บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1311: เบาะแสของเฒ่าเว่ย
ตอนที่ 1311: เบาะแสของเฒ่าเว่ย
………………..
ตอนที่ 1311: เบาะแสของเฒ่าเว่ย
ตะวันอัสดงทอแสง ใบหญ้าอับเฉาโรยรา
ฝูงกาโบยบิน หนึ่งบุคคลปรากฏร่างจากอากาศธาตุ
เขาเป็นชายชราร่างผอมแห้ง เส้นผมบางเบา
เขาสวมอาภรณ์สีแดงสด ใบหน้ามีแผลเป็นเหมือนตะขาบลากยาวตั้งแต่หน้าผากมาจนถึงดั้งจมูก ทำให้โฉมหน้าของเขาอัปลักษณ์น่าสะพรึงเป็นพิเศษ
“ทัศนาจารย์ ยังจำตาเฒ่าผู้นี้ได้หรือไม่?”
ทันทีที่ชายชราปรากฏร่าง เขาก็กล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง คู่เนตรจ้องมาที่ซูอี้อย่างเย็นชา
ซูอี้หันกลับมาจ้องมองชายชราชั่วขณะ ก่อนจะขมวดคิ้ว “เจ้าคือผู้ใด?”
“จำไม่ได้หรือ?”
ชายชราอาภรณ์สีแดงหัวเราะกับตนเอง “นั่นสินะ ผู้สูงส่งลืมง่าย อย่าว่าแต่เรื่องที่ข้ามิอาจกระทั่งจะหยุดหนึ่งดาบของทัศนาจารย์ได้ ณ ศึกในด่านหุบเขาสมุทรสรวงเลย”
ซูอี้ส่งเสียง ‘โอ้~’
ชายชราอาภรณ์สีแดงอดกล่าวมิได้ “จำได้แล้วหรือ?”
สีหน้าของเขาปรากฏความเกลียดชังลึกล้ำ
ซูอี้ส่ายหน้า “เปล่า”
ชายชรา “…”
เขาพลันชี้แผลเป็นอัปยศบนใบหน้าพลางกล่าวอย่างกราดเกรี้ยว “แผลนี้ก็เป็นเพราะเจ้า! เจ้า… ลืมแล้วหรือ?”
หนึ่งบุคคลหมายมาดอยากล้างแค้น
ทว่าศัตรูหาจำเขาได้ไม่ ยังมีสิ่งใดน่าตะลึงไปกว่านี้บนโลกหล้าอีกหรือ?
ซูอี้คิดชั่วครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “ข้าจำได้เพียงศึกในด่านหุบเขาสมุทรสรวง ข้าสังหารไอ้เฒ่าอยู่ดีมิว่าดีไปสามสิบเก้าคน รวมไปถึงตัวตนปลาซิวปลาสร้อยอีกเป็นร้อย ๆ หรือว่า… เจ้าจะเป็นหนึ่งในนั้นกัน?”
หน้าผากของชายชราอาภรณ์สีแดงปูดเขียวด้วยเส้นเลือด ใบหน้าถมึงทึงมืดมัว
“เจ้าเฒ่า คงไม่ได้มาทำให้ตนเองขายหน้าใช่หรือไม่?”
เว่ยซานอดหัวเราะมิได้
ชายชราสูดหายใจลึก ๆ สงบใจตนลง ก่อนจะกล่าวว่า “จะมองตาเฒ่าผู้นี้เป็นปลาซิวปลาสร้อยแล้วลืมไปก็ช่าง ข้ามาที่นี่เพื่อเรื่องประการเดียว”
ซูอี้ว่า “ว่ามาสิ”
ทันใดนั้น ชายชราพลันเสสรวลกล่าว “ทัศนาจารย์อยากรู้ที่อยู่ของเฒ่าเว่ยขาเดี้ยงหรือไม่?”
