บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1317: โครงกระดูกบรรลุเซียน สรีรสังขารตรัสรู้สู่พุทธองค์
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 1317: โครงกระดูกบรรลุเซียน สรีรสังขารตรัสรู้สู่พุทธองค์
ตอนที่ 1317: โครงกระดูกบรรลุเซียน สรีรสังขารตรัสรู้สู่พุทธองค์
หลวงจีนร่างสูงใหญ่ทรงพลังเยี่ยงพระอรหันต์บนดินแบกพุทธอุโบสถใหญ่โตเยี่ยงขุนเขาบนหลังขณะวิ่งห้อ
ภาพนี้ทำให้เว่ยซานแทบนึกว่าตนตาฝาด
ความจริงแล้ว หลวงจีนผู้นี้รวดเร็วยิ่งนัก เขาเป็นดั่งแสงทอง มีเพียงจิตสัมผัสที่ตรวจพบร่างของเขาได้
ทั่วฟ้าดินเคลื่อนโคลง สั่นสะท้านรุนแรง
นั่นคือเสียงฝีเท้าของหลวงจีนซึ่งดังถี่รัวเยี่ยงเสียงรัวกลองอื้ออึงจากสรวง
“ทัศนาจารย์ เจ้ายังมัวยืนงงอันใด ลงมือช่วยเร็วเข้า มิเห็นหรือไรว่าข้าหลวงจีนผู้นี้ถูกไล่ล่าอยู่?”
หลวงจีนผู้นั้นคำรามอย่างเดือดดาล
ยามนั้นเอง เว่ยซานจึงสังเกตเห็นว่ามีดาบเหล็กขึ้นสนิมเล่มหนึ่งไล่ตามจี้หลังหลวงจีนผู้นั้น มันเร็วเสียจนยากจะมองเห็นชัด ๆ
เปรี้ยง!
หลวงจีนแบกพุทธอุโบสถบนหลัง วิ่งวนรอบบริเวณใกล้เคียง หากล้าหยุดฝีเท้าไม่ ราวกับกลัวจะถูกดาบกระดูกสีเทานั่นจิ้มหลังเอา
ซูอี้อดหัวเราะไม่ได้ หลวงจีนรูปนี้คือคงจ้าว รู้จักในฐานะธรรมการันผู้คุ้มกันวัดสรรพสุญตา มีอุปนิสัยผีเข้าผีออกเยี่ยงโจร
นี่คือคราแรกที่เขาได้เห็นหลวงจีนรูปนี้ถูกโจมตียับเยินเช่นที่เห็น
“เร็วสิ! เจ้ามิใช่นักดาบหรือไร? ปราบดาบเหล็กนี่ที มันเป็นสมบัติล้ำค่าสูงสุดจากยุคสิ้นกฎเกณฑ์เชียวนะ!”
เมื่อเห็นซูอี้นิ่งเฉยมองอย่างสนุกสนาน หลวงจีนพลันตะโกนลั่นกระวนกระวาย
“สมบัติล้ำค่าสูงสุดจากยุคสิ้นกฎเกณฑ์หรือ?”
ซูอี้ครุ่นคิด ก่อนกล่าวว่า “รับปากข้าประการหนึ่ง แล้วข้าจะลงมือ”
“ปล้นกันยามไฟไหม้? เจ้าทัศนาจารย์ไร้ยางอายเช่นนี้แต่ยามใด?”
หลวงจีนผรุสวาทขณะโกยอ้าว
ฉัวะ!
เขาแผดร้องอย่างขมขื่น ตะโกนอย่างไม่กล้าลังเลอีกต่อไป “นายท่านทัศนาจารย์ วอนเจ้าทีเถิด!”
“รับปากหรือไม่?”
ซูอี้ถามยิ้ม ๆ
“รับปาก!”
หลวงจีนตะโกน
ยามนั้นเอง ซูอี้จึงก้าวเข้ามา
ตู้ม!
