บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1320: บงกชเทวะเก้าสี
ตอนที่ 1320: บงกชเทวะเก้าสี
ในวัดสรรพสุญตา
เซียนดาบชิงซื่อและดาบพุทธะสรรพสุญตามองหน้ากันอย่างตกตะลึง
“สหายเต๋าซูใจร้อนไปหน่อยหรือไม่?”
เซียนดาบชิงซื่อถาม
เว่ยซานกล่าวเบา ๆ “ผู้อาวุโสทั้งหลายจะเข้าใจในภายหลังขอรับ”
เซียนดาบชิงซื่อตะลึงอึ้ง คนผู้นี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวดีแท้
“พี่ชายร่วมวิถี เจ้ามีโอสถเยียวยากับตัวหรือไม่?”
เซียนดาบชิงซื่อถามดาบพุทธะสรรพสุญตาผ่านกระแสเสียงปราณ
ในเมื่อทั้งสองคนอยู่ที่นี่ ย่อมไม่ต้องกังวลว่าซูอี้จะตกตาย ทว่าคงเป็นไปมิได้หากจะไม่ห่วงเรื่องอาการบาดเจ็บ
ดาบพุทธะสรรพสุญตารีบถ่ายทอดเสียง “ข้าไม่มีโอสถเยียวยา แต่ข้าสืบมาก่อนแล้วว่ายังมี ‘บงกชเทวะเก้าสี’ ที่ข้าฝังไว้ในวัดกาลก่อนอยู่ ซึ่งเพียงพอให้สหายเต๋าซูใช้มันได้”
บงกชเทวะเก้าสี!
เซียนดาบชิงซื่ออ้าปากค้าง
นี่คือสมบัติล้ำค่าที่สุดในขอบเขตจุติสรวง พบได้แต่ไม่อาจหา ถือได้ว่าเป็นสมบัติชั้นเลิศแห่งขอบเขตจุติสรวงในโบราณกาล!
กระทั่งยอดราชันจุติสรวงในขอบเขตจุติมงคลยังน้ำลายหก!
“ช่างใจกว้างนัก!”
เซียนดาบชิงซื่อรู้สึกทึ่ง
ทว่าดาบพุทธะสรรพสุญตาส่ายหัว “เทียบกับบุญคุณสร้างชีวิตใหม่ของสหายเต๋าซูแล้ว สมบัตินี้มีค่าอันใด?”
เซียนดาบชิงซื่อครุ่นคิดลึกล้ำ
ขณะทั้งสองสนทนากันอยู่นอกวัดสรรพสุญตา
ฉินหงอวี้ลุกขึ้นกล่าวเป็นคนแรก “ได้ ข้าอยากจะเป็นคนแรกที่ประมือกับสหายเต๋า!”
นางปกคลุมด้วยสายฟ้าสีเลือด แข็งแกร่งร้ายกาจเยี่ยงนางมาร
ทุกสายตาต่างมองมาเป็นตาเดียว
“หากข้าเข้าใจไม่ผิด สตรีผู้นี้คือยอดคนในขอบเขตจุติสรวงจากหุบเขามารหยินนิลกาฬ เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตรวมวิถีขั้นต้น และความแข็งแกร่งของนางยามนี้… น่าจะอยู่ระหว่างขั้นต้นและกลางของขอบเขตจิตทารกกระมัง”
เซียนดาบชิงซื่อกระซิบออกความเห็น
บนวิถีจุติสรวง ยอดฝีมือในขอบเขตจิตทารกและขอบเขตรวมวิถีนั้นเรียกได้ว่าเป็นยอดคนจุติสรวง
มีเพียงตัวตนในขอบเขตจุติมงคลเท่านั้นที่เรียกได้ว่าเป็น ‘ยอดราชันจุติสรวง’
ดาบพุทธะสรรพสุญตากล่าวเบา ๆ “ในศึกประลองตัวต่อตัว หากนางกล้าใช้สมบัติลับวิถีมารชั่วช้าพวกนั้นออกมาล่ะก็ ภายหน้าหากข้าพบกับคนของหุบเขามารหยินนิลกาฬ เจอผู้ใด ข้าฆ่าผู้นั้นอย่างไร้ความปรานี”
วาจาราบเรียบนั้นทำให้เว่ยซานอดขนลุกสะพรึงมิได้
หลวงจีนผู้นี้ช่างดุร้ายยิ่ง!
