บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1312: กักกัน
ตอนที่ 1312: กักกัน
ท่ามกลางรัตติกาล
เว่ยซานเดินตามหลังซูอี้ไป จนกระทั่งร่างของทั้งสองค่อย ๆ จากไปไกล
ดวงตาของชายสวมหน้ากากสำริดเย็นเยียบ “หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็ทำได้เพียงต้องเชิญทัศนาจารย์ไปด้วยตัวเอง”
คำว่า ‘เชิญ’ ถูกเน้นเป็นพิเศษ
เปรี้ยง!
เสียงคำรามสนั่นก้องราตรี
อากาศสลายไป หอกสั้นทะยานเยี่ยงลำแสงทอง ฉีกกระชากเวหาพุ่งเข้าใส่ซูอี้
หอกสั้นสีทองเล่มนี้ปกคลุมด้วยแสงเซียน บดขยี้ป่าเขาแร้นแค้นนี้จนแหลก
ดาบแห่งโลกาในมือซูอี้พลิ้วไหว
เคร้ง!
หอกสั้นสีทองถูกสกัดไว้ได้
ยิ่งกว่านั้น หอกสั้นสีทองยังกระเด็นออกไปกะทันหันพร้อมกับละอองแสงโปรยปรายเยี่ยงพิรุณ
แทบจะในขณะเดียวกัน ดาบหยกปลายมน ค้อนทองแดงและตราประทับวิถีก็ปรากฏขึ้นบนอากาศ ทะยานเข้าโจมตีซูอี้จากต่างทิศ
รวดเร็วยิ่งนัก
สมบัติสามชิ้นนี้ปรากฏขึ้นแทบจะพร้อมเพรียงกัน แต่ละสิ่งล้วนอาบแสงเซียนจรัสจ้า พลังของมันเหนือจินตนาการ
ทว่าซูอี้นั้นดุจผู้หยั่งรู้ เขาคว้าแขนเว่ยซานแล้วหายวับไปทันที
เปรี้ยง!
สถานที่ซึ่งเขายืนอยู่แต่เดิมแตกสลาย อากาศป่วนปั่น
“หลบได้เสียด้วย”
“ก็แค่นักดาบแห่งยุคอดีต ควรค่าให้พูดถึงด้วยหรือ?”
บทสนทนาหนึ่งดังขึ้น
นอกจากชายสวมหน้ากากสำริด ก็ยังปรากฏร่างคนเพิ่มอีกสามคนจากสารทิศต่าง ๆ
หนึ่งเป็นชายชราถือดาบหยกปลายมน เขาคลุมไหล่ด้วยผ้าไหม บนร่างทับด้วยชุดคลุมขนนก กิริยาดุจเซียน กฎเต๋าพร่างพรายรอบร่าง
หนึ่งเป็นชายร่างกำยำผู้มีเส้นผมยุ่งเหยิงราวคนป่า พาดค้อนทองแดงไว้บนบ่า ดวงตาคมกล้าเยี่ยงระฆังทองแดงอันมีสายฟ้าวูบไหว
และอีกคนเป็นชายหนุ่มผู้ดูสง่างาม หล่อเหลากล้าแกร่ง เหนือศีรษะมีตราประทับวิถีลอยคว้าง และมีนิมิตบงกชสีน้ำเงินผลิบานกลางอากาศ
ชายสวมหน้ากากทองแดงถือหอกสั้นสีทอง ดูเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง
“นายน้อย สมบัติในมือพวกเขาทั้งหมดดูจะอยู่ในขอบเขตจุติสรวงนะขอรับ”
เว่ยซานประหลาดใจ
“เจ้ารู้ที่มาของพวกเขาหรือไม่?”