ภาวะดาบเวียนวัฏพลุ่งพล่านจากร่างของซูอี้ ท้องนภาพลันมืดมัวลง
ดาบเหล็กซึ่งไล่ล่าฆ่าฟันหลวงจีนอยู่สั่นสะท้าน มันหันปลายดาบชี้มาทางซูอี้ราวเผชิญมหาศัตรูราวมีสติรู้คิด
ฉวยโอกาสนี้ หลวงจีนหลุดพ้นเป็นอิสระได้ในที่สุด หลังของเขาสะเทือน และพุทธอุโบสถใหญ่โตเยี่ยงขุนเขาก็ร่วงครืนลงกับพื้น
เขานั่งลงหอบหายใจ ปากสบถด่า “ดาบเหล็กนี่โคตรชั่วเลยบัดซบเสียจริง ไล่ล่าข้าเจ็ดวันเจ็ดคืน เหนื่อยแทบตายอยู่แล้ว”
ซูอี้หันมอง
ดาบเหล็กเล่มนี้ดูจะถูกช่วงกาลแสนนานกัดกร่อน ด่างดำด้วยจุดสนิม กระทั่งปราณยังมัวหมองทึ่มทื่อ ลึกลับยิ่งนัก
“วัฏสงสารหรือ?”
เสียงบุรุษแหบแห้งดังออกมาจากในดาบเหล็ก
“ถูกต้อง”
ซูอี้พยักหน้า
หลวงจีนตะลึง “เอ็งไล่ฆ่าข้ามาเจ็ดวันเจ็ดคืน ไฉนมิพูดสักแอะ?”
ตู้ม!
ดาบเหล็กหันชี้ไปทางหลวงจีน ทำให้อีกฝ่ายเหงื่อกาฬแตกซิกท่วมหน้าผาก
เขารีบร้อนว่า “ทัศนาจารย์ รีบปราบมันที! ดาบนี่มีบางอย่างผิดปกติ เป็นไปได้มากว่าจะมีวิญญาณอาสัญร้ายกาจสุด ๆ หลบซ่อนอยู่นะ!”
“แม้ข้าจะกลัวสังสารวัฏ แต่หายี่หระต่อความเป็นความตายไม่”
ดาบเหล็กสั่นสะท้านเล็กน้อย เสียงแหบแห้งของบุรุษดังออกมา
ซูอี้ครุ่นคิด ก่อนจะถามว่า “เช่นนั้น ไฉนเจ้าจึงไล่ฆ่าหลวงจีนผู้นี้กัน?”
ชายผู้นั้นตอบ “หากข้าคิดฆ่าเขาจริง ๆ คงไม่ปล่อยเขาหนีไปเจ็ดวันเจ็ดคืนเช่นนี้ เหตุที่ข้าไม่ลงมือนั้นเป็นเพราะเกรงว่าหากลงมือ เขาจะตายโดยมิอาจรับได้แม้เพียงดาบเดียว”
หลวงจีน “???”
นี่เขาถูกดูแคลนเพียงนี้เลยหรือ?
ซูอี้กล่าวอย่างสนใจ “แล้วไฉนเจ้าต้องไล่ตามเขาด้วยเล่า?”
ชายผู้นั้นว่า “ซากของข้าอยู่ในวัดแห่งนั้น และข้าต้องรับมันคืนมาก่อร่างใหม่”
หลวงจีนประหลาดใจ “เป็นไปไม่ได้ ข้าพิทักษ์วัดสรรพสุญตาแห่งนี้มานาน มิเคยได้เห็นซากสังขารใด ๆ”
ซากสังขารก็คือซากผู้วายชนม์
“นั่นเป็นเรื่องที่เจ้าไม่เข้าใจเอง กาลก่อน ข้าและผู้ก่อตั้งวัดสรรพสุญตาของพวกเจ้าสนทนาธรรมกันพันปี ต่างฝ่ายต่างนั่งลงยืนยันวิถีของแต่ละคน ทว่าทันใดนั้นก็ประสบหายนะสิ้นกฎเกณฑ์ ด้วยรีบร้อน บรรพชนของพวกเจ้าจึงซ่อนสังขารของข้าไว้ใต้ต้นเยว่กุ้ยนั่น”
ชายผู้นั้นว่า “ยามนี้ข้าลืมตาตื่นจากนิทรา และหากได้สังขารคืน ข้าก็จะออกมาจากดาบเลิศจักรวาลนี้ได้”
หลวงจีนตะลึงร้องเสียงหลง “ดาบเลิศจักรวาล! เจ้าคือเซียนดาบชิงซื่อหรือ?!”
