บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1313: ลองแล้วก็ตาย
รัตติกาลกว้างใหญ่ให้บรรยากาศเหงาหงอยและเงียบสงัด
ใต้ผืนปฐพีพันฉื่อ ร่างหนึ่งเผ่นหนีสุดความเร็ว
เขาเป็นชายชุดดำผู้สวมมงกุฎเหล็ก หน้าตาอัปลักษณ์ ดำดินหนีว่องไวเยี่ยงสายฟ้า
หากเป็นเหตุทั่วไป ผู้ฝึกตนคนอื่นจะไม่อาจตรวจพบการมีอยู่ของเขาได้เลย
ทว่าชายชุดดำดูตื่นตระหนกกลัว สีหน้าแววตาเปี่ยมความตกใจ
“ข้อมูลผิดพลาด ต่อให้ใช้สมบัติในขอบเขตจุติสรวงก็ยังไม่มีทางจัดการร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์ได้!”
“หากกลับไปได้หนนี้ ต้องรายงานต่อ ‘ท่านจ้าวเร้นราตรี’ โดยเร็วที่สุด… หือ?”
ขณะคิดเช่นนี้ สีหน้าของชายชุดดำพลันแปรเปลี่ยน จากนั้นร่างของเขาก็เคลื่อนหลบ
ตู้ม!
หนึ่งปราณดาบทะลวงผ่านชั้นพิภพพันฉื่อฟาดฟันลงมา
แสงดาบอันร้ายกาจฟาดฟันมาอย่างบ้าคลั่ง ชายชุดดำไม่มีโอกาสได้ครุ่นคิดและตัดสินใจเปลี่ยนทางหนีในฉับพลัน
เหงื่อกาฬแตกพลั่ก สั่นเทิ้มทั้งใจกาย
เมื่อครู่นี้ หากเขาหยุดไม่ทัน คงไม่พ้นถูกปราณดาบนั้นฟันร่างสิ้นสูญ!
‘เจ้านั่นหาร่องรอยเราได้หรือ? เขาทำได้เช่นไรกัน?…’
ชายชุดดำเพิ่งคิดถึงตรงนี้
ตู้ม!
หนึ่งปราณดาบก็ทะลวงแดนดินฟาดฟันลงมาอีกครั้ง
ชายชุดดำอุทานพลางเปลี่ยนทิศทางอีกครั้ง
ในเวลาต่อมา ไม่ว่าเขาจะหนีไปทางใด ก็จะมีหนึ่งปราณดาบโปรยปรายให้ต้องหนีจ้าละหวั่นทุกคราไป
ฟู่!
โลหิตกระอักออกจากปาก แผลดาบอาบเลือดแผลหนึ่งปรากฏบนร่างเขา
เมื่อมองขึ้นไปก็พบว่าแดนดินถล่มลงเป็นหลุมใหญ่นานแล้ว
และเหนือหลุมดังกล่าว ร่างหนึ่งยืนตระหง่านอยู่ มองลงมาที่เขาด้วยแววตาลึกล้ำ
“ไยไม่หนีไปเล่า?”
ซูอี้กล่าวด้วยแววตาเย้าหยอก
ชายชุดดำสูดหายใจลึก ๆ “ไฉนเมื่อครู่จึงไม่ลงมือให้เด็ดขาด?”
หลังจากเขาสงบใจลง เขาก็พบว่ายามหนีเมื่อคราก่อน หากอีกฝ่ายลงมืออย่างไร้ปรานี เขาคงตายไปแล้ว!
