บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 132 เจ้าดูดีไม่น้อย!
เช้าวันถัดมา
เฝิงเสี่ยวหรานได้ตระหนัก ว่าซูอี้ผู้ซึ่งเคยฝึกฝน ชำระกาย ทานอาหาร และมักกลับห้องตนเองไปฝึกฝนโดยต่อเนื่อง วันนี้กลับออกไปภายนอกเป็นครั้งแรก!
“พี่ซูอี้ ท่านคิดไปไหนหรือ?” นางอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว
เฝิงเสี่ยวเฟิงและหวงเฉียนจวินต่างก็สงสัย
“หลังความวุ่นวายผ่านพ้น จึงคิดไปพบคนผู้หนึ่ง” ซูอี้ยิ้มรับพร้อมลูบศีรษะเฝิงเสี่ยวหราน
“อื้ม!” เฝิงเสี่ยวหรานพยักหน้ารับ
“พี่ซู ต้องการใช้รถม้าหรือไม่?” หวงเฉียนจวินอดไม่ได้จึงถาม
“ไม่เป็นไร เจ้ามีอะไรทำก็จัดการไป”
ซูอี้โบกมือตอบโดยไม่หันกลับ ร่างนั้นเดินออกไปจนหายจากลานบ้าน
“ศิษย์พี่ซูวันนี้ดูค่อนข้างอารมณ์ดี”
เฝิงเสี่ยวเฟิงประหลาดใจเล็กน้อย ตัวเขาเอนพิงกับไม้ค้ำ หลังได้รับสมุนไพรวิญญาณหลากหลายช่วยบำรุง แม้ยากลำบากไปบ้าง แต่เขาก็สามารถก้าวเดินได้แล้ว
“ต้องเป็นเพื่อนสนิทอย่างแน่นอน” เฝิงเสี่ยวหรานกล่าวคำจริงจัง
“เพื่อนสนิท?”
หวงเฉียนจวินครุ่นคิดอยู่นาน ฉับพลันเกิดนึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมา
เหวินหลิงเสวี่ย!
…
สำนักดาบชิงเหอ
พื้นที่กว่าหนึ่งพันไร่ รวมกับลานฝึกฝนมากมาย สิ่งปลูกสร้าง ตำหนัก ทั้งหมดนี้เรียงรายเกิดเป็นพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาล
ในเชิงความนึกคิด สำนักดาบชิงเหอถือเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของคนหนุ่มสาวแห่งสิบเก้าเมืองภายใต้เขตปกครองอวิ๋นเหอ
แสงยามเช้ายังอ่อน ตรงหน้าประตูสำนักดาบชิงเหอ คนหนุ่มสาวหลายคนต่างเดินเข้าออกอย่างมีชีวิตชีวา
พวกเขาส่วนใหญ่อายุราวสิบหกถึงสิบเจ็ดปี กล่าวได้ว่าเป็นช่วงเวลาอันงดงามแห่งชีวิต
ซูอี้วางสองมือไว้ด้านหลังพลางเดินไป ยามพบเห็นลานฝึกฝนอันคุ้นเคย หลากหลายความทรงจำในอดีตก็ผุดขึ้นมา
ครั้งที่ตัวเขาอายุสิบสี่ปี โดดเดี่ยวเดียวดาย เดินทางผ่านภูเขาและสายน้ำ เพื่อคำนับเข้าร่วมสำนักดาบชิงเหอแห่งนี้
ช่วงเวลาแห่งความขื่นขมสามปี เพียงนึกย้อนถึง รสชาติเหล่านั้นพลันปรากฏขึ้นในใจ
“นี่ ศิษย์พี่คนนั้นเป็นใครกัน ดูหล่อเหลาไม่ใช่น้อย!”
“ชู่วว สำรวมอาการหน่อย!”
