บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1315: ทั่วโลกหล้าคือศัตรู
ตอนที่ 1315: ทั่วโลกหล้าคือศัตรู
กลางดึก
แดนลับแห่งหนึ่งอันเป็นเอกเทศจากโลกหล้าภายในแคว้นสีชาด
อสนีบาตกระหวัดพัน วูบไหวพริบพราย
ตรงหน้าแท่นโบราณแห่งหนึ่ง ชิ้นกระดูกขาวเนียนดุจหยกสีหิมะและสตรีในชุดกระโปรงสีทับทิมปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ
ชิ้นกระดูกขาวร่วงลงหมุนคว้าง ก่อนจะลอยขึ้นเหนือแท่น
สตรีในชุดกระโปรงสีทับทิมร่วงลงกับพื้นด้วยใบหน้าซีดขาว
“อวี่ลั่ว เจ้าอย่าท้อใจไป ทัศนาจารย์มีพลังแห่งวัฏสงสาร เป็นคู่ปรับของเราโดยธรรมชาติ จะรับมือง่ายได้เช่นไร?”
หนึ่งเสียงบุรุษดังขึ้นแผ่วเบา
ร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่งปรากฏขึ้นเหนือแท่น คว้าชิ้นกระดูกขาวไว้ในมือ
ชายผู้นั้นห้อมล้อมด้วยแสงเซียนสีดำทมิฬ นัยน์ตาเปี่ยมความยิ่งใหญ่ยามจับจ้อง
ทว่ายามมองไปยังสตรีในชุดกระโปรงสีทับทิม สีหน้าของเขาปรากฏเค้าความสงสาร
“ศิษย์พี่ประมุขพรรค ไม่ว่าอย่างไร ทำให้เจ้าซูอี้นั่นตายเสีย!!”
นัยน์ตาของสตรีในชุดกระโปรงสีทับทิมแดงก่ำด้วยความเคียดแค้น
ชายผู้นั้นพยักหน้าว่า “ได้ ข้ารับปากเจ้า”
เขาสวมชุดยาวแขนเสื้อกว้างสีดำ มงกุฎทรงสูงสีทอง นั่งอยู่บนแท่น แสงเซียนรอบกายเขาแปรเปลี่ยนเป็นนิมิตแดนมารสามพันร่าง ร้ายกาจน่าสะพรึงกลัว
เลี่ยหนานเย่!
ประมุขแห่ง ‘พรรคเซียนเร้นราตรี’ หนึ่งในสามขุมกำลังใหญ่แห่งวิถีมารในกาลก่อน และจอมมารผู้เคยเหยียบย่างสู่ขอบเขตจุติมงคลวิถีจุติสรวง!
แม้ยามนี้เขาจะเป็นเพียงวิญญาณอาสัญตนหนึ่ง แต่ความแข็งแกร่งของเขายังคงร้ายกาจเสียจนเกินหยั่ง
และหนิงอวี่ลั่ว สตรีในชุดกระโปรงสีทับทิมก็เป็นศิษย์น้องของเลี่ยหนานเย่
“ศิษย์พี่ หลังเหตุนี้ ข้าสรุปได้ว่าในโลกหล้าทุกวันนี้ ราชันแห่งภูมิทั่วไปในขอบเขตไร้ขีดจำกัดไม่ใช่คู่ต่อกรของคนผู้นี้อีกแล้ว”
หนิงอวี่ลั่วสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวว่า “และวิญญาณอาสัญเช่นข้าก็เสียเปรียบต่อพลังแห่งวัฏสงสาร ไม่อาจกระทำการใด ๆ กับเขาได้เลย หากเป็นเช่นนี้ การจับตัวเขาก็มิง่ายนะเจ้าคะ”
เลี่ยหนานเย่กล่าวยิ้ม ๆ “ไม่หรอก หากต้องการกำจัดคนผู้นี้ ก็ยังมีหนทางอยู่”
หนิงอวี่ลั่วตะลึงไป
เลี่ยหนานเย่ยกมือขึ้นน้อย ๆ
วิ้ง!
ม่านแสงพลันปรากฏ และชายชราชุดดำสวมมงกุฎทรงสูงผู้หนึ่งก็ปรากฏกายในม่านแสง
“ประมุขมีบัญชาใดหรือ?”