ดาบเลิศจักรวาล!
ซูอี้ครุ่นคิดชั่วครู่และจำได้เช่นกัน
เมื่อไม่นานมานี้ ลึกเข้าไปในสมุทรมารไร้กำหนด ยามเขาปราบเสี้ยววิญญาณของสมมติเทพเสว่เติงในห้วงความนึกคิด อีกฝ่ายก็ตะลึงกับดาบเก้าคุมขังและกล่าวบางคำเกี่ยวกับดาบเลิศจักรวาลนี้
กล่าวกันว่าดาบเล่มนี้คือดาบอันทรงพลังที่สุดในยุคสิ้นกฎเกณฑ์!
“เซียนดาบชิงซื่อ? โอ้ นั่นเป็นเพียงนามเท็จ มิใช่เซียนเพียงวัน จะมีหน้าที่ไหนเรียกตนเองว่า ‘เซียนดาบ’ กัน?”
เสียงของชายผู้นั้นดังออกจากดาบเหล็กอย่างเย้ยหยันตนเอง “อย่าว่าแต่ใดอื่น ดาบเลิศจักรวาลเสียหายยับเยินจากหายนะ รอดมาวันนั้นมันก็ไม่ต่างจากเศษเหล็กทื่อ ๆ”
เขากล่าวจบก็ถอนหายใจยาว
กาลเวลาไร้ปรานี อดีตกาลเคลื่อนผ่านจนท้ายที่สุดก็เหลือเพียงฝุ่นควัน
“คนผู้นี้คือเซียนดาบชิงซื่อจริง ๆ หรือ?”
ซูอี้เลิกคิ้ว หาทราบที่มาของอีกฝ่ายไม่ แต่พอเดาได้ว่าในเมื่ออีกฝ่ายครอบครองดาบเซียนอันดับหนึ่ง ดาบเลิศจักรวาลแห่งยุคสิ้นกฎเกณฑ์ เขาต้องเป็นตัวตนไร้คู่เปรียบก่อนสิ้นขัยแน่แท้!
“ผู้อาวุโส ไฉนท่านไม่บอกแต่แรกเล่า กระต่ายตื่นตูมจุดไต้ตำตอแท้ ๆ เชียว”
หลวงจีนรำพัน
ผู้ก่อตั้งวัดสรรพสุญตาของพวกเขา คราหนึ่งเคยเป็นสหายสนิทกับเซียนดาบชิงซื่อ!
ทั้งสองต่างฝึกฝนวิถีดาบ และผู้ก่อตั้งวัดสรรพสุญตาของพวกเขาก็มีสมญาเป็น ‘ดาบพุทธะสรรพสุญตา’
“ก่อนหน้านี้ข้าเลอะเลือน จนกระทั่งปราณวัฏสงสารของสหายเต๋าผู้นี้ปลุกข้าตื่นจากความงงงวยอย่างสมบูรณ์ หากข้ากระทำการล่วงเกิน หวังว่าเจ้าจะให้อภัยด้วย”
ชายผู้นั้นกล่าวอย่างขออภัย
หลวงจีนกล่าวยิ้ม ๆ “นี่คงกล่าวได้ว่าหากมิประมือ ก็มิรู้จักกัน”
กล่าวจบ เขาก็ถ่ายทอดเสียงอย่างเฉยเมยหาซูอี้ “เจ้าว่าคนผู้นั้นคือเซียนดาบชิงซื่อจริงหรือไม่?”
“ข้าจะรู้ได้เช่นไร ข้าไม่ทราบกระทั่งที่มาของเขาเลย”
ซูอี้ตอบ
“เซียนดาบชิงซื่อ ถือได้ว่าเป็นผู้ฝึกดาบอันเป็นตำนานที่สุดแห่งยุคสิ้นกฎเกณฑ์ กล่าวกันว่ามีเซียนสวรรค์ผู้หนึ่งอยากรับเขาเป็นศิษย์ พาไปฝึกฝนยังโลกแห่งเซียน ทว่าเขาปฏิเสธ กล่าวว่าต้องการค้นหาวิถีดาบเยือนประตูเซียนด้วยตนเอง”
“ข้ายังรู้มาจากคัมภีร์โบราณของวัดด้วยว่าเซียนดาบชิงซื่อ ครั้งหนึ่งเป็นสหายสนิทของบรรพชนเรา และครั้งหนึ่งเคยสนทนาธรรมด้วยกันมาก่อน”
“แต่ข้าไม่คาดเลยว่าตาเฒ่าผู้น่าจะตายไปในยุคสิ้นกฎเกณฑ์จะรอดมาถึงทุกวันนี้!”
