บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1316 แดนสุขาวดีแคว้นฟ่าน
ตอนที่ 1316 แดนสุขาวดีแคว้นฟ่าน
ร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์ปรากฏขึ้นในภูมิดาราเทพนคร!
เมื่อข่าวนี้ปรากฏ แทบจะในชั่วข้ามคืน มันก็แพร่กระจายไปทั่วภูมิดาราเทพนคร เกิดเป็นเสียงฮือฮา
ภูมิดาราเทพนครคือภูมิดาราอันดับหนึ่งแห่งจักรวาลพร่างดาว เป็นหัวใจแห่งจักรดาราตงเสวียน
หกตระกูลโบราณอารักษ์วิถี ขุมกำลังยักษ์ใหญ่แห่งจักรวาลพร่างดาว และตระกูลราชันแห่งภูมิล้วนมีที่ตั้งอยู่ ณ ที่แห่งนี้
เมื่อข่าวแพร่งพราย ขุมกำลังสูงสุดในโลกหล้าล้วนรับรู้เป็นผู้แรก
และวิญญาณอาสัญซึ่งอยู่เบื้องหลังขุมกำลังสูงสุดเหล่านี้ต่างกระสับกระส่าย
ใต้นทีกระเพื่อมคลื่น
พายุกำลังก่อตัว
……
ขณะที่ภูมิดาราเทพนครเดือดพล่าน ซูอี้ก็เดินทางไปยัง ‘แคว้นฟ่าน’ แล้ว
แคว้นฟ่านคือหนึ่งในสามสิบหกแคว้นของภูมิดาราเทพนคร พื้นที่ส่วนใหญ่ปกครองโดยขุมกำลังวิถีพุทธ วัดและอารามโบราณตั้งเรียงราย ควันธูปพลิ้วโชยอบอวล
ในภูมิดาราเทพนคร แคว้นฟ่านมีชื่อเสียงว่าเป็น ‘พุทธสถานบนแดนดิน’
“นายน้อย ข่าวศึกในเมืองหมื่นหลิวแพร่ออกไป ยามนี้ภูมิดาราเทพนครรู้ถึงการกลับมาของท่านแล้วนะขอรับ”
เว่ยซานขมวดคิ้วกล่าวบนเรือท้องแบน
เมื่อครู่ ยามผ่านเมืองอันรุ่งโรจน์เมืองหนึ่ง พวกเขาก็พบว่าศึกเมืองหมื่นหลิวเมื่อคืนก่อนได้ก่อกระแสในภูมิดาราเทพนครเป็นที่เรียบร้อย
“มิแปลก ต้องเป็นฝีมือตาเฒ่าชั่วช่างเสื้อที่คอยก่อกวนสร้างปัญหาให้ข้าอยู่แน่แท้ เพื่อที่มันจะได้ตกปลายามน้ำขุ่นได้”
ซูอี้ใช้หัวแม่เท้าคิดก็รู้ว่าผู้อยู่เบื้องหลังต้องเป็นช่างเสื้อแน่แท้
“ไอ้แก่นี่ น่าสับเป็นพัน ๆ ชิ้นนัก!”
เว่ยซานข่มเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ซูอี้กล่าวเรียบ ๆ “เมื่อข้าไปพบหลวงจีนเฒ่าคงจ้าวหนนี้ ข้าจะไปคิดบัญชีกับไอ้แก่นี่”
เพิ่งสิ้นคำ…
ตู้ม!
กระสวยสีดำลำหนึ่งพลันปรากฏ ทะลวงผ่านเรือท้องแบนของซูอี้จากด้านล่าง
ตู้ม!