ชายชราชุดดำคำนับอย่างนอบน้อม
เลี่ยหนานเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ไปบอกช่างเสื้อว่าข้าเห็นด้วยกับข้อเสนอของเขา ให้เขาพากลุ่มราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดไปยังซากแดนบรรพชนของเรา และอย่างช้าสุดหนึ่งปี เขาจะมียอดฝีมือขอบเขตจิตทารกในวิถีจุติสรวงกลุ่มหนึ่งแน่นอน”
“และข้ามีเรื่องเดียวที่ต้องขอ”
กล่าวถึงตรงนี้ แสงสีเลือดอันน่าสะพรึงก็ปรากฏในดวงตาของเลี่ยหนานเย่ “พาเจ้าหนูชื่อซูอี้มาให้ข้า!”
“ขอรับ!”
ชายชราชุดดำรับคำสั่งอย่างเคร่งขรึม
ม่านแสงสลายไปเงียบ ๆ และร่างของชายชราชุดดำก็หายไป
หนิงอวี่ลั่วอดกล่าวไม่ได้ “ศิษย์พี่ประมุขพรรค ช่างเสื้อผู้นั้นหัวใจลึกล้ำ ชั่วช้าเกินหยั่ง การที่ท่านสนองความต้องการของเขาเช่นนี้ หากเขา…”
เลี่ยหนานเย่กล่าวขัดด้วยรอยยิ้ม “อย่างมากก็สองปี วิถีจุติสรวงจะหวนคืนสู่สวรรค์ และถึงยามนั้น ข้าก็จะหวนคืนสู่โลกาได้อีกครั้ง!”
ดวงตาของเขาแดงฉาน สีหน้าขึงขังเฉยเมย “หากเขาไม่เร่งมือ ข้าจะไม่ให้เขาไปมาตามใจได้หรอก!”
ในฐานะประมุขกลุ่มเต๋าวิถีมารสูงสุดแห่งบรรพกาล ในโลกหล้าทุกวันนี้ สิ่งเดียวที่เขากลัวคือวัฏสงสาร
ส่วนผู้ฝึกตนในโลกหล้า แม้จะได้รับวาสนาก้าวสู่ขอบเขตจุติสรวงได้ ก็หาอยู่ในสายตาเขาไม่!
“ซูอี้ผู้นั้นถือครองวัฏสงสาร เป็นเหมือนศัตรูโดยธรรมชาติของเรา เช่นนั้น เราก็จะร่วมมือกับขุมกำลังอันแข็งแกร่งที่สุดในโลกหล้า บ่มเพาะกลุ่มตัวตนในขอบเขตจุติสรวง ยืมมีดพวกเขาฆ่าคนเสีย แล้วอยู่เฉย ๆ รอดื่มด่ำความสำเร็จ”
เมื่อเลี่ยหนานเย่กล่าวเช่นนี้ ดวงตาของเขาก็ฉายประกายคาดหวัง “ในสองสามปีต่อจากนี้จะเกิดเหตุชุลมุนยิ่งกว่ายามใด ศิษย์น้อย ในภายหน้าเมื่อเราทำลายอำนาจคำสาปในกาย ไฉนต้องกังวลว่าจะได้หวนสู่วิถีฝึกฝนเซียนหรือไม่ด้วยเล่า?”
หนิงอวี่ลั่วพองแก้ม “ยามนี้ข้าคิดมากไม่ได้ ข้าแค่อยากทำลายเจ้าซูอี้ผู้นั้นให้ได้ก่อน!”
เลี่ยหนานเย่ผงะไป ยิ้มเซ่อ ๆ แล้วกล่าวเบา ๆ “ในสายตาข้า ผู้เดียวที่ถือได้ว่าเป็นคู่ต่อสู้คือยอดฝีมือไร้เทียบผู้รอดจากยุคสิ้นกฎเกณฑ์ได้เหมือนเราเท่านั้น”
“ส่วนซูอี้ผู้นี้… อย่างมากก็แค่เหยื่อ”
……
ในโลกหล้าอันมืดมนหดหู่
ช่างเสื้อร่างผอมแห้งในอาภรณ์ผ้าและหมวกกลมสีดำกำลังศึกษามรดกในขอบเขตจุติสรวงชิ้นหนึ่ง
“นายท่าน ปฏิบัติการของพรรคเซียนเร้นราตรีล้มเหลวแล้วเจ้าค่ะ”
ผีเสื้อสีดำตัวหนึ่งบินมาหา จำแลงกายเป็นหญิงสาวขนาดราวฝ่ามือผู้หนึ่ง
ช่างเสื้อเสสรวลกล่าว “ข้าก็กะไว้เช่นนั้น ข้าต่อกรกับทัศนาจารย์มาไม่รู้นานเพียงไร ไฉนจะไม่รู้ว่าคนผู้นี้จัดการยากแค่ไหน?”