ซูอี้กล่าวอย่างสุขุม “ข้าอยากรู้บางเรื่อง”
ชายชุดดำส่ายหน้ากล่าว “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากถามอันใด และข้าบอกเจ้าได้ชัด ๆ ว่าเราทั้งหลายล้วนทำตามคำสั่ง ไม่รู้ความจริงในสิ่งที่เจ้าอยากรู้แต่อย่างใด”
หลังจากเว้นช่วงเล็กน้อย เขาก็กล่าวด้วยแววตาซับซ้อน “ค้นวิญญาณไปก็ไร้ผล ก่อนจะทันได้ลงมือ จิตวิญญาณของเราแต่ละคนล้วนถูกพลังต้องห้ามฝังไว้ ขอเพียงวิญญาณถูกค้น มันก็จะระเบิดตนเอง”
ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อยขณะกล่าว “งั้นข้าเก็บเจ้าไว้ จะมีประโยชน์อันใด?”
ว่าพลาง เขาก็ยกดาบแห่งโลกาในมือขึ้น
“ช้าก่อน!”
ชายชุดดำรีบกล่าวขึ้นด้วยหน้าที่เปลี่ยนสีไป “เจ้าไม่อยากรู้หรือไรว่าข้าทำตามคำสั่งผู้ใดอยู่?”
ซูอี้ว่า “หากเจ้าปริปาก เจ้าจะรอดตาย”
“เราล้วนทำตามคำสั่งท่านจ้าวเร้นราตรี และทุกการกระทำของเราล้วนมีท่านจ้าวเร้นราตรีคอยสั่งการเบื้องหลัง”
ชายชุดดำรีบกล่าวรัวเร็ว “ขณะนี้ ท่านจ้าวเร้นราตรีอยู่ในเมืองหมื่นหลิว!”
ซูอี้ว่า “เราจะหาเขาพบได้เช่นไร?”
เมืองหมื่นหลิวกว้างใหญ่ยิ่งนัก เทียบได้กับเมืองย่อม ๆ อันมีผู้คนมากมายดุจหยาดวารีในท้องสมุทร ไม่ต่างจากการงมหาเข็มในกองฟาง
ชายชุดดำนำยันต์หยกสีดำออกมาส่งให้ซูอี้ชิ้นหนึ่ง “ด้วยยันต์นี้ เจ้าจะสามารถสืบร่องรอยของท่านจ้าวเร้นราตรีได้”
ซูอี้มองลงมายังยันต์ลับสีดำซึ่งถูกสลักลวดลายมารเล็กละเอียดประหลาดตาเอาไว้ และยังสลักรูปบานประตูบิดเบี้ยวสีเลือดไว้เบื้องหลัง
“เมื่อข้าพบท่านจ้าวเร้นราตรี ข้าจะปล่อยเจ้าไป”
ซูอี้เก็บยันต์ลับสีดำ ก่อนจะคว้ามือบนอากาศ และรวบร่างชายชุดดำไว้
“ข้าหวังเพียงว่า… ใต้เท้าทัศนาจารย์จะรักษาวาจา!”
ชายชุดดำรำพึง
…
เมืองหมื่นหลิว
ถนนทุกสายสว่างไสวขึ้นกลางราตรี
ในสวนแห่งหนึ่ง
ใต้ต้นหลิวเก่าแก่ขนาดหลายคนโอบ มีหญิงสาวน่ารักจิ้มลิ้มผู้หนึ่งนั่งอยู่
หญิงสาวผู้นั้นสวมชุดกระโปรงสีทับทิม เรือนผมสยายยาวเยี่ยงน้ำตก นั่งปอกผลทับทิมอยู่บนเก้าอี้ไม้ ชามใบน้อยตรงหน้านางเต็มไปด้วยเมล็ดทับทิมวับวาวเยี่ยงอัญมณี
มีเสียงเคาะที่ประตู
หญิงสาวกล่าวโดยหาเงยหน้าขึ้นไม่ “เข้ามาสิ”
เสียงของนางนุ่มนวลและรื่นหู
เมื่อประตูสวนเปิดออก ซูอี้ก็เดินเข้ามา
และเมื่อเขาเห็นหญิงสาว คิ้วก็เลิกขึ้น นางเป็นวิญญาณอาสัญ!
