บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1318: ปลดพันธนาการ
ตอนที่ 1318: ปลดพันธนาการ
แสงเซียนเหนือวัดสรรพสุญตาเจิดจ้าขึ้นมา แสงพุทธธรรมกระจ่างวาบ ดูเป็นภาพอันยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์
“ในที่สุดก็ปรากฏแล้ว! ดูเหมือนจะมีบางอย่างน่าเหลือเชื่อเกิดขึ้นในวัดลึกลับแห่งนี้!”
ตัวตนกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นทั่วฟ้าดินที่อยู่แสนไกล
“รีบแจ้งใต้เท้าธิดาผีเสื้อเร็วเข้า บอกไปแค่ว่าวัดสรรพสุญตาปรากฏขึ้นแล้ว!”
“ขอรับ!”
…
ในโลกหล้าอันมืดมัวแห่งหนึ่ง
“นายท่าน สายของพวกเราเพิ่งแจ้งมาว่าวัดสรรพสุญตาปรากฏขึ้นแล้วเจ้าค่ะ”
ผีเสื้อสีดำตัวหนึ่งกระพือปีก แปรเปลี่ยนเป็นหญิงสาวตรงหน้าช่างเสื้อ
ช่างเสื้อ ณ ขณะนั้นกำลังชงชา และยามได้ยินเช่นนี้ เขาก็ทำเพียงกล่าวพลางยิ้มแย้ม “ทัศนาจารย์โกรธแล้ว และเขาก็คงจะมาคิดบัญชีกับข้าเป็นแน่”
หญิงสาวผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะถามอย่างงุนงงว่า “นายท่าน วัดสรรพสุญตาเกี่ยวอันใดกับนายท่านหรือเจ้าคะ?”
ช่างเสื้อว่า “ในอดีต เจ้าเคยจัดส่งกำลังมากมายไปสำรวจวัดสรรพสุญตา ทว่ากลับมิเคยหามันพบ ทว่ายามนี้ วัดสรรพสุญตากลับปรากฏขึ้นเอง มิรู้สึกแปลกบ้างหรือไร?”
หญิงสาวประหลาดใจ “การปรากฏขึ้นของวัดสรรพสุญตาเกี่ยวข้องกับทัศนาจารย์หรือเจ้าคะ?”
ช่างเสื้อพยักหน้าน้อย ๆ จากนั้นก็หยิบกาน้ำชาออกมาจากเตาไฟ รินลงจอกของตน พลางกล่าวว่า “หลวงจีนคงจ้าวแห่งวัดสรรพสุญตาเป็นสหายรักของทัศนาจารย์ และหากจะมีผู้ใดหาวัดสรรพสุญตาพบ คนผู้นั้นก็คือทัศนาจารย์”
หญิงสาวว่า “แต่ว่านายท่าน เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับการมาคิดบัญชีกับท่านเล่า?”
สายตาของช่างเสื้อดูแปลกพิกลขณะรำพึงเบา ๆ “มันเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว อย่าพูดถึงมันเลย สรุปสั้น ๆ ก็คือ ทัศนาจารย์อยากคิดบัญชีกับข้า และหลวงจีนคงจ้าวช่วยเขาได้จริง ๆ”
หญิงสาวผงะไป “นายท่าน แล้วเราควรทำเช่นไรดีเจ้าคะ?”
ช่างเสื้อดื่มชาในจอกพลางกล่าว “ง่ายมาก กระจายข่าวไปว่าทัศนาจารย์แวะเยือนวัดสรรพสุญตา และจะมีคนช่วยเราเอง”
จากนั้นช่างเสื้อก็กล่าวต่อ “และจากนี้ไป เจ้าจงติดต่อไปยังกองกำลังทั้งหมดที่เรากระจายทั่วภูมิดาราเทพนคร พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปกระทำการใด ๆ หากมิได้รับคำสั่งจากข้า”
หัวใจของหญิงสาวหนาวเยือก ขณะรับคำสั่งอย่างเคร่งขรึม
และทันใดนั้น นางก็อดกล่าวมิได้ “นายท่าน เช่นนั้น ท่านคิดว่าหนนี้ทัศนาจารย์จะรอดหรือไม่เจ้าคะ?”