เรือท้องแบนระเบิดเป็นจุณ
ซูอี้และเว่ยซานทะยานสู่เวหา หลบการโจมตีกะทันหันนี้ไปได้ก่อนหนึ่งก้าว
ทว่า ก่อนที่เขาจะทันได้ตั้งหลัก เสียงคำรามสะท้านสรวงก็ดังขึ้น วิหคร้ายสีดำขนาดราวขุนเขาปรากฏขึ้นบนเวหา ปีกโบกสะบัดข้ามนภา
ร่างของวิหคร้ายย้อมด้วยแสงเซียน ปีกทั้งสองเหมือนมีดแหวกสวรรค์ แยกสุญญะสร้างพายุวิถีอันเจิดจรัส
เงาร่างของซูอี้วูบไหว ใช้หมัดกระแทกบนอากาศเยี่ยงดาบ
ตู้ม!!
อำนาจร้ายกาจแห่งวัฏสงสารถาโถมลงสู่โลกหล้าเยี่ยงภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ทำให้วิหคร้ายสีดำตะลึงจนเส้นขนร่วงโรยโปรยปราย กรีดร้องลั่นพลางเผ่นหายไปไกล
ทว่าก็สายไป
ทั่วทิศบนสุญญะ ตาข่ายกว้างปรากฏขึ้นปกคลุมท้องนภา ประสานเกี่ยวด้วยอำนาจกฎเกณฑ์ ปราณเซียนเจิดจรัสทะลักไหล
สี่เงาร่างปรากฏขึ้นถือแต่ละมุมของตาข่ายกว้าง โยนลงมาสุดแรง
ทันใดนั้น ตาข่ายกว้างก็คลุมร่างซูอี้กับเว่ยซานไว้
การถูกคลุมกะทันหันชวนให้รู้สึกราวไม่อาจหลบหนีตอบโต้ใด ๆ
ทว่าซูอี้หาหลบหนีไม่
ตู้ม!
ดาบแห่งโลกาวาดผ่าน ซูอี้คว้าแขนเว่ยซานทะยานตามดาบไป
เปรี้ยง!!!
คมดาบทะลวงตาข่ายใหญ่แหลกสลาย
ซูอี้และเว่ยซานรอดออกมาได้
แทบจะในขณะเดียวกัน กระสวยสีดำก็พุ่งมาอีกครั้ง รวดเร็วเหลือเชื่อยิ่งนัก
และวิหคร้ายสีดำขนาดราวขุนเขานั้นก็กระพือปีกอย่างบ้าคลั่ง ส่งพายุแสงเซียนพัดกระหน่ำทั่วฟ้าดิน ทะยานเข้าหาพวกซูอี้
ชุดการโจมตีอันเกิดขึ้นในพริบตานี้ร้ายแรงยิ่งนัก
กล่าวคือ ราชันแห่งภูมิใด ๆ ในโลกหล้าไม่อาจหยุดมันได้เลย
กระทั่งเว่ยซานยังหลั่งเหงื่อกาฬแตกพลั่ก
ทว่าซูอี้กลับแค่นเสียงอย่างเย็นชา สะบัดแขนเสื้อของเขา
ตู้ม!
ดาบบินพิรุณสิ้นเหมันต์พุ่งออกมา ฉาบด้วยอำนาจวัฏสงสารดำทมิฬทะยานผ่าพายุข้ามนภา ฟาดฟันเข้าใส่วิหคร้ายสีดำ
เพียงพริบตา ปีกของวิหคร้ายก็สะบั้น หัวหลุดจากคอ ส่งเสียงร้องโหยหวน
ขณะเดียวกัน ซูอี้ก็ใช้ดาบแห่งโลกาฟาดผ่านอากาศ สะบั้นกระสวยสีดำเป็นสองท่อนด้วยเสียงเลื่อนลั่น
“ทุกผู้หยุดมือเถิด”
ไกลออกไปใต้ท้องนภา เสียงทุ้มหนักเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
พร้อมกันนั้น ร่างหนึ่งเดินออกมาจากใต้ท้องนภาไกลออกไป
เขาสวมอาภรณ์สีดำ ร่างสูง ใบหน้าหล่อเหลา ยามเยื้องย่างผ่อนคลายไร้กังวล
เมื่อเขาปรากฏ เหล่ายอดฝีมือผู้รุมโจมตีซูอี้เมื่อครู่ล้วนพุ่งมารวมตัว
“ที่แท้ก็เป็นวิญญาณอาสัญกลุ่มหนึ่ง”
สีหน้าของเว่ยซานมืดดำ
จวบยามนี้ เขาเห็นแล้วว่าทั้งห้าล้วนแต่เป็นวิญญาณอาสัญผู้ทรงเชาว์ ความแข็งแกร่งเหนือล้ำกว่าราชันแห่งภูมิไปไกล!