เขาดูรื่นเริง ใบหน้ายิ้มแย้ม
“นายท่าน ไฉนท่านจึงดีใจล่ะเจ้าคะ?”
สตรีผู้จำแลงร่างจากผีเสื้อสีดำอดถามมิได้
“มีแต่ยามที่พวกเขาพลาดเท่านั้น จึงได้ตระหนักว่าข้อเสนอของข้าสำคัญเพียงไร และข้าก็จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้มากขึ้น!”
ช่างเสื้อกล่าวอย่างเฉยเมย “กล่าวคือ ข้าไม่คิดว่าพวกนั้นจะชนะหากไม่ลงมือเอง!”
หญิงสาวผงะไป ก่อนจะกะพริบตา “นายท่าน ท่านมิกลัวพวกเขาว่าร้ายเอาหรือเจ้าคะ?”
“พวกเขามีหรือจะกล้า?”
ช่างเสื้อเสสรวล “ทัศนาจารย์ทุกวันนี้เหมือนเป็นดาบอันแขวนเหนือหัวพวกเขา วิญญาณอาสัญเช่นพวกเขาไร้โอกาสสะเทือนดาบเล่มนี้ มีเพียงข้า… ที่ช่วยพวกเขาได้!”
“เจ้ารอเถิด คงไม่นานก่อนที่พวกเขาจะมาทักทายข้า”
ทันทีที่เขากล่าวเช่นนี้ แสงสว่างก็ฉายวาบบนสุญญะ ร่างของบ่าวเฒ่าผู้หนึ่งปรากฏขึ้น กล่าวอย่างนอบน้อม “นายท่าน ประมุขพรรคเซียนเร้นราตรีส่งสาส์นมา บอกว่าหากท่านเห็นด้วยกับข้อเสนอ ก็จะช่วยเราพัฒนายอดคนกลุ่มหนึ่งในขอบเขตจุติสรวงให้ขอรับ”
ช่างเสื้อยิ้มเสียจนรอยย่นบนใบหน้ายับยู่เยี่ยงดอกเบญจมาศ “ดูสิ นี่เรียกว่ากลยุทธ์ ข้าไม่จำเป็นต้องกระทำการใด ๆ ก็สามารถใช้ทัศนาจารย์เป็นเบี้ย ดึงผลประโยชน์สูงสุดจากวิญญาณอาสัญเหล่านี้ได้”
เขานำไหสุราออกมากระดกดื่มอึกใหญ่ด้วยใจสบายอุรา “ไปบอกพรรคเซียนเร้นราตรีว่าครานี้ข้าจะส่งราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดไปสามสิบคน กาลก่อน ราชันแห่งภูมิเหล่านี้มีความแค้นยิ่งใหญ่กับทัศนาจารย์มาก่อน และเมื่อพวกเขาก้าวสู่วิถีจุติสรวงได้ พวกเขาจะแปรเปลี่ยนเป็นมีดอันคมที่สุดเพื่อสังหารทัศนาจารย์!”
“ขอรับ!”
บ่าวเฒ่าจากไป
“นายท่าน บ่าวเข้าใจแล้วว่าท่านใช้ทัศนาจารย์เป็นเบี้ย และวิญญาณอาสัญเหล่านั้นก็กระเหี้ยนกระหือรืออยากได้อำนาจวัฏสงสารของทัศนาจารย์เป็นที่สุด แต่พวกเขาก็ยังกลัวอำนาจวัฏสงสารของทัศนาจารย์ที่สุดด้วยเช่นกัน หากเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็ทำได้เพียงต้องเลือกร่วมมือกับนายท่าน”
ใบหน้าของหญิงสาวดูชื่นชม “และนายท่านก็สามารถฉวยโอกาสนี้ตักตวงผลประโยชน์จากวิญญาณอาสัญเหล่านั้นได้เรื่อย ๆ! ช่างมหัศจรรย์ สุดยอดไปเลยเจ้าค่ะ!”