อันที่จริงแล้ว เว่ยซานหารู้ไม่ว่าในยุคสิ้นกฎเกณฑ์ ดาบพุทธะสรรพสุญตาเป็นหลวงจีนที่ลือนามทั่วโลกหล้าด้วยเรื่องการสังหารอย่างระห่ำ!
เหตุที่เขาใฝ่วิถีดาบเป็นเพราะอำนาจฆ่าฟันของวิถีดาบนั้นทรงพลังที่สุด
“เห็นพ้องตามนั้น”
เซียนดาบชิงซื่อพยักหน้า
เว่ยซาน “…”
ต่อหน้ายอดฝีมือแห่งโบราณกาลทั้งสองคนนี้ เขาพลันพบว่าราชันแห่งภูมิขอบเขตไร้ขีดจำกัดเช่นตนช่างเล็กจ้อยนัก
ทุกสายตาจับจ้องไปยังฉินหงอวี้และซูอี้
“เชิญ”
ซูอี้ชักดาบแห่งโลกาออกมา
“สหายเต๋า ยามข้าลงมือ ข้าจะไม่โอนอ่อน การฝึกฝนของข้าเป็นมรดกวิถีมารที่ดุดันร้ายกาจที่สุด เจ้าต้องระวังตัวด้วยนะ”
ฉินหงอวี้เตือนพลางยิ้มขำ
ตู้ม!
จากนั้นร่างของฉินหงอวี้พลันวูบไหวไปมา
อึดใจต่อมา นางก็ปรากฏกายขึ้นตรงหน้า ยกหมัดงามชกเข้าใส่ซูอี้
หนึ่งหมัดนั้นก่อเพลิงมารระเบิดแผดเผา อสนีบาตสีเลือดพลุ่งพล่าน เป็นอำนาจร้ายกาจยากจะมีผู้ใดรับไหว
เมื่อมองจากไกล ๆ เหล่าราชันแห่งภูมิล้วนอึดอัดจนยากจะหายใจ หัวใจของพวกเขารู้สึกตะลึงและสีหน้าเปลี่ยนตาม ๆ กัน
นี่… คืออำนาจของตัวตนในขอบเขตจุติสรวงหรือ?
น่ากลัวจริง ๆ!
เมื่อเผชิญการโจมตีเช่นนี้ ซูอี้หาหลบเลี่ยงไม่ เขาทำเพียงตวัดดาบอย่างแรง
ตู้ม!
ฟ้าดินในถิ่นนี้ล้วนถล่มลงมา สายฟ้าสีเลือดและปราณดาบกวาดผ่าน จนทำให้ขุนเขาลำธารสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
มีเพียงวัดสรรพสุญตาตระหง่านนิ่งเยี่ยงหินผา
ร่างของซูอี้และฉินหงอวี้โซเซถอยจากกันร้อยจั้ง
อาภรณ์เขียวของซูอี้โบกสะบัด หาได้บาดเจ็บไม่
“ยอดเยี่ยม!”
ฉินหงอวี้อุทาน
หมัดนี้ของนางสามารถสังหารตัวตนราชันแห่งภูมิได้โดยง่ายดาย ทว่ายามนี้ นางกลับไม่อาจทำอันตรายต่อซูอี้ในขอบเขตคืนสู่สามัญขั้นกลางได้!
ซ้ำยังเป็นการประมือกันตัวต่อตัว!
นางจะไม่ตกใจได้เช่นไร?
ขณะนี้ ผู้ชมทั้งหลายต่างส่งเสียงเอ็ดอึ้งเซ็งแซ่
“หยุดไว้ได้หรือ?”
ไม่อาจทราบได้ว่ามีผู้ตกตะลึงมากเพียงไร
“ก่อนหน้านี้ลือกันอยู่ว่าหลังจากทัศนาจารย์เวียนวัฏกลับมา เขาที่อยู่ในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงก็สังหารตัวตนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดได้ ยามนั้นข้าหาเชื่อไม่ ทว่ายามนี้ ดูเหมือนคำร่ำลือจะไม่ได้กล่าวเกินไป เห็นกันชัด ๆ ว่าทัศนาจารย์ถูกประเมินต่ำไปต่างหาก!”