หลวงจีนคงจ้าวกล่าว อดปาดเหงื่อกาฬมิได้
ชวนใจหายจริงแท้
ซูอี้กล่าวอย่างใจเย็น “อย่าห่วงไป เมื่อไม่นานนี้ ข้าได้พบทายาทเซียนจากโลกแห่งเซียนผู้ประสบหายนะสิ้นกฎเกณฑ์ แปรเปลี่ยนเป็นวิญญาณอาสัญมาเช่นกัน”
“ทายาทแห่งเซียนหรือ?”
หลวงจีนคงจ้าวตะลึงอ้าปากค้าง
ซูอี้ว่า “เจ้าจะกลัวอันใด ก็แค่วิญญาณอาสัญเอง ทั้งอีกฝ่ายเพิ่งพูดไปว่าหากเขาคิดฆ่าเจ้าจริง ๆ เจ้าก็ไม่มีทางหนีเขาได้เจ็ดวันเจ็ดคืนเช่นนี้หรอก”
หลวงจีนคงจ้าว “…”
เขารู้สึกถูกดูถูกเหยียดหยามอยู่จริง ๆ
ทว่า หลังครุ่นคิดถี่ถ้วน เขาก็ผ่อนคลายลงเมื่อรู้ว่าเป็นเช่นนั้นจริง
“มิใช่ว่าวิญญาณอาสัญของบรรพชนเจ้าก็ตื่นแล้วหรือ?”
ทันใดนั้น เสียงของชายผู้นั้นก็ดังออกมาจากดาบเหล็กขึ้นสนิม
หลวงจีนคงจ้าวส่ายหน้ากล่าว “ตอบผู้อาวุโสตามจริง ข้ารู้เรื่องราวเกี่ยวกับยุคสิ้นกฎเกณฑ์เพียงผิวเผินเท่านั้น นับแต่อาจารย์ข้าสิ้นสังขาร ข้าก็เหลือเพียงลำพังในวัดสรรพสุญตาแห่งนี้”
“อย่างนี้เอง”
ชายผู้นั้นกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ท้ายที่สุด ตัวตนผู้รอดจากยุคสิ้นกฎเกณฑ์ได้มีเพียงน้อยนิด และคนอื่น ๆ …ก็สิ้นขัยไปแต่ยามประสบหายนะแล้ว”
เขาเว้นช่วงเล็กน้อยและกล่าวว่า “ข้าจำได้ว่าสังขารบรรพชนของเจ้าแปรเปลี่ยนเป็นเถ้ากระดูก ถูกฝังอยู่ใต้ต้นเยว่กุ้ยนั้นด้วยเช่นกัน”
หลวงจีนคงจ้าวตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นจึงกล่าวอย่างตื่นเต้น “ผู้อาวุโส จากวาจาของท่าน หมายความว่าวิญญาณอาสัญบรรพชนของข้าก็น่าจะตื่นขึ้นมาด้วยเช่นกันหรือ?”
“ไม่แน่ชัด ทว่าเจ้าจะลองก็ย่อมได้”
ชายผู้นั้นว่า “สหายเต๋าผู้นั้นมีพลังแห่งวัฏสงสาร หากมีวิญญาณอาสัญบรรพชนเจ้าอยู่จริง เจ้าก็ใช้พลังแห่งวัฏสงสารปลุกมันขึ้นมาได้”
หลวงจีนคงจ้าวตื่นเต้น ดวงตาวาวโรจน์มองซูอี้พลางกล่าว “ชะตาเอ๋ย ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ดูเหมือนชะตาแห่งปรภพจะส่งเจ้ามาอยู่ตรงหน้าข้าได้เหมาะเจาะจริงแท้!”
ซูอี้ “…”
“ไป ๆ เข้ามาในวัดสรรพสุญตาของข้าสิ!”