ช่างเสื้อกล่าวยิ้ม ๆ “อย่าได้ประเมินวิญญาณอาสัญเหล่านี้ต่ำไป พวกเขาเคยเป็นตัวตนเลิศล้ำซึ่งรอดจากยุคสิ้นกฎเกณฑ์มาได้ แต่ละคนล้วนแข็งแกร่งมิต่าง ยามนี้ข้าทำเพียงฉวยโอกาสจากสถานการณ์เท่านั้น”
“เมื่อกาลผ่านพ้น ยอดฝีมือในโลกหล้าก็จะเข้าสู่วิถีจุติสรวงกันมากขึ้น และวิญญาณอาสัญเหล่านี้ก็จะหวนคืนสู่โลกหล้าด้วยเช่นกัน และกว่าจะถึงยามนั้น… กลยุทธ์นี้ของข้าก็ไม่เพียงพออีกต่อไป”
กล่าวถึงตรงนี้ ช่างเสื้อก็อดถอนใจเบา ๆ ไม่ได้ “น่าเสียดาย หากข้ามีเวลาวางแผนมากกว่านี้ ทั้งทัศนาจารย์และวิญญาณอาสัญจากยุคสิ้นกฎเกณฑ์เหล่านั้นจะต้องก้มหัวให้ข้า”
“ไฉนนายท่านจึงกล่าวเช่นนั้นเจ้าคะ?”
หญิงสาวอดงุนงงไม่ได้
ดวงตาของช่างเสื้อวูบไหวขณะกล่าว “วิญญาณอาสัญเหล่านั้นเลือกร่วมมือกับข้าได้ พวกเขาก็เลือกร่วมมือกับขุมกำลังผู้ฝึกตนอื่น ๆ ในโลกหล้าได้”
“ยามนี้ หกตระกูลโบราณอารักษ์วิถีร่วมมือกับหนึ่งในขุมกำลังสูงสุดแห่งยุคสิ้นกฎเกณฑ์แล้ว”
“เหมือนเช่นที่ ‘หุบเขาเซียนหมื่นวิญญาณ’ อยู่เบื้องหลังเผ่าภูตหลวนคราม นี่คือขุมกำลังวิถีมารสูงสุดในยุคสิ้นกฎเกณฑ์ และรากฐานหาได้ด้อยไปกว่าพรรคเซียนเร้นราตรีไม่”
“เหมือนเช่นที่ ‘หอเซียนดาบมายา’ อยู่เบื้องหลังตระกูลจงโบราณ พวกเขาเป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในสี่สำนักดาบเซียนในยุคสิ้นกฎเกณฑ์”
“นี่แค่สถานการณ์ของหกตระกูลโบราณอารักษ์วิถีนะ”
“นอกจากนั้น ขุมกำลังสูงสุดส่วนใหญ่ในโลกหล้าก็กำลังติดต่อวิญญาณอาสัญแห่งยุคสิ้นกฎเกณฑ์เหล่านี้ พยายามร่วมมือกันอยู่มิต่าง”
“ทั้งหมดนี้ก็เพื่อไขว่คว้าหาวิธีก้าวสู่วิถีจุติสรวงในยุคใหม่ภายหน้า”
“กล่าวกันว่าวิญญาณอาสัญผู้มีพื้นหลังร้ายกาจ ที่มาลึกลับบางผู้ได้ยึดร่าง ควบคุมขุมกำลังผู้ฝึกตนบางแห่งในโลกหล้าไปแล้ว”
กล่าวถึงตรงนี้ ช่างเสื้อพลันเสสรวล “คาดการณ์ได้เลยว่าโลกหล้าภายหน้าจะปั่นป่วนวุ่นวายยิ่งกว่าหนใด!”
“ระบบระเบียบและครรลองแห่งยุคเก่าจะแหลกสลายสุ่มใหม่”
“ผู้ใดก็ตามที่ปกครองโลกหล้าแดนสรวงในยุคหน้า ขึ้นกับผู้ใดที่สามารถขึ้นสู่วิถีจุติสรวงโดยไวที่สุด!”