ตัวตนเก่าแก่บางผู้กระซิบกระซาบ
เมื่อนานมาแล้ว ความแข็งแกร่งของทัศนาจารย์คือประเด็นร้อนที่สุดในโลกหล้า
ข่าวลือบางเรื่องยิ่งลึกลับไปใหญ่ มันถึงกับกล่าวว่าความแข็งแกร่งของทัศนาจารย์นั้นไม่อาจวัดด้วยขอบเขตได้
และเมื่อได้ประจักษ์กับตายามนี้ หลายคนก็ปักใจเชื่อ!
หาไม่ ใครเล่าจะอธิบายได้ว่าเหตุใดราชันแห่งภูมิในขอบเขตคืนสู่สามัญจึงประชันกับวิญญาณอาสัญในขอบเขตจุติสรวงได้?
“มิน่าเล่า พรรคเซียนเร้นราตรีจึงพ่ายแพ้ ต่อให้เขาไม่ใช้พลังแห่งวัฏสงสาร ทัศนาจารย์ผู้นี้ก็ยังน่าหวาดหวั่นยิ่ง หากเขาใช้พลังวัฏสงสาร… จะแข็งแกร่งเพียงไรกัน?”
เหล่าวิญญาณอาสัญล้วนตกตะลึง และพวกเขาก็ต้องประเมินความแข็งแกร่งของซูอี้กันใหม่
“น่าสนใจแล้วสิ”
เซียนดาบชิงซื่อและดาบพุทธะสรรพสุญตามองหน้ากัน ความใคร่รู้ในหัวใจมิเพียงไม่เลือนหาย กลับยิ่งเข้มข้นขึ้นทุกขณะเสียอีก
และเมื่อรอบข้างฮือฮา ซูอี้กับฉินหงอวี้ก็ประชันกันอย่างดุเดือด
ตู้ม!
ฟ้าดินปั่นป่วน เพลิงแสงเจิดจ้า
ทัศนาจารย์หลบเลี่ยงไป และในสายตาของพวกเขาก็เห็นเพียงร่างอันเปี่ยมเพลิงมารของฉินหงอวี้ครองเวหา ทุกหมัดที่เหวี่ยงออกล้วนสร้างความแปรปรวนแก่นภา และมิมีผู้ใดทนอำนาจหมัดของนางได้
ทว่าซูอี้นั้นเตะตาเสียยิ่งกว่า!
ดาบของเขาฟาดฟันรวดเร็วเยี่ยงสายฟ้าฟาด ลื่นไหลเยี่ยงสายน้ำ เห็นได้ชัดว่าเป็นพลังของขอบเขตราชันแห่งภูมิ แต่กลับสามารถประชันกับวิชาสังหารของฉินหงอวี้ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
วจีดาบโถมเยี่ยงคลื่น ปราณดาบโหมทลายดุจภัยพิบัติ เงาดาบวูบไหวอยู่กลางเวหาอย่างดุดัน แสงดาบวูบไหวทะยานฟ้า อำนาจทรงพลังเสียจนชวนกรามร่วง
พวกเขาไม่อาจคาดคิดได้เลยว่าขอบเขตคืนสู่สามัญจะสามารถครองพลังต่อสู้อันร้ายกาจและท้าทายสวรรค์ได้เพียงนี้
มันล้มล้างความรู้ความเข้าใจของหลายคนที่นี่ลงโดยสิ้นเชิง!
เมื่อเห็นว่าปล่อยซูอี้ไว้นานไม่ได้ ฉินหงอวี้ก็ขมวดคิ้วและโจมตีอย่างไร้ปิดบัง
ขณะเดียวกัน จิตต่อสู้ในร่างซูอี้เองก็ถูกปลุกตื่นโดยสมบูรณ์
นับแต่ก้าวสู่ขอบเขตคืนสู่สามัญ การฝึกฝนวิถีเต๋าของเขาก็เหนือชั้นกว่าทัศนาจารย์ผู้ก้าวแตะขอบเขตจุติสรวงหนึ่งก้าวในยามก่อน
เมื่อไม่นานนี้ในสมุทรมารไร้กำหนด หลังจากดื่มสุราจวบปลายขัยของปราชญ์หงอวิ๋นไปไหหนึ่ง การฝึกฝนของเขาก็ทะลวงสู่ขอบเขตคืนสู่สามัญขั้นกลาง
จนกระทั่งยามนี้ เขาก็ยังไม่ทราบว่าตนทรงพลังเพียงใด!