ทันทีที่วาจานี้ถูกกล่าว เว่ยซานพลันตะลึงเยี่ยงต้องอสนีบาต กล่าวอย่างมิอยากเชื่อ “พ่อบุญธรรมข้า… ยังไม่ตายหรือ!?”
น้ำเสียงของเขาสั่นเล็กน้อย
ซูอี้อดเลิกคิ้วมิได้ ไม่คาดเลยว่าจะได้รับข่าวเช่นนี้
เขาสงบใจถาม “บอกข้ามาก่อนว่าเฒ่าเว่ยยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”
ชายชราอดเชิดหน้าหัวเราะลั่นฟ้ามิได้ กล่าวอย่างสงบนิ่งไร้หวั่นไหว “อยากรู้หรือ? นั่นสินะ ข้าเคยได้ยินว่าทัศนาจารย์มิเคยก้มหัวให้ผู้ใดชั่วชีวิต แต่ข้าไม่เชื่อหรอก วันนี้ ขอเพียงเจ้าก้มหัวขอร้องข้า ข้าจะบอกเจ้าทันทีเลย”
ดวงตาของซูอี้วูบไหวอย่างเย็นชา ขณะที่เขากำลังจะพูดบางอย่างนั้นเอง
ชายชราก็กล่าวเตือนขึ้น “หากเจ้ากล้าลงมือ ข้ารับปากว่าเจ้าจะมิได้รับสิ่งใด!”
เว่ยซานกล่าวอย่างเดือดดาล “ไอ้แก่ เจ้าไม่กลัวตายจริง ๆ หรือ?”
ชายชราชุดแดงยิ้มเยาะ “หากตาเฒ่าผู้นี้กลัวตาย ไฉนจึงเป็นฝ่ายมาหาเองเล่า?”
กล่าวจบ เขาก็หันไปพูดกับทัศนาจารย์ “ทัศนาจารย์เอ๋ย ถึงกาลตัดสินใจแล้ว!”
“แค่เพราะวาจาเพ้อพก เจ้าก็จะให้ข้าก้มหัวแล้วหรือ?”
ซูอี้พลันก้าวเข้ามา เดินไปหาชายชรา
อำนาจอันมิอาจมองเห็นแผ่ออกจากร่างของซูอี้ ปกคลุมทั่วทิศอันอาบแสงอัสดงนี้ ชั่วขณะนั้น ใบไม้แห้งบนพื้นสะท้านสั่น ทั่วบรรพตลำธารระริกไหว
สีหน้าของชายชราแปรเปลี่ยนเล็กน้อย “ในเมื่อข้ากล้ามา จะล้อเล่นได้เช่นไร? หยุดนะ! หากเจ้ามาใกล้ ชั่วชีวิตนี้เจ้าจะไม่รู้ความเป็นความตายของเฒ่าเว่ยขาเดี้ยงอีก!”
เขาถือยันต์ลับชิ้นหนึ่งในมือรอท่า
ซูอี้หาหยุดชะงักไม่ เขาก้าวเดินมาเบื้องหน้าอย่างมิใส่ใจ “ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าไม่เคยก้มหัวให้ผู้ใด เจ้าก็น่าจะเคยได้ยินเช่นกันว่าข้าผู้นี้ไม่เคยกลัวคำขู่ หากเจ้าร่วมมือ ก็บอกสาเหตุการมาเยือนออกมาแต่โดยดี หาไม่…”
ทันทีที่เขากล่าวเช่นนี้ ชายชราก็ตะโกนราวมิอาจทนแรงกดดันร้ายแรงเช่นนี้ได้อีก “ข้าพูดแล้ว!”
ซูอี้หยุดฝีเท้า นำไหสุราขึ้นมาจิบพลางกล่าวแดกดัน “ความกล้าไม่เท่าไหร่เองนี่”
สีหน้าของชายชราดูบิดเบี้ยวยากมอง
ทว่าท้ายที่สุด เขาก็ไม่กล้ายั่วยุท้าทายใด ๆ อีก และกัดฟันกล่าวว่า “ข้ามาหนนี้ก็เพื่อพาทัศนาจารย์ไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง และเมื่อไปถึง เจ้าจะได้รู้ที่อยู่ของเฒ่าเว่ยขาเดี้ยงเอง”
ซูอี้ว่า “ผู้ใดสั่งเจ้ามา?”