ซูอี้ถาม
คนทั้งสี่ล้วนแต่เป็นราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัด ทว่ากลับแปลกหน้ายิ่ง
“ไม่อาจทราบขอรับ”
เว่ยซานส่ายหน้า
ความจริงนี้ผิดปกติโดยมิต้องสงสัย
ต้องทราบว่าทั่วจักรวาลพร่างดาวนี้ ตัวตนทั้งหมดซึ่งบรรลุสู่ขอบเขตไร้ขีดขำกัดล้วนมีที่มายิ่งใหญ่ แม้จะดูแปลกหน้า แต่ก็ยังพอเดาที่มาจากอาภรณ์และปราณของอีกฝ่ายได้
ทว่ายามนี้ ซูอี้กับเว่ยซานกลับมิเห็นถึงที่มาของอีกฝ่าย ซึ่งพิสูจน์ว่าหากอีกฝ่ายไม่ได้จงใจซ่อนปราณบนร่าง ก็ต้องมาจากขุมกำลังปริศนา!
ค่ำคืนมืดสนิทดุจหมึกย้อม จิตสังหารอัดแน่น
บรรยากาศกดดันดุจคลื่นคลั่งถาโถมทั่วโลกหล้า
ไกลออกไป เมืองหมื่นหลิวเจิดจรัสคลาคล่ำ ทว่าเหล่าผู้ฝึกตนในเมืองดูจะไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าในป่าเขาที่ห่างจากเมืองนี้กำลังจะมีศึกใหญ่เกิดขึ้น
“ระวังตัวด้วย บางคนกำลังลอบใช้สมบัติลับย้อนกระแสกฎสวรรค์ หยุดโลกที่เรายืนอยู่ไว้สิ้น”
ซูอี้กระซิบด้วยสีหน้าไร้สะทกสะท้าน
บางผู้กำลังใช้สมบัติลับแปรฟ้าดินเป็นกรงขัง
และเขากับเว่ยซานก็จะกลายเป็นสัตว์ร้ายในกรง!
การที่สามารถกระทำเช่นนี้ได้อย่างไร้เสียงสามารถพิสูจน์ได้ว่าอีกฝ่ายเตรียมตัวมาพร้อมเป็นอย่างดี
ตู้ม!
คนทั้งสี่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามลงมือทันทีโดยมิพูดพร่ำทำเพลง
แสงสมบัติจรัสจ้าสาดผ่านรัตติกาลจากแดนสรวง อำนาจเลิศล้ำถล่มนภาทลายแดนดินกระหน่ำเข้าโจมตีซูอี้
วิถีเต๋าของคนทั้งสี่นั้นห่างไกลกับอำนาจตัวตนทั่วไปในขอบเขตไร้ขีดจำกัด และเมื่อเพิ่มสมบัติระดับจุติสรวงเข้าไป ความแข็งแกร่งของพวกเขาจึงเกินคาดคิด
สีหน้าดูแคลนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูอี้
คนเหล่านี้เตรียมตัวมาดีจริง ๆ อำนาจของพวกเขามิอาจดูแคลนได้ หรือกล่าวคือ ยอดฝีมือในขอบเขตไร้ขีดจำกัดในโลกหล้าจะสิ้นท่ายามเผชิญกับวงล้อมเช่นนี้
น่าเสียดายที่มันห่างไกลเกินอยู่ในสายตาของซูอี้มานานแล้ว
ตู้ม!
ดาบแห่งโลกาส่งวจีกระจ่างชัดขณะถูกซูอี้ตวัดขึ้นไปบนอากาศ
คลื่นปราณดาบแผ่กระจายไปทั่วทศทิศ
เปรี้ยง!
สุญญะแหลกมลาย ทั่วทิศถล่มล่ม
ด้วยหนึ่งปราณดาบนี้ ทุกที่ที่มันกวาดผ่านล้วนถูกทำลายสิ้น
วงล้อมของยอดฝีมือขอบเขตไร้ขีดจำกัดทั้งสี่คนพังทลายลงอย่างง่ายดาย
“แข็งแกร่งนัก!”
“ไม่ใช่ว่าหากเรามีสมบัติขอบเขตจุติสรวง เราจะปราบเขาได้ง่าย ๆ หรือ?”