ไม่ไกลห่าง ยามผู้อื่นพบเห็นซูอี้ เด็กสาวหลายคนเกิดดวงตาเป็นประกายกระซิบกระซาบ
ต้องยอมรับ ว่ารูปลักษณ์ของซูอี้นั้นโดดเด่น ไม่ว่าจะทั้งรูปกาย รวมถึงใบหน้า
เมื่อรวมเข้ากับบรรยากาศเอกลักษณ์อันเฉยชาเฉพาะตัว มันจึงกลายเป็นจุดดึงดูดเด็กสาวเยาว์วัยเหล่านี้ ผู้ซึ่งยังไม่ประสาต่อโลก
“ให้สำรวมอะไร บรุษรูปงามเช่นนี้หากช้าจะถูกช่วงชิงเอาไป ขืนไม่เคลื่อนไหวโดยเร็ว เช่นนั้นแม้น้ำซุปก็ไม่ได้จิบแล้ว”
เด็กสาวเยาว์วัยผู้งดงามเชิดหน้าขึ้น ฝีเท้าก้าวเดินออก พร้อมกล่าวคำอย่างสุภาพ
“พี่ชายท่านนี้ นามข้าเถียนเหยา พอจะรู้จักข้าบ้างหรือไม่?”
ดวงตาเด็กสาวกลมโต แก้มแดงประหนึ่งลูกท้อ เอวเพรียวบาง พร้อมขาที่เรียวยาว
ซูอี้ส่ายศีรษะกล่าวตอบคำ “ข้าไม่ใช่ศิษย์ของสำนักดาบชิงเหออีกต่อไปแล้ว รู้จักหรือไม่รู้จักนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญใด”
สิ้นคำกล่าว เขาจึงก้าวเดินเข้าไปยังสำนักดาบชิงเหอ
เถียนเหยานิ่งงันไปครู่ นี่นางถูกปฏิเสธงั้นหรือ? เสียงมิตรสหายหลายคนร่วมหัวเราะไกลห่าง ทำเอาใบหน้านางแข็งค้าง
แม้ว่านางมีท่าทีร้อนแรง และหาญกล้า แต่ก็ไม่ใช่ว่านางจะเลือกบุรุษผู้ใดขึ้นมาโดยสุ่ม
ขณะนี้นางพบเจอคนหนึ่งที่ต้องตาจนดวงตาเป็นประกาย ผู้ใดกันคาดคิด ว่านางจะถูกปฏิเสธเช่นนี้!
“เดี๋ยว หยุดให้แก่ข้าสักครู่”
เป็นเพราะความภาคภูมิในตนเอง หรืออาจเป็นเพราะนางใจร้อนเกินไป เถียนเหยากัดฟันแน่น หันกลับและไล่ตามไป
ในความทรงจำของซูอี้ สิ่งปลูกสร้าง ลานฝึกฝน ถนนหนทาง และภาพฉากของสำนักดาบชิงเหอนี้หาได้แปรเปลี่ยนไปมากนัก
“ด้วยพรสวรรค์ของหลิงเสวี่ยและเคล็ดวิชาหยกวิญญาณธาตุลึกล้ำที่สอนแก่นาง ขณะนี้สมควรได้ตำแหน่งศิษย์สายในของสำนักดาบชิงเหอโดยง่ายดาย…”
ซูอี้ก้าวเดินไปยังพื้นที่ ซึ่งเป็นประตูสู่สำนักใน
“เดี๋ยว!”
เถียนเหยาไล่ตามมาพร้อมกล่าวคำโกรธเกรี้ยว “เจ้าช่างหยาบคายนัก ทำข้าเสียหน้าต่อหน้ามิตรสหาย”
โดยทันที นางกลับมายิ้มอีกครั้งหนึ่ง “กระนั้นแล้ว ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูดีของเจ้า ข้าจะยอมอภัยให้ กล่าวบอกมา นามเจ้าว่าอะไร? สนใจไปร่วมทานอาหารด้วยกันสักมื้อหรือไม่?”
ซูอี้อดไม่ได้ที่จะแปลกใจพร้อมยิ้มกล่าว “ไม่ต้องไปทานแล้ว แต่เป็นช่วยอะไรข้าแทนได้หรือไม่?”
เถียนเหยาเผยยิ้ม “กล่าวออกมา หากช่วยได้ข้าย่อมช่วย แต่ขอให้บอกนามแก่ข้าเสียก่อน”
ซูอี้พยักหน้ารับพลางกล่าว “เหวินหลิงเสวี่ยอยู่ที่ใด?”
เหวินหลิงเสวี่ย!
เถียนเหยาเผยสีหน้าแปรเปลี่ยน นางกลอกตาราวกราดเกรี้ยว “เป็นนางอีกแล้ว!”
ซูอี้เลิกคิ้วขึ้นพลางถาม “ความหมายคือ?”