ดวงตาของซูอี้นิ่งเฉยทว่าลึกล้ำ “นี่คือปัญหาที่ช่างเสื้อหามาให้ข้า ต่อให้ฆ่าข้าไม่ได้ ก็ทำให้ข้าขยะแขยงได้”
“แข็งแกร่งนัก ควรค่าเป็นยอดฝีมือผู้ทำให้พรรคเซียนเร้นราตรีเพลี่ยงพล้ำได้”
ยามนั้น ชายอาภรณ์สีดำเดินมาหาจากไกล ๆ และกล่าวยิ้ม ๆ “เมื่อครู่ข้าผลีผลามลงมือ ไม่ใช่ใดอื่นนอกจากเพื่อยืนยันตัวตนของสหายเต๋า ไร้เจตนาเป็นอื่น หวังให้สหายเต๋าอภัยด้วย”
กล่าวจบ เขาก็โบกมือ “พวกเจ้าเองก็ไปขอขมาทัศนาจารย์เร็วเข้า”
“ขอรับ!”
วิญญาณอาสัญเหล่านั้นรับคำสั่ง
“ขอสหายเต๋าอภัยด้วย”
วิญญาณอาสัญแต่ละผู้ล้วนก้มหัวคำนับ
สิ่งนี้ทำให้เว่ยซานพลันกัดฟันกรอดอย่างรังเกียจ “ลอบโจมตีด้วยเจตนาร้าย แต่เจ้ากลับมาพูดกลบเกลื่อน นี่หรือครรลองการวางตัว?”
“สหายเต๋าโปรดใจเย็นก่อน หากเราไม่ลงมือ เราหรือจะตัดสินร่างแท้ของทัศนาจารย์ได้? ยิ่งกว่านั้น เราทั้งหลายต่างขอขมาแล้ว ยังมิพอหรือ?”
ชายชราผู้หนึ่งในชุดผ้าลินินกล่าวอย่างไร้อารมณ์ ในมือถือกระสวยซึ่งขาดเป็นสองท่อนไว้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาคือผู้ลงมือทำลายเรือท้องแบนของซูอี้ในคราแรก
ซูอี้คร้านเกินกว่าจะเสวนา เขาลงมือทันที
แสงดาบวูบไหว แดนดินในรัศมีพันจั้งแหลกร้าว ปราณดาบไร้ที่เปรียบอาบอำนาจวัฏสงสารพร่างพรม และร่างของชายชราในชุดผ้าลินินก็แหลกสลายไปทันที
สิ้นปัญญาต่อต้าน!
ภาพนี้ทำให้ชายอาภรณ์สีดำและคนอื่น ๆ หน้าเปลี่ยนสี ใบหน้าพลันมืดหมอง
“เราเข้าใจได้ว่าทัศนาจารย์มีโทสะ เพราะถึงอย่างไร หากถูกโจมตีเช่นนี้ก็คงไม่ชอบใจอยู่ดี”
ชายอาภรณ์สีดำสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวยิ้ม ๆ “ยามนี้ถึงกาลที่ทัศนาจารย์จะผ่อนอารมณ์ลงได้แล้วหรือไม่? อันที่จริง หนนี้เรามาด้วยเจตนาดี อยากสร้างสัมพันธ์ฉันมิตรกับผู้อาวุโสนะ…”
โดยไม่รอให้พูดจบ ซูอี้หาพิรี้พิไรไม่ เขาลงมืออีกครั้ง
ปราณดาบทะยานผ่านนภา ฉีกกระชากแดนสรวง ชายชุดขาวผู้หนึ่งรับเคราะห์แหลกสลายตายไปด้วยปราณดาบนี้
ผลกระทบร้ายกาจของปราณดาบทะลวงลง ชายอาภรณ์สีดำและคนอื่น ๆ จึงต้องหลบเลี่ยง
ชั่วขณะนั้น พวกเขากรุ่นโกรธเดือดดาล ไม่อาจคาดเดาได้ว่าไฉนทัศนาจารย์ผู้นี้จึงกล้าอหังการนัก!
