่าเขาแร้นแค้นนี้เคยเป็นคฤหาสน์ใหญ่โตซึ่งครอบทางเข้าแดนลับอยู่ภายใน
ทัศนาจารย์และเว่ยซานเติบโตที่นี่ตั้งแต่ยามเยาว์
นี่คือบ้านของพวกเขา
“แดนลับพร่างจินดาแหลกสลายหายสิ้นแล้วหรือ?”
ซูอี้ถาม
เว่ยซานพยักหน้าด้วยสีหน้าหม่นหมอง
กาลก่อน กลุ่มยอดฝีมือมิทราบที่มาบุกเข้ามาละเลงเลือดในแดนลับพร่างจินดากะทันหัน
พ่อบุญธรรมของเขา เฒ่าเว่ยเลือกอยู่สู้ตายกับศัตรู
มีเพียงเขาที่พาบุตรีวัยสามขวบ อาจิ่วสังหารแหวกวิถีนองเลือดหนีมาได้
จวบยามนี้ เว่ยซานก็ยังไม่อาจทราบที่มาของผู้มาสังหารพวกเขา และผู้อยู่เบื้องหลังสั่งการ
ซูอี้ไพล่มือไว้เบื้องหลัง เดียวดายลำพังกลางป่าเขารกร้างแร้นแค้น หัวใจพลุ่งพล่านด้วยจิตสังหารเกินควบคุมเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่าแต่แรก ฆาตกรเหล่านั้นคิดสังหารพวกเขามิให้เหลือผู้ใด!
“ข้าจะสืบเรื่องนี้เอง ตาต่อตา ฟันต่อฟัน”
หลังเงียบไปนาน ซูอี้ก็กล่าวขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาใต้แสงพลบค่ำไร้อารมณ์ผันผวนใด ๆ
ทันใดนั้น เสียงแหวกอากาศก็ดังแว่วมา
พรึ่บ~
ฝูงกาบนยอดไม้ต่างแตกตื่น กระพือปีกทะยานสู่ตะวันลับฟ้าห่างไกล