ชายชราชุดแดงส่ายหน้าว่า “ข้าบอกแล้ว ข้าเป็นเพียงผู้เดินสาส์น หากเจ้าไปก็จะรู้เรื่องเอง”
ซูอี้เลิกคิ้วน้อย ๆ “ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เฒ่าเว่ยยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”
หนนี้ชายชราเปลี่ยนน้ำเสียง “ข้า…ข้าไม่รู้”
“เจ้าบ้านี่! ล้อเราเล่นหรือไร?”
เว่ยซานสบถ
ชายชรากล่าวอย่างเย็นชา “ในเมื่อเรามาหาทัศนาจารย์ด้วยเรื่องที่อยู่ของเฒ่าเว่ยขาเดี้ยง นั่นย่อมหมายความว่าคนผู้นั้นยังไม่ตาย หากเขาตาย จะยังมีค่าใดให้ใช้เล่า?”
ซูอี้กล่าวทันที “ไปหนใด?”
ชายชราอาภรณ์สีแดงว่า “ตามข้ามาเป็นพอ”
กล่าวจบ เขาก็หันหลังทะยานไปไกล
ทว่าอึดใจต่อมา หัตถ์ใหญ่ข้างหนึ่งก็คว้าคอเขาไว้ ร่างของเขาพลันชะงัก กล่าวขึ้นอย่างโกรธเคือง “ทัศนาจารย์ นี่หมายความเช่นไร?”
ผู้ลงมือย่อมเป็นซูอี้โดยไม่ต้องสงสัย
เขากล่าวอย่างเฉยชา “ข้าไม่ชอบให้ผู้อื่นมาคอยบงการพาไปโน่นมานี่ ในเมื่อเขาให้เจ้ามาหาข้าได้ ต้องมีแผนบางอย่างเป็นแน่ ดังนั้น เขาควรเป็นฝ่ายมาหาข้าก่อนแต่โดยดี”
กล่าวจบ เขาก็ปล่อยคอของชายชรา ตบบ่าอีกฝ่ายพลางว่า “กลับไปบอกผู้ส่งเจ้ามาว่าข้าจะรอที่นี่ หากคืนนี้ไม่มา ก็อย่าได้โทษข้า ไปเสีย”
ชายชรากล่าวอย่างตะลึง “เจ้า… มิกลัวแตกหักจนสิ้นข่าวคราวใด ๆ ของเฒ่าเว่ยขาเดี้ยงหรือ?”
ซูอี้กล่าวเนิบ ๆ “อย่างเจ้าว่า ผู้ตายไร้ค่า หากเฒ่าเว่ยอยู่กับพวกเจ้า เขาจะไม่ตายจนกว่าพวกเจ้าจะบรรลุเป้าหมายเป็นแน่แท้”
ชายชราเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะหันหลังกลับไปโดยไร้วาจา
ครานี้ ซูอี้หาหยุดเขาไว้ไม่
จนกระทั่งเมื่อร่างของชายชราหายลับไปในยามพลบค่ำ ซูอี้จึงละสายตา
“นายน้อย เราไม่สะกดรอยไปหรือ?”
เว่ยซานอดถามมิได้
“การสะกดรอยต่างอันใดกับตามอีกฝ่ายไป?”