และซูอี้ก็ใช้ดาบแห่งโลกาลงมือโจมตีมาอีกหน
ดวงตาของเขาเยือกเย็นไร้แยแส ร่างสูงใหญ่รัดพันด้วยกฎวัฏสงสารดุจผู้ครองพิภพท่องแดนดิน
“ถอย!”
ใบหน้าของชายอาภรณ์สีดำบึ้งตึง หันหลังจากไป
ตู้ม!
ปราณดาบคลั่งคลุ้งเยี่ยงทะเลเดือด
ก่อนที่วิญญาณอาสัญทั้งสองจะทันได้หลบ พวกเขาก็ถูกสังหารทันที
ท้ายที่สุดก็เหลือเพียงชายอาภรณ์สีดำและวิหคร้ายซึ่งบาดเจ็บกระเสือกกระสนหนีแตกตื่น
“จะมาสร้างสัมพันธ์ฉันมิตรไม่ใช่หรือ? ไฉนจึงหนีเล่า? เจตนาดีของเจ้าอยู่หนใด?”
เว่ยซานตะโกน
ชายชุดดำหาตอบสนองไม่ เขาหายวับไปในพริบตา
ซูอี้เก็บดาบแห่งโลกาไปพลางกล่าว “พวกเขาโง่หรือ?”
เว่ยซานว่า “รู้ทั้งรู้ว่าเคล็ดวัฏสงสารของนายน้อยถือไพ่เหนือกว่า ยังกล้ามารนหาที่ ไม่โง่ได้หรือ?”
ซูอี้ว่า “ทว่าหากเราถูกจับเป็นจากการลอบโจมตีนั้นเล่า?”
เว่ยซานนิ่งไป
ไม่รีรอให้ตอบ ซูอี้กล่าวขึ้นว่า “พวกเขาต่อสู้เพื่อโอกาสนี้ คนตายเพราะทรัพย์สิน วิหคสิ้นเพราะอาหาร หากคนนอกมามองการลอบโจมตีนี้ ย่อมคิดว่าพวกเขาโง่เขลา ทว่าหากพวกเขาทำสำเร็จจริง พวกเขาจะได้เป็นวิญญาณอาสัญกลุ่มแรกที่ได้ทำลายคำสาปในร่าง ซ้ำยังควบคุมพลังแห่งวัฏสงสาร กลายเป็นเจ้าชีวิตเหนือวิญญาณอาสัญตนอื่น ๆ”
เว่ยซานรำพึง “ความเย้ายวนใจสูงเกินไป ทำให้อดลองมิได้จริง ๆ”
ซูอี้ว่า “คนนอกมักคิดเสมอว่าพวกตนพรั่งพร้อม แต่หารู้ไม่ว่าหากพบความเย้ายวนเกินต้าน พวกเขาก็อาจไม่ได้ดีไปกว่าเจ้าพวกเมื่อครู่”
เว่ยซานถอนใจ “จริง ทุกผู้ในโลกล้วนรู้ว่าการเดิมพันทำร้ายคน และรู้ว่ามีมีดดาบแขวนเหนือหัว แต่ไม่ใช่ว่าโลกนี้ยังคงมีนักเดิมพันอยู่หรือ?”