เสียงอุทานดังตามมา
ทั้งสี่คนล้วนผงะ สีหน้าของพวกเขาเผยความเคร่งขรึม
“ระวังด้วย เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของเขาต่างจากการคาดเดาของเรา!”
ชายสวมหน้ากากสำริดรีบส่งกระแสเสียงปราณบอก
ก่อนที่พวกเขาจะลงมือ พวกเขาได้รวบรวมข้อมูลและสารพัดความสำเร็จของซูอี้ ผู้เป็นร่างเวียนวัฏแห่งทัศนาจารย์มาล่วงหน้าแล้ว
แต่ท้ายที่สุดกลับมีข้อสรุปหนึ่งซึ่งทำให้หัวใจของพวกเขากระตุกวูบ
ราชันแห่งภูมิคนใดก็มิอาจเป็นภัยต่อทัศนาจารย์ กระทั่งในขอบเขตไร้ขีดจำกัด!
ดังนั้นยามลงมือหนนี้ พวกเขาทั้งหมดจึงใช้สมบัติในขอบเขตจุติสรวงเป็นอาวุธสังหาร โดยหวังว่าจะจับตัวอีกฝ่ายได้
ทว่ายามลงมือจริง พวกเขาก็ตระหนักแล้วว่าตัดสินผิดพลาด!
และแล้วซูอี้ก็ได้ลงมือฟาดฟันดาบออกมาอีกหนโดยไม่มอบโอกาสให้คนเหล่านั้นครุ่นคิดเลย
อาภรณ์เขียวพลิ้วสะบัดกลางราตรี เขาเคลื่อนกายด้วยท่าทางที่ดูสูงส่งเหนือผู้ใด
ทว่าดาบแห่งโลกาในมือของเขากลับเปี่ยมจิตสังหาร แสงวิถีดุจนิมิตแปรเปลี่ยนเป็นภาวะดาบคมกริบ สาดรัศมีเจิดจรัสทั่วบรรพตลำธาร
ฉับ!
ซูอี้สะบัดดาบดุจเทพเซียนร่ายระบำ
ภาวะดาบเกินสิ่งใดเทียบดุจแสงสว่างสู่แดนหล้า ก่อนที่มันจะแผ่ไปทั่วโลกหล้า
สี่ยอดฝีมือในขอบเขตไร้ขีดจำกัดร่วมมือต่อสู้ ต่างคนต่างทุ่มสุดตน มิกล้าออมมืออีกต่อไป
ตู้ม!
แสงสมบัติดุจคลื่นวารี ปราณดาบเดือดพล่านทะยานลิ่ว
เพียงพริบตา การประสานการโจมตีของทั้งสี่คนก็พังทลาย สมบัติสะท้านแทบหลุดมือ หน้าของแต่ละคนล้วนเปลี่ยนสี
ซูอี้หาได้หยุดเพียงนี้ไม่ หนึ่งดาบทะยานฟันไปเบื้องหน้า
ดาบถูกฟาดฟันออกไป และตามด้วยเสียงกระแทกสนั่นลั่น ดาบหยกปลายมนหลุดจากมือ และชายชราในชุดคลุมขนนกผู้ใช้สมบัตินี้ก็ถูกสังหารในดาบเดียว
โลหิตทะลักไหลเยี่ยงน้ำตก!
“ตาย!”
ชายร่างกำยำดุจคนเถื่อนยุคโบราณฟาดค้อนทองแดงเข้าใส่ ทั่วฟ้าดินสนั่นไหว แรงกดดันกระชั้นรุนแรง ระเบิดแสงออกมาเยี่ยงน้ำตก
ซูอี้บิดข้อมือ ดาบแห่งโลกาพลันคำราม จากนั้นมันก็กลายเป็นลำแสงทะลวงคอของชายร่างกำยำในพริบตา
การโจมตีสวนรวดเร็วเกินตั้งตัว หนึ่งดาบผนึกคอเผด็จศึก!