“เจ้าคือผู้มีเคล็ดเวียนวัฏสงสารสินะ ข้ารออยู่เจ้าอยู่ที่นี่นานแล้ว”
สตรีในชุดกระโปรงสีทับทิมเงยหน้าขึ้นกล่าวยิ้ม ๆ
“เจ้าคิดไว้แล้วว่าหรือว่าข้าจะมา?”
ซูอี้ก้าวเข้ามา
สวนนี้กว้างใหญ่ มีสะพานน้อย ศาลาและธารหลั่งริน
หญิงสาวนั่งอยู่ใต้ต้นหลิวใหญ่อย่างสงบเสงี่ยมระคนสำราญใจ
“เปล่า ข้าคิดว่าเจ้าจะตาย และข้าก็ไม่ต้องลงแรงใด ๆ อีก แต่ข้ากังวลว่าเจ้าจะมิตาย จึงต้องมารอที่นี่เอง”
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีทับทิมกล่าวเสียงใส “ยามนี้ดูเหมือนว่าพวกที่ข้าส่งไปจัดการเจ้าก่อนหน้านี้ ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือสูงสุดในโลกหล้าปัจจุบัน แต่ก็ทำอันใดเจ้ามิได้อยู่ดี”
กล่าวถึงตรงนี้ นางก็นำชามหยกใบน้อยอันบรรจุเมล็ดทับทิมไว้ขึ้นมา “กินไหม?”
ซูอี้เมินมันไปทันที “เจ้าหรือคือท่านจ้าวเร้นราตรี?”
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีทับทิมพยักหน้าน้อย ๆ “ก็แค่หนึ่งในนั้นแหละ”
วาจาสื่อว่ามีท่านจ้าวเร้นราตรีคนอื่น ๆ นอกจากนางอยู่!
ซูอี้ว่า “เจ้ามาจากขุมกำลังใด?”
สตรีในชุดกระโปรงสีทับทิมหัวเราะออกมา “การถูกเจ้าสอบปากคำเยี่ยงนักโทษนั้นไม่น่าสบายใจเลยจริง ๆ”
ซูอี้กล่าวเนิบ ๆ “ไม่ต้องหัวเราะให้มากนัก ร่วมมือกับข้าแต่โดยดี เจ้าจะรอด หาไม่ก็ตาย”
สตรีในชุดกระโปรงสีทับทิมเงยหน้าขึ้น กรอกเมล็ดทับทิมในชามใบน้อยเข้าปาก เคี้ยวแก้มตุ่ยขณะพูดอู้อี้ “ได้ หากเจ้าออกจากสวนนี้ได้ ข้าไม่ถือหากจะบอกความจริงเจ้าบ้าง”
ซูอี้ว่า “แค่เจ้าลำพังหรือ?”
สตรีในชุดกระโปรงสีทับทิมกล่าวยิ้ม ๆ “ข้าคือวิญญาณอาสัญ ย่อมกลัวพลังแห่งวัฏสงสารเป็นที่สุด ดังนั้นยามใดที่ข้าต้องลงมือเอง ข้าย่อมไม่พลาด”
นางว่าพลางดีดนิ้ว
ทันใดนั้น ทั่วทิศรอบสวนก็ปรากฏคนสี่ร่างขึ้น
คนเหล่านั้นมีกันทั้งชายและหญิง และทุกคนล้วนเป็นวิญญาณอาสัญ!
ในมือของคนเหล่านั้นถือธงสีดำธงหนึ่ง แสงสีดำวนเวียน ปราณเซียนเคลื่อนไหววูบไปมา
“มหาค่ายกล?”