ซูอี้ “…”
ครู่ต่อมา เขาก็กล่าวว่า “มิได้อยู่ในสถานการณ์ แต่กลับพูดถึงเรื่องราวภายในด้วยคิดว่ามองกระจ่างทุกสิ่งสรรพ คนเช่นนี้น่าขำที่สุดอย่างไร้กังขา”
เว่ยซานเสสรวลว่า “นายน้อยชอบด้วยเหตุผลอย่างเห็นได้ชัดขอรับ”
“ไม่มีทาง แมลงวันพวกนั้นช่างน่าสะอิดสะเอียน”
ซูอี้ว่าพลางทะยานไปเบื้องหน้า “ไปกันเถอะ ในกาลต่อมาจะมีแมลงวันมาหาถึงที่อีกไม่น้อยแน่แท้ และเรา… ขอเพียงไม่เพลี่ยงพล้ำก็จบสิ้น ดังนั้นต้องไม่ให้โอกาสแมลงวันเหล่านี้เด็ดขาด”
เว่ยซานเองก็เห็นด้วย
สามวันต่อมา
“พระพุทธรูปศิลานั่นหายไปแล้วหรือ?”
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
วัดสรรพสุญตานั้นถือได้ว่าเป็นสถานที่ลับแลอันลึกลับสูงสุด เป็นแดนสุขาวดีบนดินในสายตาเหล่าผู้ฝึกตนในพุทธศาสนา
ตลอดกาลนานมา มีเพียงน้อยคนที่รู้ว่าวัดสรรพสุญตาตั้งอยู่ในส่วนลึกแห่งแดนรกร้างนี้
การจะเข้าไปในวัดสรรพสุญตา ต้องหาพระพุทธรูปศิลาให้เจอเสียก่อน
ทว่าพระพุทธรูปศิลาหายไปแล้ว
“หรือหลวงจีนเฒ่าคงจ้าวจะออกเดินทางสู่เขตหวงห้ามเซียนละล่องเหมือนกันหนอ?”
ซูอี้ขมวดคิ้ว
หลังครุ่นคิดสักพัก เขาพลันทะยานสู่อากาศ มือประทับตราบงกช ร่ายบริกรรมเสียงดัง
“ข้าขอระลึกถึงอดีตกาลแห่งองค์ยูไล ฝึกฝนบำเพ็ญเผชิญหายนะเกินคาดหยั่ง อนันตกาลไร้สิ้นสุด สะบั้นพ้นโลกีย์ องค์ยูไลสิ้นกิเลสตัณหา สะบั้นสิ้นแปรครรลอง…”
บทสวดสันสกฤตก้องทั่วนภาแดนดิน
ชั่วขณะนั้น พิรุณแสงพร่างโปรย จรัสแสงชั่วกาลนาน ทั่วฟ้าดินให้บรรยากาศเคร่งขรึมศักดิ์สิทธิ์ดุจพุทธภูมิปรากฏ แดนสุขาวดีกำลังจะก่อตนขึ้นอีกหน
นี่คือพระสูตรธรรมการันสุญตาไร้ประมาณ
หลวงจีนเฒ่าคงจ้าวแห่งวัดสรรพสุญตาถือตนเป็น ‘ธรรมการัน’ และรากฐานวิถีเต๋าของเขาก็มาจากพระสูตรวิถีพุทธสูงสุดนี้
ตราบจนสิ้นพระคาถา การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ก็เงียบสงัด
สิ่งนี้ทำให้ซูอี้เสียดาย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าวัดสรรพสุญตามิได้อยู่ที่นี่นานแล้ว
หาไม่ เพียงบริกรรมพุทธคาถานี้ ระฆังวัดจะดังประสานไปกับมัน
“ไปกันเถอะ”
ซูอี้หันหลังเตรียมจากไป
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้ากัมปนาทสะเทือนแดนดินพลันดังมาไกล ๆ
จากนั้น ภาพอันน่าเหลือเชื่อก็ปรากฏแก่คลองจักษุของซูอี้และเว่ยซาน
ไกลออกไป หลวงจีนเฒ่าร่างสูงใหญ่เปลือยอกผู้หนึ่งก็แบกพุทธอุโบสถใหญ่โตดุจขุนเขาวิ่งรี่มาทางนี้
………………..