ช่างเสื้อกล่าวพลางเสสรวล “ไม่ว่าเขาจะรอดหรือตายไม่สำคัญ ประเด็นอยู่ที่เราจะยังฉวยโอกาสตักตวงผลประโยชน์มาเสริมความแข็งแกร่งของตนเองได้หรือไม่”
กล่าวจบ เขาก็โบกมือ “ไปเถอะ”
…
ณ วัดสรรพสุญตา
นิมิตที่ปรากฏขึ้นทั่วฟ้าดินเลือนหาย
มีร่างสองร่างยืนอยู่ตรงหน้าต้นเยว่กุ้ย
คนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนสวมชุดบัณฑิตยาว จอนผมหงอกขาว บนใบหน้าเจือร่องรอยการเปลี่ยนแปรแห่งกาลเวลา
อีกคนหนึ่งเป็นหลวงจีนผู้มีโครงร่างใหญ่ สีหน้าเคร่งขรึมหนักแน่นในจีวรสีขาว ศีรษะเกลี้ยงเกลา ความรู้สึกลึกล้ำแข็งแกร่งเยี่ยงเหล็ก
บุคคลแรกคือนักดาบในตำนานแห่งยุคสิ้นกฎเกณฑ์ ซึ่งเป็นที่ยกย่องในนาม ‘เซียนดาบชิงซื่อ’
บุคคลหลังคือบรรพชนผู้ก่อตั้งวัดสรรพสุญตา ผู้บุกเบิกแดนบรรพชนแห่งพุทธสำนัก และเป็นเจ้าของสมญาดาบพุทธะสรรพสุญตา ณ ยุคสิ้นกฎเกณฑ์!
หลังจากเวลาผ่านไปแสนนาน ทั้งสองก็ฟื้นคืนสติ หวนพานพบเสวนากันอีกครั้ง ต่างฝ่ายต่างเปี่ยมด้วยอารมณ์ความรู้สึกหลากหลาย
ซูอี้มองภาพตรงหน้าอย่างครุ่นคิด
อันที่จริง ไม่ว่าเซียนดาบชิงซื่อหรือบรรพชนแห่งวัดสรรพสุญตาต่างก็เป็นวิญญาณอาสัญ หรือร่างวิญญาณแบบหนึ่งในขณะนี้
เพียงแค่ว่าการฝึกฝนวิถีเต๋าของทั้งสองต่างแข็งแกร่งยิ่งและมิอาจเทียบกับผู้ฝึกตนธรรมดาได้แม้แต่น้อย
“บรรพชนของเจ้าฝึกฝนถึงขอบเขตใดก่อนละสังขารหรือ?”
ซูอี้ถ่ายทอดเสียงถาม
คงจ้าวรีบตอบกลับ “หากข้ารู้ คงบอกเจ้าไปตั้งแต่อดีตชาติแล้ว ไฉนต้องรอจนป่านนี้ด้วย?”
ซูอี้ผงะไป
คงจ้าวก้าวยาว ๆ เข้าไปหา ประนมมือเข้าหากัน ก่อนกล่าวด้วยท่าทีเคร่งขรึม “ศิษย์คงจ้าวแห่งวัดสรรพสุญตานมัสการบรรพชน!”
ดาบพุทธะสรรพสุญตามองคงจ้าวแล้วรำพึง “ข้ามิคาดเลยจริง ๆ ว่าหลังจากเกิดหายนะสิ้นกฎเกณฑ์ เชื้อสายวัดสรรพสุญตาจะรอดมาจนถึงยุคปัจจุบันได้”
คงจ้าว “…”
หากวัดสรรพสุญตาไม่รอดจนยามนี้ แล้วจะมีข้าคงจ้าววันนี้หรือ?
ต่อมา คงจ้าวก็แนะนำซูอี้กับเว่ยซานให้แก่บรรพชนของเขา
หลังจากทักทายกันเสร็จสิ้น
ภายใต้การจัดสรรของคงจ้าว ทุกผู้ก็เข้าไปยังวิหารแห่งหนึ่ง จากนั้นนั่งลงกับพื้นและสนทนา
ระหว่างการสนทนา ในที่สุดซูอี้ก็รู้ว่าดาบพุทธะสรรพสุญตาและเซียนดาบชิงซื่อต่างเป็นผู้ฝึกตนในขอบเขตจุติมงคลก่อนสิ้นใจ!