เถียนเหยาบุ้ยปากพร้อมกล่าวตอบ “เจ้ายังไม่ทราบ นับตั้งแต่ศิษย์พี่หลิงเสวี่ยเข้าร่วมสำนักดาบชิงเหอ นางก็กลายเป็นที่ยอมรับกล่าวขาน ว่าเป็นโฉมงามอันดับหนึ่ง ไม่เพียงแต่ศิษย์พี่ชายและศิษย์พี่หญิงในสำนักจะหลงรักนาง กระทั่งทายาทตระกูลใหญ่แห่งมหานครอวิ๋นเหอ ยังมาที่นี่กันก็เพราะนาง”
สุดท้ายแล้ว น้ำเสียงนางเผยซึ่งร่องรอยความอิจฉาและริษยา
ซูอี้ครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้ารับ “ด้วยพรสวรรค์และความงามของนาง ย่อมง่ายที่จะดึงดูดแมลงเช่นผึ้งและผีเสื้อจนคลุ้มคลั่ง ไม่แปลกใจ”
“เจ้าไม่ใช่ผึ้งและผีเสื้อเหล่านั้นหรือไร?” เถียนเหยาแค่นเสียง
“ไม่คล้ายใช่”
ซูอี้ส่ายศีรษะ “กล่าวไปแล้ว เจ้ายังไม่ได้ตอบว่านางอยู่ที่ใด”
เถียนเหยากราดเกรี้ยว “ข้าตามเจ้ามา กระนั้นเจ้ากลับถามถึงสตรีผู้อื่น ไม่ทราบว่าใจเจ้าคมกริบประหนึ่งคมมีดหรือไร?”
“งั้นก็ไม่เป็นไร” ซูอี้ก้าวเดินตรงไปต่อ
เถียนเหยาพูดกล่าวไม่ออก
นี่คืออะไร?
ไปแล้ว?
ไป?
นางนึกโกรธเคืองถึงขนาดหน้าอกยุบพอง จนแทบอยากพุ่งเข้าไปกัดซูอี้
กระนั้นอึดใจถัดมา เถียนเหยาก็ไล่ตามไปอีกครั้งพร้อมเอ่ยคำโกรธเกรี้ยว “เช่นนั้นข้าคิดอยากได้เห็นนัก ว่าเจ้ามีอะไรแตกต่างไปจากผู้อื่น! มา ข้านำทางให้!”
ซูอี้ยิ้มบาง
ในทางตรงกันข้าม หญิงงามทั้งนึกโกรธเคืองและยินดี
ยามเขินอาย ศีรษะก้มงุดลงเล็กน้อย จนกลายเป็นน่ารับชม
ยามโกรธเกี้ยวเป็นประหนึ่งดอกบัว ที่แตกต่างกันออกไป
สำหรับบุรุษแล้ว สิ่งเดียวที่ควรกระทำคือรับชม
ระหว่างทาง เถียนเหยาเผยเสียงเจื้อยแจ้วกล่าวไป “ข้าไม่หวาดเกรงจะบอกให้เจ้าทราบ ทายาทรุ่นเยาว์และบุตรหลานตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหลายที่ไล่ตามศิษย์พี่หญิงหลิงเสวี่ย มีมากมายจนไม่อาจนับหวาดไหว ทั้งยังมีพื้นเพอันสูงส่ง ทว่าพวกเขาเหล่านั้นล้วนไกลห่างจะคว้าศิษย์พี่หลิงเสวี่ยเอาไว้ได้ ไม่มีแม้สักคน!”
ซูอี้หัวเราะเบาตอบรับ “นางสมควรมีสายตาอันสูงส่ง มีหรือปุถุชนทั่วไปจะคู่ควรกับนาง?”
เถียนเหยารู้สึกราวหน้าอกถูกบีบรัด ความตั้งใจเดิมที่คิดเกลี้ยกล่อมซูอี้ให้หยุดความคิดอันเพ้อฝัน กลับกลายเป็นนางไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมาเช่นนี้!