ซูอี้ขมวดคิ้ว
“นี่มิใช่มหาค่ายกลธรรมดา”
สตรีในชุดกระโปรงสีทับทิมอธิบาย “นามของมันคือ ‘ค่ายกลโลกาถล่มภูผาฝังสมุทร’ ประกอบด้วยค่ายกลสังหารระดับจุติสรวงสี่สิบเก้าค่าย และเมื่อนานมาแล้ว ค่ายกลนี้เคยเป็นค่ายกลสังหารพิทักษ์สำนักของขุมกำลังเซียนสูงสุดแห่งหนึ่ง แข็งแกร่งเสียจนสามารถสังหารยอดคนในขอบเขตจุติสรวงได้”
“ช่างน่าเสียดายที่โลกหล้าทุกวันนี้ถดถอยกว่าบรรพกาล และต่อให้ข้าทุ่มกำลังสุดฝีมือ ก็รีดเร้นพลังค่ายกลนี้ได้เพียงกึ่ง”
ท้ายที่สุด คู่เนตรงามคล้ายธารวารีของนางก็มองซูอี้ยิ้ม ๆ “แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ดูเหมือนจะสังหารตัวตนเช่นสหายเต๋าได้”
“ลองดูก็รู้เอง”
ซูอี้พลันขยับ
วูบ!
หนึ่งปราณดาบปรากฏกลางอากาศ ฟาดฟันร่างของสตรีในชุดกระโปรงสีทับทิมลงทันที
ทว่าซูอี้กลับขมวดคิ้ว
นี่คือยันต์แทนกาย ลึกลับสุดขั้ว ลวงเนตรทิพย์ของซูอี้ได้!
เมื่อตระหนักเช่นนี้ แววตาของซูอี้ก็แปรเปลี่ยนพิกล มุมปากอดยกยิ้มเย้าหยอกมิได้
“ลองก็ลอง”
ไกลออกไปบนชายคา
ร่างของสตรีในชุดกระโปรงสีทับทิมปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ
นางโบกมือขณะแย้มยิ้ม “เริ่มกันเถอะ”
ตู้ม!
แล้วทั้งสวนก็เต็มไปด้วยอำนาจค่ายกลที่ปกคลุมด้วยอักขระจรัสแสงในฉับพลัน
แสงเซียนแผดกล้า วจีวิถีคำรามก้อง ค่ายกลสังหารเช่นนี้เหนือล้ำกว่าระดับราชันแห่งภูมิมากนัก ทั้งยังเป็นอาวุธสังหารระดับจุติสรวงซึ่งสามารถสังหารยอดคนในขอบเขตจุติสรวงได้
แม้จะเป็นเพียงนิมิต แต่ก็เผยจิตสังหารร้ายกาจรุนแรง
สวนใหญ่แปรเปลี่ยนเป็นโลกเร้นลับอันโหดร้ายน่าหวาดผวา
รอบสวน วิญญาณอาสัญทั้งสี่เร่งใช้ธงสำริดโคจรพลังของ ‘ค่ายกลโลกาถล่มภูผาฝังสมุทร’ นี้จนถึงขีดสุด
สตรีในชุดกระโปรงสีทับทิมที่อยู่บนชายคามองเรื่องทั้งหมดนี้ด้วยรอยยิ้ม คู่เนตรงามเปี่ยมความเย็นชาเย้ยหยัน
จะมีผู้ใดในโลกหล้าเข้าใจพลังในขอบเขตจุติสรวงด้วยหรือไร?
ถือครองวัฏสงสารแล้วเช่นไร? มิเห็นจำเป็นต้องลงมือเอง เพียงยืมอำนาจภายนอกเข้าสักหน่อยก็ปราบได้ง่าย ๆ แล้ว!
“ระวังด้วย อย่าฆ่าเขาไปจริง ๆ เสียเล่า”
สตรีในชุดกระโปรงสีทับทิมกล่าวสั่งเสียงเย็น
ขณะนี้ บรรยากาศอ่อนหวานน่ารักของนางหายวับไป ร่างของนางเต็มไปด้วยปราณเย็นชาโดดเดี่ยวดุจผู้นำหนึ่งเดียวในโลกหล้า
“รับทราบ!”