ซูอี้ว่า “เราเพิ่งหวนสู่มาตุภูมิ ศัตรูก็โผล่มาใช้เฒ่าเว่ยเป็นประกัน ศัตรูหนนี้…เหนือธรรมดาชัด ๆ”
กล่าวถึงตรงนี้ เขาก็พึมพำอย่างดูโล่งอก “ทว่า นี่ก็เป็นข่าวดีสำหรับข้า อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้แล้วว่าเฒ่าเว่ยน่าจะยังไม่ตาย นั่นก็พอแล้ว”
เว่ยซานนิ่งไป หัวใจปั่นป่วน
จริงดังว่า หากบิดาบุญธรรมของเขาสิ้นไปด้วยหายนะเก่าก่อน คงเป็นเรื่องมิน่ายอมรับได้ที่สุด
“นายน้อย เช่นนั้นเราจะรอที่นี่หรือ?”
เว่ยซานว่า
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ พลางนำเก้าอี้หวายออกมานั่ง “รอให้พวกนั้นมาหาเองเถิด”
เขานำไหสุราออกมาดื่มเงียบ ๆ
แสงตะวันอัสดงแดงดุจเพลิงอาบไล้ทั่วสรรพางค์ ให้บรรยากาศสงบเงียบ
เห็นเช่นนี้ เว่ยซานเองก็สงบสติลงได้อย่างสมบูรณ์ ยืนเงียบ ๆ อยู่ด้านข้าง
“อันที่จริง ข้าจำได้แล้วว่าคนเมื่อครู่คือผู้ใด”
ทันใดนั้น ซูอี้ก็กล่าวขึ้น “กาลก่อนในศึกด่านหุบเขาสมุทรสรวง จอมมารหกอัปมงคลพาราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดกลุ่มหนึ่งมาพยายามล้อมสังหารข้า และเจ้าเฒ่าเมื่อครู่ก็เป็นลิ่วล้อรับใช้จอมมารหกอัปมงคลผู้หนึ่ง”
“เดิมทีข้าใจร้อน อยากเร่งให้จบไว้ ๆ จึงทำเพียงทะลวงวงล้อมจากไป มิได้สังหารให้ราบคาบ”
“เจ้าเฒ่านี่ก็คือหนึ่งในผู้เหลือรอดจากกาลนั้น”
“เพียงแค่ว่า ข้าไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดเขาจึงมาหาเราก่อนยามนี้ มิใช่ว่าจอมมารหกอัปมงคลและ ‘พรรคมารนภาโลหิต’ เของเขาถูกทำลายไปแล้วหรือ?”
ซูอี้กล่าวพลางอดขมวดคิ้วมิได้
จอมมารหกอัปมงคล ตัวตนระดับยักษ์ใหญ่เมื่อแสนนานกาลก่อนได้ตายลงอย่างอนาถด้วยดาบของทัศนาจารย์ระหว่างศึก ณ ด่านหุบเขาสมุทรสรวง
ในสมัยนั้น ศึกนี้สร้างกระแสปั่นป่วนในโลกหล้า ผู้คนทั่วทศทิศตะลึงอึ้ง
และหลังศึกนั้นเองที่ขุมกำลังมารสูงสุดอย่าง ‘พรรคมารนภาโลหิต’ ของจอมมารหกอัปมงคลไร้ผู้นำ ระส่ำระสายแหลกลาญจนสิ้นไป
“ข้าก็แปลกใจเช่นกัน ตลอดกาลผ่านมาที่ข้าสัญจรในจักรวาลพร่างดาว ข้าไม่เคยได้ยินการฟื้นคืนของพรรคมารนภาโลหิตแต่อย่างใด”
เว่ยซานว่า “หากรู้เช่นนี้ ข้าน่าจะรั้งตัวเจ้าเฒ่าเมื่อครู่ไว้เสียก็ดี”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “ในเมื่อเขาเป็นผู้เดินสาส์น เขาย่อมไม่รู้เรื่องราวภายในมากนักเพื่อป้องกันการรั่วไหลของข่าว และข้าแน่ใจว่าต่อให้สืบวิญญาณเขาไป เราก็จะมิได้สิ่งใดมาเลย”