หลวงจีนคงจ้าวเชื้อเชิญอย่างอบอุ่น
วัดสรรพสุญตาเป็นดั่งแดนสุขาวดี ดอกไม้ใบหญ้าหายากงอกเงย พฤกษาโบราณขนาดหลายคนโอบ อารามโบราณตั้งตระหง่านเรียงกัน เรื่อเรืองด้วยแสงแห่งสรวงสร้างบรรยากาศเคร่งขรึมศักดิ์สิทธิ์ สงบบริสุทธิ์
ตรงหน้าต้นเยว่กุ้ยตระหง่านสูงต้นหนึ่ง
หลวงจีนคงจ้าวขุดพื้นเป็นหลุมใหญ่ลึกสามฉื่อ
ไม่นานนัก กล่องสำริดใบหนึ่งก็เผยออก ณ ก้นหลุม ปกคลุมด้วยลวดลายลับเกินเข้าใจ พรางปราณของกล่องสำริดนี้โดยสมบูรณ์
“ไม่น่าเล่า ตลอดมาจึงไม่มีผู้ใดพบสิ่งนี้ บรรพชนผนึกมันไว้ด้วยลวดลายลับต้องห้ามนี่เอง”
หลวงจีนคงจ้าวตื่นเต้นยิ่ง หัวใจเต้นมิเป็นส่ำ
เขาแน่ใจว่าสรีรสังขารของบรรพชนตนต้องอยู่ในกล่องสำริดนี้!
“ทัศนาจารย์ ช่วยหลวงจีนผู้นี้เร็วเข้า หากอัญเชิญบรรพชนมาได้ ข้าเรียกเจ้าเป็นบรรพชนให้เลยเอ้า!”
หลวงจีนคงจ้าวกล่าวเร่งอย่างร้อนรน
ซูอี้กล่าวอย่างเคือง ๆ “ข้าไร้ซึ่งหลานเช่นเจ้า”
ทว่าถึงว่าไป เขาก็ยังใช้พลังวัฏสงสารกดฝ่ามือลงบนกล่องสำริดอยู่ดี
แกรก!
กล่องสำริดพลันขยับเคลื่อนเปิดเอง และแสงธรรมอ่อนโยนทว่าเจิดจรัสพลันปรากฏขึ้น
โดยมิรีรอให้ซูอี้ได้เห็นกระจ่าง
ทันใดนั้น เสียงบุรุษก็ดังออกมาจากดาบเหล็กขึ้นสนิม
“ข้าก็สัมผัสสังขารข้าได้เช่นกัน”
ตู้ม!
ดาบเหล็กวาดเบา ๆ แล้วผืนปฐพีก็แยกตัว
ข้างกล่องสำริดมีโลงศพสำริดยาวประมาณหนึ่งจั้งปรากฏขึ้น
ทันใดจากนั้น ดาบเหล็กก็พุ่งไปหาโลงศพสำริด
ยามนี้ ซูอี้ดูจะสัมผัสบางอย่างได้ และถอยกรูดไปไกลพร้อมหลวงจีนกับเว่ยซาน
ตู้ม!
โลงศพสำริดกู่คำราม แสงเซียนสาดส่อง เพลิงแสงพุ่งทะยานสู่เก้าชั้นฟ้า
ขณะเดียวกัน แสงธรรมจากกล่องสำริดก็ทะลักไหลเยี่ยงคลื่นวารี กู่คำรามทั่วฟ้าดิน และทั่ววัดสรรพสุญตาก็อาบไล้ด้วยชั้นอำนาจอันยิ่งใหญ่ศักดิ์สิทธิ์
และต่อหน้าต่อตาซูอี้ เหนือเศษเหล็กขึ้นสนิมพลันปรากฏร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งขึ้นเงียบ ๆ แสงเซียนโปรยปรายราวภาพฝัน
และตรงหน้าสรีรสังขารปรากฏร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธิราวพุทธองค์ พันมหาโลกภูมิสะท้อนเบื้องหลังเขา
หนึ่งดาบขึ้นสนิมยืนหยัดบนปฐพี โครงกระดูกแปรเปลี่ยนบรรลุเซียน
หนึ่งนั่งฌานขัดสมาธิ สรีรสังขารตรัสรู้สู่พุทธองค์!