ดวงตาของชายร่างกำยำเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ
ท้ายที่สุด เขาก็สลายไปทั้งกายและวิญญาณ
“ถอย! ถอยเร็ว!”
ชายสวมหน้ากากสำริดตะลึงอึ้ง ก่อนที่เขาจะรีบเผ่นหนีไป
ทว่าทันใดนั้น ปราณดาบจากเก้าชั้นฟ้าก็ร่อนลงมาปิดทางหนีของเขาไว้
เขาเร่งใช้หอกสั้นสีทองในมืออย่างสิ้นหวัง ทว่าต่อหน้าปราณดาบร้ายกาจเช่นนี้ เขาก็เป็นดั่งตั๊กแตนขวางเกวียน
ร่างของชายสวมหน้ากากสำริดจมหายไปในคลื่นปราณดาบพร้อมเสียงเปรี้ยงสนั่น
เพียงพริบตา สามศัตรูใหญ่ก็สิ้นสูญ!
“อย่าเข้ามานะ!”
เสียงหนึ่งร้องเสียงดังมาจากระยะไกล
บุรุษผู้ดูราวชายหนุ่มรูปงามพุ่งทะยานเข้ามาหาเว่ยซาน ก่อนจะกดตราประทับวิถีลงเหนือศีรษะของเว่ยซานทันที
“หากเจ้ากล้าเข้ามา ข้าจะฆ่าเขา!”
ชายผู้นั้นตะโกน
ซูอี้เหลือบมองเขาพลางกล่าวกับเว่ยซาน “ข้าจะไปฆ่าเจ้าคนที่ซ่อนตัวอยู่ก่อนนะ”
เขากล่าวจบก็หันหลังจากไป
ชายผู้นั้น “???”
“เขาไม่ห่วงความเป็นความตายของเจ้าเลยหรือ?”
เขากล่าวอย่างมิอยากเชื่อ
เว่ยซานกล่าวพลางแสยะยิ้ม “เจ้าห่วงตนเองก่อนเถอะ”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
หัวใจของชายผู้นั้นเต้นกระตุก
ขณะเดียวกันนั้นเอง หัตถ์ใหญ่ข้างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ คว้าตราประทับวิถีซึ่งกดเหนือศีรษะของเว่ยซานไว้
“สมบัติชิ้นนี้ไม่เลว แต่ด้วยวิถีเต๋าของเจ้า มันมิพอใช้อำนาจแท้จริงของมัน สิ้นเปลืองของดีจริงแท้”
ร่างของซงเฮ่อปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ ถือตราประทับวิถีในมือพลางออกความเห็นอย่างจริงจัง
ซงเฮ่อสวมมงกุฎดอกฝ้าย ชุดนักพรตเต๋า มีแสงเซียนเคลื่อนอยู่รอบกายบางเบาดุจเทพเซียน กิริยาเลิศล้ำของเขาห่างไกลเกินเทียบได้กับราชันแห่งภูมิในโลกหล้า
“ฉลาดนี่”
ซงเฮ่อแย้มยิ้ม “เจ้าวางใจเถิด หลังจากสืบวิญญาณเจ้าเสร็จ ข้าจะส่งวิญญาณเจ้าเอง จะได้ไม่ต้องทนทุกข์กับความเป็นไปบนโลกหล้าอีก”
ชายผู้นั้นกรีดร้องอย่างหวาดผวา และพยายามเผ่นหนีสุดชีวิต
ตู้ม!