เหตุผลเป็นเพราะตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิบนโลกหล้านี้มิใช่คู่มือเขามานานแล้ว
เมื่อไร้สิ่งใดให้เปรียบเทียบ ซูอี้ย่อมไม่อาจประเมินได้อย่างแม่นยำว่าพลังต่อสู้ของเขาในปัจจุบันแข็งแกร่งเพียงใด
และยามนี้ ศัตรูผู้ทรงพลังก็ปรากฏกายขึ้น!
คู่มือผู้ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันหนักหนากว่าคราใดยามประมือ
และนี่ยังกระตุ้นให้จิตวิญญาณทั่วร่างของเขาลุกไหม้แผดเผา เตาหลอมมหาวิถีในร่างให้เดือดพล่าน และจิตต่อสู้ของเขาก็ทะยานสูงกว่าหนใด
จริงอยู่ที่เขาไม่ได้ใช้พลังแห่งวัฏสงสาร แต่ใช้เคล็ดมหาวิถีแสงพริบตาและเร้นลับต้องห้ามเข้าเผชิญศัตรู
กฎแสงพริบตาแสวงหาความว่องไว ดาบพลิกพลิ้วเสี่ยงแสง รวดเร็วดุจเคลื่อนพริบตา
ทว่าหนนี้คู่ต่อสู้ต่างออกไป นางคือวิญญาณอาสัญในขอบเขตจุติสรวง เพียงอำนาจในกายก็เหนือชั้นกว่ากฎแสงพริบตาแล้ว และความเร็วออกดาบของซูอี้ก็ช้าลงอย่างมาก
ทว่าการโจมตีของฉินหงอวี้ก็ถูกจำกัดเช่นกัน
ไม่ว่าหนใดที่นางหมายมาดที่จะโจมตีอย่างหนักหน่วง นางก็จะต้องเผชิญกับกฎเร้นลับต้องห้ามของซูอี้ และอำนาจมหาวิถีเช่นนี้เทียบได้กับอำนาจสวรรค์ซึ่งสามารถผนึกมหาวิถีของอีกฝ่ายได้
แม้วิถีเต๋าของฉินหงอวี้จะเหนือกว่าราชันแห่งภูมิไปไกล ทว่านางก็ยังได้รับผลจากกฎเร้นลับต้องห้าม และมอบโอกาสให้ซูอี้ได้ขยับตัว!
“หือ?”
ใบหน้างามของฉินหงอวี้แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย
นางพลันพบว่าเมื่อศึกดำเนินไปเรื่อย ๆ ซูอี้ก็กล้าหาญมากขึ้นทุกขณะ และปราณบนร่างก็แข็งกร้าวทวีคูณ!
“ใช้ข้าเป็นหินลับดาบ ขัดเกลาความสามารถของเจ้าเองหรือ?”
ดวงตาของฉินหงอวี้เย็นเยียบ
นางตระหนักได้แล้วว่าเรื่องนี้ปล่อยให้ดำเนินต่อไปไม่ได้
ตู้ม!
ร่างบอบบางของนางปรากฏเพลิงลุกโชน นิมิตอันน่าสะพรึงเหมือนฝูงมารกรีฑาทัพเบื้องหลังนางถูกสะท้อนขึ้นมา
และเมื่อนางออกหมัด สุญญะก็ระเบิดเยี่ยงกระดาษบาง หมัดทะลวงดุจกระแสโลหิตทะยานสะบั้นฟ้าทลายปฐพี ส่งเสียงคำรามลั่น
หมัดนี้มีอำนาจเหนือกว่าเก่าอย่างเห็นได้ชัด!
ภายในวัดสรรพสุญตา ม่านตาของเซียนดาบชิงซื่อและดาบพุทธะสรรพสุญตาล้วนหดตัวอย่างพร้อมเพรียง ต่างคนต่างเตรียมเข้าแทรกแซง
หัวใจของคนมากมายจุกอยู่ที่คอ
ใครเล่าจะไม่เห็นว่าวิญญาณอาสัญในขอบเขตจุติสรวง ฉินหงอวี้ผู้นี้ตัดสินใจออกอำนาจสังหารเต็มที่?