ทว่าขณะนี้ทั้งคู่ต่างอยู่ในสถานะวิญญาณอาสัญ เพิ่งลืมตาตื่นจากนิทราแสนนานได้เพียงครู่ และความแข็งแกร่งยังอ่อนด้อยกว่ายามที่มีชีวิตอยู่มาก ซึ่งคงเทียบเท่ากับยอดราชันจุติสรวงขั้นต้นขอบเขตจุติมงคล
แต่ถึงเช่นนั้นก็เหลือเชื่อแล้ว
จากความเข้าใจของซูอี้ ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของสมมติเทพเซวี่ยเติงและบัณฑิตผีผู้สิ้นใจด้วยมือปราชญ์หงอวิ๋นเทียบได้เพียงขอบเขตรวมวิถีขั้นต้นเท่านั้น
และซงเฮ่อผู้เป็นยอดคนในขอบเขตรวมวิถีก่อนตาย ยามนี้เขาเป็นเพียงวิญญาณอาสัญ จึงมีความแข็งแกร่งเพียงขอบเขตจิตทารกขั้นปลาย
อันที่จริง ในโลกหล้าทุกวันนี้ มีเพียงวิญญาณอาสัญในขอบเขตจิตทารกเช่นซงเฮ่อเท่านั้นที่จะไม่ถูกกฎสวรรค์กลืนกิน
เหมือนเช่นเซียนดาบชิงซื่อผู้ซ่อนตัวในดาบเลิศจักรวาลเมื่อครู่นี้ เขาหาได้กล้าปรากฏตัวไม่ จนกระทั่งเมื่อหลอมรวมเข้ากับสังขารยามมีชีวิต ณ วัดสรรพสุญตา จึงออกจากดาบเลิศจักรวาลและกลายเป็นร่างวิญญาณในที่สุด
แต่ไม่ว่าจะเป็นเซียนดาบชิงซื่อหรือดาบพุทธะสรรพสุญตา พวกเขาก็ไม่อาจออกจากวัดนี้ได้ในขณะนี้เช่นกัน
หาไม่ พวกเขาจะถูกกฎสวรรค์ตอบโต้
เรื่องนี้ก็ถูกยกขึ้นมาหารือในการสนทนาเช่นกัน
“ไม่คาดเลยจริง ๆ ว่าพลังแห่งการเวียนวัฏจะปรากฏขึ้นในโลกหล้า”
ดาบพุทธะสรรพสุญตารำพึง
จากวาจาของเขา วัฏสงสารนั้นสิ้นไปจากโลกตั้งแต่ก่อนกาลแล้ว
ขณะนั้นมีเซียนจากโลกเซียนผู้สำรวจหาเคล็ดวัฏสงสารในทุกโลกภูมิในจักรดาราตงเสวียน และกระทั่งเดินทางสู่ภูมิมืดมิดในภูมิดาราฟ้าดินด้วย
ทว่าท้ายที่สุด พวกเขาก็คว้าน้ำเหลว
“น่าประหลาดใจจริง จากพันธสัญญาแห่งเทพโบราณ วัฏสงสารถูกลบหายไปนานแล้ว และไม่มีผู้ใดในโลกได้รับอนุญาตให้เวียนวัฏอีก”
สายตาของเซียนดาบชิงซื่อแปรประหลาด “แต่ดูเหมือนว่าสหายเต๋าซูจะเป็นข้อยกเว้นโดยเห็นได้ชัด”
เขาและดาบพุทธะสรรพสุญตารู้ว่าซูอี้ผู้ควบคุมวัฏสงสารเป็นตัวตนพิเศษต่อวิญญาณอาสัญเหล่านี้เพียงใด
สามารถแยกพวกเขาออกจากพันธนาการแห่งคำสาปได้
และยังสามารถทำให้พวกเขาสลายหายไร้ร่องรอยได้เช่นกัน!