เว่ยซานชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะครุ่นคิดลึกซึ้ง
ท้องนภามืดลง แสงอัสดงค่อย ๆ ลางเลือน รัตติกาลเยื้องกราย
เมืองหมื่นหลิวซึ่งอยู่ไกลออกไปสว่างไสวเจิดจรัส สาดส่องทั่วนภายามราตรี และยังมีเสียงผู้คนสัญจรเสสรวลเซ็งแซ่ดังมาแว่ว ๆ
มันยังทำให้ซูอี้และแดนรกร้างที่พวกเขาอยู่ยิ่งดูเวิ้งว้างมากขึ้นทุกขณะจิต
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน
จนกระทั่งใกล้มืดสนิท เมฆาดำทะมึนพลันปกคลุมทั่วท้องนภาอย่างเงียบงัน บดบังหมู่ดาราไว้ภายใน
บรรยากาศกดดันเริ่มแผ่ไปทั่วบริเวณ
เว่ยซานเย็นยะเยือกเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองทันที
ในรัตติกาลอันมืดมิดมีหมอกลงหนา และร่างหนึ่งเคลื่อนไหวบนนภา ก้าวเดินเข้ามาใกล้
เขาเป็นชายอาภรณ์สีดำผู้หนึ่ง สวมหน้ากากสำริด ร่างของเขาผอมสูง หาซุกซ่อนปราณในกายไม่
เขาก้าวลงมา เคลื่อนกายรวดเร็วในพริบตาราวระยะทางย่นเหลือไม่กี่ชุ่น
สีหน้าของเว่ยซานเผยความเคร่งเครียด รอคอยอย่างเงียบขรึม
ซูอี้ทอดร่างบนเก้าอี้หวาย สองตาปิดสนิทราวอยู่ในนิทรา
“นี่คือจี้หยกของเฒ่าขาเดี้ยงผู้นั้น”
ชายสวมหน้ากากสำริดยืนห่างออกไปร้อยจั้ง โยนจี้หยกชิ้นหนึ่งออกมา
เว่ยซานโคจรเคล็ดวิชาอย่างเงียบ ๆ นำจี้หยกนั้นมาในมือ และหลังพบว่าไร้อันตรายใด ๆ เขาก็พินิจมันอย่างตั้งใจ
ครู่ต่อมา เขาก็สูดหายใจลึก ๆ พลางกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “นายน้อย นี่เป็น ‘จี้หยกถนอมจิต’ ที่พ่อบุญธรรมข้าถือติดตัวตลอดเวลาจริง ๆ”
ซูอี้ลืมตาขึ้นกล่าวกับชายหน้ากากสำริดอย่างใจเย็น “ว่าข้อแม้มา”
เห็นได้ชัดว่าชายสวมหน้ากากสำริดเองก็หาเยิ่นเย้อไม่ “ตามข้ามาที่หนึ่ง”
ทว่าชายสวมหน้ากากสำริดกล่าวเพิ่มเติมว่า “หากเจ้ามิไป ตาเฒ่าขาเดี้ยงตายแน่”
วาจานิ่งสงบ ทว่าไร้ข้อกังขา
หัวใจของเว่ยซานกระตุกวูบ นัยน์ตาเหลือบมองไปทางซูอี้อย่างไม่รู้ตัว
ซูอี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้หวาย สีหน้าสุขุมไร้ความไหวหวั่น “ดูเหมือนเจ้าก็ไม่ใช่ตัวต้นเรื่องเช่นกัน กลับไปบอกคนเบื้องหลังเจ้าเสีย ว่าหากต้องการมาเจรจาข้อตกลง จงพาเฒ่าเว่ยมาหาข้า หากเฒ่าเว่ยตาย ข้าจะไปคิดบัญชีพวกเจ้าเรียงหัว”
“เจ้าเว่ยน้อย ไปกันเถอะ”
กล่าวจบ เขาก็เก็บเก้าอี้หวาย หันหลังจากไป
ชายสวมหน้ากากสำริดตะลึงไปอย่างเห็นได้ชัด
คนผู้นี้…ข่มขู่ไม่ได้เลยจริง ๆ หรือ!?