วิญญาณอาสัญสี่คนรับคำสั่งอย่างเคร่งขรึม
ทว่าไม่นานนัก ซูอี้ผู้ติดในค่ายกลก็ระเบิดร่างแหลกเป็นเศษเสี้ยวนับไม่ถ้วน
ทุกคนล้วนผงะ
นี่มันเรื่องอันใดกัน?
พวกเขายังมิทันโจมตีเลย!
“ไม่ คนผู้นั้นดูจะใช้สมบัติลับซึ่งคล้ายยันต์แทนกาย!”
สีหน้าของสตรีในชุดกระโปรงสีทับทิมบนชายคาแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
ทันใดนั้นเอง
ตู้ม!
นอกสวน ปราณดาบสายหนึ่งทะยานขึ้น แปรเปลี่ยนเป็นนิมิตหกวิถีเวียนวัฏอันมืดดำเยี่ยงราตรีกาลปกคลุมทั่วนภา
สี่วิญญาณอาสัญผู้กำลังร่วมมือโคจรค่ายกลล้วนหวาดผวา สัมผัสได้ถึงภัยคุกคามถึงตาย
“นี่มันวัฏสงสาร!”
มีผู้คำรามออก
ตู้ม!
ทว่าปราณดาบก็ระเบิดเปรี้ยง
มันดูราวกับโลกแห่งหกวิถีวัฏสงสารประทับลงมาจากสรวงสวรรค์
สี่วิญญาณอาสัญผงะ พยายามเร่งค่ายกลเข้าสู้ในทันใด
ทว่าก็สายไปก้าวหนึ่ง
ปราณดาบทะยานลง พลังแห่งวัฏสงสารถาโถมใส่ร่างของวิญญาณอาสัญทั้งสี่คนหายไปทันที
“อ๊ากกก!”
“อย่านะ!!”
วิญญาณอาสัญเหล่านี้เป็นเยี่ยงหิมะน้ำแข็งหลอมละลายท่ามกลางเพลิงคลั่ง พวกเขาแต่ละคนล้วนเกินทานทน ถูกกำจัดสิ้นด้วยอำนาจแห่งวัฏสงสาร
ไม่เหลือแม้เพียงร่องรอยเถ้าถ่าน!
เป็นดั่งวาจายามก่อนของปราชญ์หงอวิ๋น ผู้ถือครองวัฏสงสารเป็นเหมือนเจ้าชีวิตของวิญญาณอาสัญ เขาสามารถปลดปล่อยวิญญาณอาสัญจากคำสาป คืนชีวิตใหม่ให้ และยังสามารถสลายวิญญาณให้ตกตายอย่างสมบูรณ์ได้เช่นกัน!
เมื่อสิ้นการควบคุมจากสี่วิญญาณอาสัญ ‘ค่ายกลโลกาถล่มภูผาฝังสมุทร’ ก็สลายไป
ใบหน้าของสตรีในชุดกระโปรงสีทับทิมบนชายคาแดงก่ำ คู่เนตรเดือดดาลเสียจนแทบสำรอกไฟ
ถูกหลอกแล้ว!
มหาค่ายกลถูกใช้ ทว่าเป้าหมายกลับเป็นเพียงสมบัติลับแทนตนของคู่ต่อสู้
และร่างจริงของอีกฝ่ายก็ฉวยโอกาสลงมือ!
“พวกเขาลองแล้วก็ตาย แล้วเจ้าเล่า อยากลองต่อหรือไม่?”
ท่ามกลางราตรี ซูอี้ผู้แต่งกายด้วยอาภรณ์เขียวปรากฏขึ้นจากไกล ๆ มองสตรีในชุดกระโปรงสีทับทิมซึ่งอยู่บนชายคาด้วยรอยยิ้ม
………………..