“ทัศนาจารย์เอ๋ย หลวงจีนผู้นี้อยากขอรบกวนหน่อย”
โดยมิรีรอให้เขาพูด ซูอี้ก็กล่าวขึ้นก่อน “ได้”
หลวงจีนคงจ้าวผงะไป ก่อนจะรู้สึกโล่งใจ แล้วกล่าวพลางยิ้มออกมาทันที “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุด!”
ยามนี้ เซียนดาบชิงซื่อและดาบพุทธะสรรพสุญตาเองก็เข้าใจความหมายแฝง พวกเขาลุกขึ้นพร้อมเพรียงอย่างใจชื้น
“ขอบคุณสหายเต๋าที่ทำให้เราทั้งสองสมบูรณ์!”
เซียนดาบชิงซื่อและดาบพุทธะสรรพสุญตาล้วนกุมกำปั้นคำนับด้วยสีหน้าตื่นเต้น
ไม่น่าแปลกเลยที่ทั้งสองจะตื่นเต้นปรีดา หากมีวิญญาณอาสัญตนใดปลดพันธนาการแห่งคำสาปบนร่างได้ พวกเขาก็จะสามารถคืนชีวิตสู่โลกหล้า ฝึกฝนวิถีเซียนต่อไปได้!
หาไม่ ชั่วชีวิตนี้ พวกเขาจะไร้โอกาสเดินบนวิถีต่อในภายหน้าได้อีก
หากซูอี้ช่วยพวกเขาได้ มันก็เท่ากับเป็นบุญคุณสร้างชีวิตใหม่!
“ทว่าไม่มีสิ่งใดไร้ราคา ข้าไม่รู้ว่าสหายเต๋าซูมีธุระใดต้องสะสาง หากเราทั้งสองช่วยได้ ขอให้บอกมาอย่าเกรงใจ”
เซียนดาบชิงซื่อกล่าวอย่างเคร่งขรึม
ดาบพุทธะสรรพสุญตาเองก็พยักหน้า
ซูอี้ส่ายหน้ากล่าว “ท่านทั้งสองอย่าถือพิธีเลย ข้าเป็นสหายรักของหลวงจีนคงจ้าว มีหรือจะคิดหาสิ่งตอบแทน หากทำเช่นนั้นจริงคงเหมือนตบหน้าตัวเองปะไร”
ทันทีที่วาจาถูกกล่าว ยอดฝีมือระดับสูงสุดทั้งสองผู้เลื่องนามในยุคสิ้นกฎเกณฑ์ต่างอดรู้สึกละอายน้อย ๆ มิได้
ทว่าก็เพราะเหตุนี้เอง ทั้งสองจึงยิ่งหมายมั่นตอบแทนซูอี้
“หลวงจีนเฒ่า สหายเต๋าซูผู้นี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ในความคิดข้า ข้าต้องคิดหาวิธีตอบแทนบุญคุณใหญ่หลวงนี้ของเขาในภายหน้าให้ได้”
เซียนดาบชิงซื่อว่า
“มันควรเป็นเช่นนั้น”
ดาบพุทธะสรรพสุญตาตอบกลับอย่างเคร่งขรึม “พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ว่ายามเฉือนเนื้อเลี่ยงอินทรี อย่าได้คิดหวังสิ่งตอบแทน นี่คือมหาเมตตาที่แท้จริง แต่สำหรับเรา หากมิตอบแทนบุญคุณ เราจะต่างอันใดกับคนเถื่อนเล่า?”
เซียนดาบชิงซื่อพยักหน้า ครุ่นคิดลึกล้ำ
ชั่วขณะนั้น ยอดฝีมือสูงสุดแห่งโบราณกาลทั้งสองคนล้วนแปรเปลี่ยนความประทับใจที่มีต่อซูอี้
หลวงจีนคงจ้าวเองก็แสนยินดี แย้มยิ้มกว้างเสียจนหุบไม่ลง
วาจาของซูอี้ไว้หน้าเขาเพียงพอให้เชิดหน้าชูตายิ้มร่าได้ต่อหน้าบรรพชน ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าหัวใจของเขารู้สึกยินดีเพียงไร
เมื่อเห็นทั้งหมดนี้ เว่ยซานลอบกล่าวในใจว่าวาจาของนายน้อยทำให้ทุกผู้สุขใจ ช่างน่าอัศจรรย์จริงแท้
ต่อมา ซูอี้หารอช้าไม่ เขาลงมือทำลายอำนาจคำสาปของทั้งสองลงทันที
ตู้ม!