ดวงตาของช่างเสื้ออดวูบไหวด้วยความโหยหามิได้ “สำหรับข้า นี่คือช่วงเวลาอันดีที่สุด!”
หัวใจของหญิงสาวสะเทือนไหวยามได้รับฟัง “นายท่าน ท่านคิดว่าทัศนาจารย์มีโอกาสสยบนภาปกครองแดนดินด้วยดาบเดียวเช่นกาลก่อนหรือไม่เจ้าคะ?”
ช่างเสื้อเงียบไปชั่วขณะ
เขาสู้รบปรบมือกับทัศนาจารย์มาแสนนาน และไม่เคยกล้าประมาทเจ้าเฒ่าร้ายกาจผู้นี้
เนิ่นนานจากนั้น เขาก็กล่าวว่า “ในกาลต่อจากนี้ เขาจะกลายเป็นศัตรูของคนทั่วโลกหล้า! วิญญาณอาสัญทั้งหลายล้วนถือเขาเป็นเหยื่อ และจะร่วมมือกับขุมกำลังสูงสุดในโลกหล้ามาจัดการกับเขาแน่”
“และข้าจะไม่มีวันมอบโอกาสให้เขาเข้าสู่วิถีจุติสรวง!”
ท้ายที่สุด วาจาของเขาก็เน้นย้ำทีละคำ ดังลั่นสนั่นทั่ว
หญิงสาวอดเสสรวลมิได้ “บ่าวเองก็จะรอวันนั้นเจ้าค่ะ!”
“ธิดาผีเสื้อ การกระทำจากนี้ขึ้นกับเจ้า ไปประกาศสู่โลกหล้าเสียว่าทัศนาจารย์หวนคืนสู่ภูมิดาราเทพนคร และแพร่ข่าวการประชันกับพรรคเซียนเร้นราตรีออกไป”
ช่างเสื้อออกคำสั่ง
หญิงสาวงุนงง “นายท่าน หากทำเช่นนี้ ไม่ทำให้ทัศนาจารย์ดูยิ่งใหญ่ไปหรือเจ้าคะ? แล้วเช่นนี้ ใครเล่าจะกล้าลงมือกับเขาสุ่มสี่สุ่มห้ากันเล่า?”
ช่างเสื้อหัวเราะ “โง่ ยิ่งทัศนาจารย์แข็งแกร่ง ผลประโยชน์ที่เราจะตักตวงได้จากเหล่าวิญญาณอาสัญก็ยิ่งทวีคูณ ยิ่งกว่านั้น ผู้ที่ร่วมมือกับเราหามีเพียงพรรคเซียนเร้นราตรีไม่ ขุมกำลังเซียนเหล่านั้นมีหรือจะอยู่เฉยยามได้ยินเรื่องเช่นนี้?”
“ขอเพียงพวกเขาครั่นคร้ามนั่งไม่ติด พวกเขาก็จะให้ค่าการร่วมมือระหว่างเรา แล้วพวกเขาหรือจะให้เราทำงานโดยมิให้ค่าตอบแทนสมน้ำสมเนื้อ?”
หญิงสาวชะงักไป
ท้ายที่สุด นายท่านก็ยังใช้ทัศนาจารย์เป็นเบี้ย ฉวยโอกาสตักตวงผลประโยชน์จากวิญญาณอาสัญเหล่านั้นอยู่ดี!
“บ่าวจะทำเช่นนั้นเจ้าค่ะ”
ร่างของหญิงสาววูบไหว จำแลงกายกลับเป็นผีเสื้อสีดำและเตรียมจากไป
ทันใดนั้น ช่างเสื้อดูเหมือนเพิ่งนึกบางอย่างได้ “เจ้าเคยพบที่อยู่ของลาเฒ่าหัวล้านจากวัดสรรพสุญตาบ้างหรือไม่?”
หญิงสาวส่ายหน้าว่า “ไม่เจ้าค่ะ เมื่อไม่กี่ปีก่อน วัดสรรพสุญตาหายไป กำลังของเรากำลังถามไถ่ข่าวนี้ ทว่าก็ยังมิพบข้อมูลใด ๆ เลยเจ้าค่ะ”
ช่างเสื้อพลันขมวดคิ้วกล่าวกับตนเอง “ลาเฒ่าหัวล้านนั่น… ไปไหนของเขากันแน่?”