ตราประทับวิถีโถมลงมา บงกชสีน้ำเงินเบ่งบาน บดขยี้ร่างของชายผู้นั้นจนแหลกไม่เหลือชิ้นดี
ทันทีที่วิญญาณของชายผู้นั้นทะยานออก เขาก็ถูกซงเฮ่อคว้าไว้ในมือ
“สมบัติชิ้นนี้ทรงพลังจริง ๆ”
เว่ยซานอดทึ่งไม่ได้
“หากเจ้าชอบมันก็รับไปเถอะ แน่นอนว่าหากใต้เท้าซูเห็นด้วยนะ”
ซงเฮ่อกล่าวทั้งที่ยังยิ้ม
ร่างของเขาสูงตระหง่านโดดเด่น ทุกการกระทำดูราวกับเทพเซียนในสายตาของโลกหล้า
ทว่าวาจาเหล่านั้นดูจะคล้อยตามซูอี้มิลืมหูตา
ขณะกล่าว ซงเฮ่อก็เริ่มสืบวิญญาณ
ด้วยความแข็งแกร่งของเขา แม้ยามนี้จะเป็นเพียงวิญญาณอาสัญ เขาก็ยังไม่ใช่ผู้ที่ราชันแห่งภูมิจะรับมือได้อยู่ดี
การสืบวิญญาณย่อมไร้ปัญหาใด ๆ
ทว่า พริบตาต่อมา ม่านตาของซงเฮ่อก็หดตัว เขาคว้าเว่ยซานแล้วเผ่นถอยไปหลายร้อยจั้ง
ตู้ม!
ณ จุดเดิมที่พวกเขาเคยอยู่ วิญญาณของชายผู้นั้นระเบิดสิ้นไป
“นี่…”
เว่ยซานประหลาดใจ “หรือจิตวิญญาณของคนผู้นั้นจะถูกบงการอยู่?”
ซงเฮ่อขมวดคิ้วขณะพยักหน้า “ใช่ มีตัวตนในขอบเขตจุติสรวงลงมือทิ้งตราต้องห้ามไว้ในจิตวิญญาณคนผู้นี้ และยามใดที่มีผู้สืบวิญญาณเขา คนผู้นั้นจะถูกตอบโต้จนบาดเจ็บ”
“เป็นฝีมือตัวตนในขอบเขตจุติสรวง?”
แม้จะยังคงตกตะลึง แต่เว่ยซานก็ตระหนักได้แล้วว่าที่มาของศัตรูเหล่านี้ต้องไม่ธรรมดา!
“กาลเวลาผันผ่าน ในเมื่อข้าปรากฏขึ้นในโลกหล้าได้ ต้องมีวิญญาณอาสัญตนอื่นทำได้เช่นกัน”
ดวงตาของซงเฮ่อวูบไหว “ในความคิดข้า ในหมู่ขุมกำลังสูงสุดในโลกหล้าทุกวันนี้ เกรงว่าคงมีวิญญาณอาสัญที่มีพลังในขอบเขตจุติสรวงกันแล้ว”
“และภายหน้าจะยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้นมากกว่านี้”
“การที่วิญญาณอาสัญเหล่านั้นปรากฏกายขึ้น สิ่งที่พวกเขาต้องการที่สุดคือปลดคำสาปในร่าง และผู้เดียวที่ทำเช่นนั้นได้ก็คือใต้เท้าซู”
เมื่อกล่าวถึงยามนี้ ซงเฮ่อก็รำพึง “นี่ยังหมายความว่าในกาลภายหน้า ข้าเกรงว่าคงมีปัญหามาเยือนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แน่”
เว่ยซานได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว และรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนในเวลาเดียวกัน
“สหายเต๋าวางใจเถิด อำนาจแห่งวัฏสงสารถือไพ่เหนือกว่าวิญญาณอาสัญเช่นข้า พวกเขาเองก็น่าจะรู้เรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นหากพวกเขามิถูกบังคับ เกรงว่าคงมิกล้าปรากฏตัวขึ้นเอง”
ซงเฮ่อว่า “แน่นอน หากพวกนั้นกล้ามา ก็อย่าได้กังวลไป”
ขณะกล่าว สีหน้าของเขาก็เผยความมั่นใจ
ในฐานะยอดคนผู้เคยดูแลหนึ่งสำนักเต๋าแห่งยุคโบราณ เคยมีการฝึกฝนในขอบเขตรวมวิถีเช่นเขา ซงเฮ่อผู้นี้… หาได้เหยาะแหยะไม่!