รัศมีจากเคล็ดวัฏสงสารปรากฏขึ้นบนมือของซูอี้ และเมื่อสัมผัสปราณวัฏสงสารได้ ทั้งเซียนดาบชิงซื่อและดาบพุทธะสรรพสุญตาต่างสันหลังหนาววาบ รู้สึกหวาดกลัวในอันตรายอย่างไม่อาจสะกดกลั้น
หากพวกเขาไม่ได้เชื่อใจซูอี้ ทั้งคู่คงเกือบได้ลงมือขัดขืนอำนาจเช่นนี้แล้ว!
เปรี้ยง!
ด้วยอำนาจในมือซูอี้ พลังแห่งวัฏสงสารเวียนวนเยี่ยงวังวารี และทันใดนั้น อำนาจหายนะประหลาดสีเทาจากร่างวิญญาณของดาบพุทธะสรรพสุญตาก็ถูกจับออกมา
มันดูราวกับอสรพิษตัวยาว ปกคลุมด้วยอำนาจกฎเกณฑ์หนาแน่นเกินเข้าใจ มองปราดแรกแล้วเหมือนเส้นหนวดเล็ก ๆ อันบิดเบี้ยวน่าสะอิดสะเอียน
นี่คืออำนาจแห่งคำสาป!
อำนาจหายนะที่เกิดขึ้นในยุคสิ้นกฎเกณฑ์ เป็นตัวแทนหายนะอันเกิดขึ้นใน ‘อดีต’ หากไม่ถูกทำลายก็จะผูกมัดวิญญาณอาสัญไปชั่วกัลป์ ทำให้พวกเขามิอาจเป็นได้ทั้งคนหรือผี!
เดิมซูอี้เองก็อยากสืบเสาะปริศนาแห่งอำนาจคำสาปนี้เช่นกัน แต่ใครเล่าจะคิดว่าพลังคำสาปนี้ช่างประหลาดพิสดารยิ่ง มันทะยานแหวกอากาศพุ่งเข้าใส่เขาราวกับมีชีวิต!
“ระวัง!”
หลวงจีนคงจ้าวอดหน้าเปลี่ยนสีมิได้
ซูอี้แย้มยิ้ม แสงสีดุจพลบค่ำปรากฏขึ้นพร้อมอำนาจแห่งวัฎสงสาร ซึ่งนั่นก็คือเคล็ดพลังแห่งจุดจบ
ตู้ม!
อำนาจคำสาปนั้นแหลกสลายไปท่ามกลางแสงสีแห่งพลบค่ำ
“พันธนาการในร่างของข้าสิ้นสลาย… ไปเช่นนี้…”
เซียนดาบชิงซื่อดูตะลึงราวกับไม่อยากเชื่อ
และต่อจากนั้น ซูอี้ก็ใช้วิธีเดิมช่วยปลดคำสาปให้แก่ดาบพุทธะสรรพสุญตา
ดาบพุทธะสรรพสุญตาพนมมือคำนับ “อมิตาพุทธ ขอบคุณที่ช่วยอาตมาหลุดพ้นจากทะเลทุกข์ ณ วันนี้!”
เห็นได้ชัดว่าเขาตื่นเต้น แม้แต่ใบหน้าเคร่งขรึมของเขาก็มิอาจซ่อนความปรีดาไว้ได้
“ก็แค่ยื่นมือช่วยเหลือเล็กน้อยเท่านั้น”
ซูอี้กล่าวเรียบ ๆ
สำหรับเขา การปลดอำนาจคำสาปเช่นนี้ง่ายดายเยี่ยงลมโชย
ทว่าสำหรับเซียนดาบชิงซื่อและดาบพุทธะสรรพสุญตา นี่คือบุญคุณใหญ่หลวง!
แต่ยามนี้เอง… พลันเกิดการเคลื่อนไหวขึ้นที่นอกวัดสรรพสุญตา!