และเมื่อเผชิญกับหมัดนี้ ซูอี้ก็สัมผัสได้ถึงภัยถึงตาย
จากนั้นเขาก็ใช้เคล็ดเวิ้งลึกล้ำออกมาอย่างไม่ลังเล
เพียงพริบตา ดาบแห่งโลกาก็กวาดผ่านเวหา สร้างโลกหล้าสีคราม แสงจาง ๆ เยี่ยงรุ่งอรุณสะท้อนวูบวาบในปราณดาบ
มหาวิถีนี้มาจากในธารสายยาวแห่งโชคชะตา ซึ่งทำความเข้าใจได้ยากยิ่งกว่าเคล็ดวัฏสงสารเสียอีก
และหากว่ากันเรื่องพลัง มันก็อยู่เหนือกฎแสงพริบตาและกฎเร้นลับต้องห้ามแน่นอน!
เมื่อดาบนี้ถูกฟันออกไป ทุกผู้ต่างตะลึงไปราวกับได้เห็นโลกหล้าสีครามกว้างใหญ่ ลึกลับซับซ้อน ยิ่งใหญ่เกินประมาณอยู่เหนือคมดาบนี้
ตู้ม!
ดาบและหมัดประชัน แสงสีเลือดที่ดูเหมือนทะลวงผ่านสวรรค์กระแทกชนกับจักรวาลสีครามอันกว้างใหญ่ และขณะนั้น คลื่นพลังที่ชวนขนลุกก็ระเบิดออกมาระหว่างทั้งสอง
ฟ้าดินพลันมืดหม่น บรรพตลำธารป่วนปั่น ทั่วทศทิศบนอากาศแหลกละเอียดเป็นรอยร้าวเยี่ยงใยแมงมุม
และท่ามกลางคลื่นทำลายล้างอันบ้าคลั่งนั้น ร่างของฉินหงอวี้และซูอี้ต่างทะยานออกมาอย่างแรง
ร่างของฉินหงอวี้ปั่นป่วน ในฐานะวิญญาณอาสัญ เดิมทีนางก็คือร่างวิญญาณ ยามนี้เมื่อประสบผลข้างเคียงรุนแรง ร่างของนางจึงปั่นป่วนอย่างบ้าคลั่ง
โดยเฉพาะมือและแขนขวาของนางซึ่งถูกปราณดาบร้ายกาจป่นเป็นธุลี!
อีกฝั่งหนึ่ง อาภรณ์เขียวของซูอี้ฉีกขาด เส้นผมดำพลิ้วสยาย โลหิตไหลลงมาจากมุมปาก ใบหน้าหล่อเหลาซีดขาวลง
อำนาจหมัดของฉินหงอวี้ร้ายกาจเหลือเชื่อ และมันก็ทำร้ายซูอี้จนได้รับบาดเจ็บ เลือดลมภายในกายแปรปรวนจนแทบระเบิดออกมา
ยามได้เห็นเช่นนี้…
ผู้ชมทั้งหลายต่างเงียบกริบราวเป่าสาก
แต่ละคนล้วนตกตะลึง
หมัดสังหารสูงสุดของฉินหงอวี้กลับถูกซูอี้รับไว้ได้ระหว่างการเผชิญหน้าตรง ๆ!
ภาพนี้ทำให้เหล่าวิญญาณอาสัญต่างอ้าปากค้าง และรู้สึกประหลาดพิกล
การฝึกฝนอยู่ในขอบเขตคืนสู่สามัญ แต่กลับสามารถประลองเดี่ยวกับวิญญาณอาสัญขอบเขตจุติสรวงได้ซึ่ง ๆ หน้า นี่นับได้แล้วว่าเป็นเรื่องที่มิเคยเกิดขึ้นมาก่อนในยุคสมัยใด คล้ายปาฏิหาริย์อันมิอาจเป็นไป
ทว่ายามนี้ ซูอี้ยังคงประลองต่อได้ และยังทำให้ฉินหงอวี้บาดเจ็บสาหัสได้ด้วย!
ชวนใจหายจริงแท้
เซียนดาบชิงซื่อและดาบพุทธะสรรพสุญตาล้วนมองหน้ากันอย่างอึ้ง ๆ ต่างฝ่ายต่างเห็นสีหน้าตกตะลึงอันมิอาจซุกซ่อนได้ของกันและกัน
สหายเต๋าซูผู้นี้แข็งแกร่งเสียจนน่าขัน!