“คิดว่าเจ้าเป็นข้อยกเว้นงั้นหรือ?” เถียนเหยาอดไม่ได้จนเอ่ยถาม
“ผู้ใดกล่าวว่าข้ามาเพื่อไล่ตามนาง?” ซูอี้ชะงักงันไป
เถียนเหยาแค่นเสียงกล่าวตอบคำ “อย่าได้โกหกต่อข้า เรื่องราวเช่นนี้ บุรุษล้วนเหมือนกันทั้งสิ้น ยามเดินชนกำแพงเข้าอย่างจังนั้นไม่มีอะไรกล่าวบอก นอกเสียจากหาสิ่งกล่าวโทษแทนไปเรื่อย”
ซูอี้เงียบตอบรับ
โต้เถียงกับสตรี มีแต่เรื่องราวเลวร้ายลง ตัวเขามีประสบการณ์ด้านนี้อย่างสูงล้ำ
ยามนี้พบเห็นซูอี้เงียบงันไป เถียนเหยาจึงได้ใจ ประหนึ่งผู้ชนะ “จริงใช่หรือไม่? กล่าวไปแล้ว เจ้ายังไม่ได้บอกนามตนเองออกมา”
ซูอี้กล่าวบอกนามไปอย่างเรียบเฉย
“ซูอี้?”
เถียนเหยาชะงักงันไปครู่ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ ดวงตางดงามของนางเบิกกว้าง “หรือว่าเจ้าคือหนึ่งในผู้สูญเสียพื้นฐานการบ่มเพาะไป… ซูอี้คนนั้น?”
ซูอี้พยักหน้าตอบรับ “ถูกต้อง”
เขาเกิดนึกสงสัยภายในใจ
เมื่อวานที่ลานฝึกฝนเตาหลอมขจี เจ้าสำนักเช่นมู่ชางถูพ่ายแพ้ต่อตัวเขา เรื่องนี้ยังพอเข้าใจหากคิดปิดบังเอาไว้
กระนั้นโจวฮวายชิวและผู้อื่นกลับไม่พูดกล่าวถึงเรื่องที่การบ่มเพาะของตัวเขาฟื้นคืน รวมถึงได้รับอันดับหนึ่งในการประลองของสำนักหรอกหรือ?
“จริงด้วย โจวฮวายชิวและผู้อื่นแบกรับความสูญเสียในวันนั้นอย่างหนักหนา เกรงว่าคงไม่กล้ากล่าวถึงเรื่องราวเกี่ยวข้องกับเราอีกเป็นแน่…”
ซูอี้พอเข้าใจโดยคร่าว
หรือก็คือ วันนี้ที่สำนักดาบชิงเหอ นอกจากเบื้องสูง เกรงว่าผู้อื่นจะไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเกิดเรื่องราวใดขึ้นบ้าง
“เป็นเจ้านี่เอง…”
เถียนเหยาคล้ายผิดหวังเล็กน้อย ฉับพลันกลายเป็นกล่าวปลอบซูอี้ “ศิษย์พี่ซู ข้าได้ยินเรื่องที่ท่านประสบพบเจอมาแล้ว แต่ไม่ต้องกังวล ข้าหาได้สนใจไม่ว่าท่านมีหรือสูญเสียการบ่มเพาะแต่อย่างใด”
“ขอท่านจดจำ รูปลักษณ์ที่ดีก็ถือเป็นทุนประการหนึ่ง ผู้คนส่วนใหญ่ไม่อาจอยู่ได้โดยขาดหน้าตา”
สิ้นคำกล่าว นางจึงตบมือลงที่ไหล่ของซูอี้เป็นการให้กำลังใจ “ท่านที่ดูดีเช่นนี้ อย่างน้อยก็ทำข้าตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบได้!”
ซูอี้เงียบงันไป
เขาเกิดนึกขึ้นมาได้ ว่าหลิงเสวี่ยก็เคยกล่าวอะไรเช่นนี้ สาเหตุที่นางดีกับเขา ก็เพราะรูปลักษณ์ที่ดูดี
นาง… คงไม่ใช่นางสนใจเพียงแต่เรื่องรูปลักษณ์ใช่หรือไม่?
เช่นนั้นออกจะตื้นเขินเกินไป
ควรต้องหาโอกาสกล่าวบอกต่อนาง ว่านอกจากรูปลักษณ์แล้ว พี่เขยของนางนั้นมีดีเกินกว่าที่บุรุษผู้อื่นพึงมีในทุกสัดส่วน…
ยามพึมพำกับตนเอง เสียงโห่ร้องดังปรากฏจากแต่ไกล
มองไปจึงได้เห็นลานฝึกฝนอยู่ไกลห่าง ชั่วขณะนี้ฝูงคนรายล้อม ประหนึ่งรับชมบางสิ่งที่ดุเดือด
ในลานฝึกฝน คนหนุ่มสาวต่างยืนกันแน่น ที่น่าสนใจที่สุดคือผู้เยาว์วัยที่อยู่บนลาน
นางมัดผมกระจุกไว้ด้านบน คิ้วเรียวยาวประหนึ่งขนนก รูปกายขาวประหนึ่งหิมะ เอวที่เพรียวบาง ฟันที่ขาวประกายประหนึ่งไข่มุก ได้ยืนหยัดอย่างงามสง่า
แสงตะวันเบาบางสาดส่องลงยังกายนั้น ช่วยขับเน้นความงดงามเจิดจ้า ประหนึ่งปรากฏจากภาพจิตรกรรม
“ศิษย์พี่อู๋ ขอท่านยอมรับเสีย”
ในลานฝึกฝน เด็กสาวยื่นมือออกไปเล็กน้อย
“ศิษย์น้องหลิงเสวี่ยนับวันยิ่งแข็งแกร่ง เป็นเกียรติของข้าที่ได้พ่ายแพ้แก่เจ้า”
ที่อีกฟากฝั่ง คือเด็กหนุ่มในชุดคลุมสีทองที่เผยรอยยิ้มบาง ยามมองเด็กสาวฝั่งตรงข้าม เขาราวกับมัวเมาลุ่มหลง
“เอ้า ไปได้แล้ว อย่าได้คิดว่าพ่ายแพ้ศิษย์พี่หลิงเสวี่ยแล้วจะเข้ามาใกล้ได้อีก!”
“เหอะ! นี่หรือการประมือเพื่อเรียนรู้ เห็นกันชัดว่าคิดเอาชนะศิษย์พี่หลิงเสวี่ยเพื่อสยบ ไม่ไร้ยางอายเกินไปหรือ?”
เสียงตะโกนดังจากพื้นที่ประลอง
เด็กหนุ่มในชุดคลุมทองคำมีท่าทีแข็งค้าง ก่อนจะก้าวเดินไปด้วยความอับอาย
ภาพฉากที่เห็น เป็นผลให้เด็กสาวทั้งหลายทั้งริษยาและนึกอิจฉา ทว่าก็อับจน
ตั้งแต่ที่เหวินหลิงเสวี่ยมายังสำนักดาบชิงเหอ ไม่ว่าเป็นผู้ใดที่ต้องการไล่เกี้ยวพาราสีต่อนาง ล้วนต้องเป็นศัตรูของสาธารณชน!
ความนิยมในตัวนาง กล่าวได้ว่าสูงล้ำ
จากระยะไกลห่าง ยามพบเห็นเรื่องราว ริมฝีปากซูอี้ปรากฏรอยยิ้มบาง
เหวินหลิงเสวี่ยได้รับการยอมรับเป็นโฉมงามอันดับหนึ่ง นับตั้งแต่อยู่สำนักดาบซ่งอวิ๋นที่เมืองกว่างหลิงแล้ว
เพียงแต่ไม่นึกคิด ว่ายามมาถึงสำนักดาบชิงเหอก็ยังเป็นเช่นเดียวกัน
“รับชมความนิยมในตัวศิษย์พี่หลิงเสวี่ย หากกล้าเข้าใกล้ เช่นนั้นย่อมเป็นศัตรูกับผู้คนนับไม่ถ้วน ข้าแนะนำให้ปล่อยวางความคิดในใจเสีย หากไม่จะกลายเป็นถูกผู้อื่นหยามเหยียดเช่นนั้น”
เถียนเหยาพึมพำอยู่ข้างเคียง นางอดไม่ได้ที่จะเผยร่องรอยความริษยา ยามมองยังเด็กสาวผู้งดงามประหนึ่งได้รับพรในลานฝึกฝนไกลห่าง
ทว่านางก็จนใจด้วยเช่นกัน
เว้นแต่มั่นใจในเรื่องรูปลักษณ์อย่างล้นพ้น เช่นนั้นเด็กสาวผู้ใดจะกล้านำตนเองไปเทียบเปรียบกับเหวินหลิงเสวี่ยกัน?