บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1322: ผู้ใดต่อ
ตอนที่ 1322: ผู้ใดต่อ
วัดสรรพสุญตา
“ผู้อาวุโส นี่หมายความว่าความแข็งแกร่งปัจจุบันของนายน้อยข้าสามารถสังหารตัวตนในขอบเขตจิตทารก วิถีจุติสรวงได้แล้วหรือขอรับ?”
เว่ยซานถามอย่างใคร่รู้
“ยากจะกล่าว”
เซียนดาบชิงซื่อส่ายหน้า อธิบายอย่างอดทน “วิญญาณอาสัญเหล่านี้เป็นร่างวิญญาณประเภทหนึ่ง ไร้ร่างวิถี ความแข็งแกร่งไม่สมบูรณ์เพียงพอ ต่อให้มีความแข็งแกร่งในขอบเขตจิตทารก พวกเขาก็… หามีชีวิตจริง ๆ ไม่”
“เหมือนเช่นฉินหงอวี้เมื่อครู่ เดิมนางเป็นผู้ฝึกตนในขอบเขตรวมวิถี และหลังกลายเป็นวิญญาณอาสัญ นางก็อ่อนแอเสียกว่าขอบเขตจิตทารกขั้นกลางเสียอีก”
“หากนางได้สู้กับยอดคนจุติสรวงในขอบเขตจิตทารกตัวจริง นางจะแพ้แน่นอน”
“นี่คือความไม่เหมาะสมของวิญญาณอาสัญ เมื่อเสียร่างไปก็มิต่างจากจอกแหนบนผิวน้ำ พฤกษาไร้ราก”
“สรุปง่าย ๆ ก็คือ ความแข็งแกร่งปัจจุบันของสหายเต๋าซูนั้นเพียงพอเผชิญหน้ากับยอดคนจุติสรวงในขอบเขตจิตทารกขั้นต้นได้”
ดาบพุทธะสรรพสุญตาซึ่งอยู่ข้างกันพยักหน้ากล่าว “อำนาจเช่นนี้เพียงพอเขย่าโลกานับแต่อดีตกาลจวบปัจจุบัน และแสนนานกาลก่อน นอกจากทายาทเซียนผู้เลิศเลอเหลือเชื่อที่สุดไม่กี่คน ก็ไร้ผู้ใดทำได้เช่นนี้อีก”
เขาและเซียนดาบชิงซื่อต่างเป็นตัวตนทรงอำนาจสูงสุดในวิถีจุติสรวงก่อนตายตก ในด้านปัญญาและประสบการณ์ย่อมเหนือชั้นไปไกลกว่าผู้ใดในโลกหล้า
เมื่อเว่ยซานได้ยินเช่นนี้ เขาก็กล่าวด้วยหัวใจยินดี “เทียบได้กับขอบเขตจิตทารกขั้นต้น และข้าสังเกตเห็นอยู่ว่าความแข็งแกร่งของนายน้อยกำลังพัฒนาต่อ!”
เซียนดาบชิงซื่อและดาบพุทธะสรรพสุญตาต่างพยักหน้าทอดถอนใจ
พวกเขาหรือจะไม่เห็น ว่าซูอี้ระหว่างศึกนั้นรีดเร้นพัฒนาความแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ?
และยามนี้ ซูอี้มีการฝึกฝนเพียงขอบเขตคืนสู่สามัญเท่านั้น
เมื่อถึงกาลที่เขาก้าวสู่ขอบเขตไร้ขีดจำกัด วิถีเต๋าของเขาจะแข็งแกร่งเพียงไร?
แล้วหากเขาดำเนินสู่วิถีจุติสรวงเล่า?
ด้านนอก
หลังจากเสียงของซูอี้ดังขึ้นใต้ท้องนภา ชั่วขณะนั้นทั่วหล้าก็เงียบงันอย่างประหลาด
เหล่าวิญญาณอาสัญผู้ชาญฉลาดมองหน้ากัน ทว่ากลับมิมีผู้ใดรีบร้อนเสนอตัว
ใครเล่าจะมิเห็นว่าซูอี้ ณ ขณะนี้สมบูรณ์พร้อมสูงสุด?
ทว่าก็ยังมีวิญญาณอาสัญผู้กระเหี้ยนกระหือรืออยากทดสอบอยู่เช่นกัน
“หุบเขาเซียนแปรสุริยัน ผู้ฝึกกระบี่เหลียงกวานต้องการสู้กับสหายเต๋า!”
ไม่นานนัก ชายชุดขาวร่างสูงผู้หนึ่งก็ทะยานออกมา ซึ่งดึงความสนใจทุกผู้ได้ทันที
ไหล่กว้างเอวสอบ ดวงตาหรี่เรียวยาว ถือกระบี่ยาวสีครามในมือ ภาวะวิถีพริ้วกระเพื่อมบนร่างของเขาเยี่ยงคลื่นน้ำ ปราณลึกล้ำเยี่ยงเหล็ก
“คนผู้นี้ไม่เลว”
เซียนดาบชิงซื่อออกความเห็น
หุบเขาเซียนแปรสุริยันคือผู้นำเจ็ดสำนักดาบและกระบี่อันยิ่งใหญ่แห่งยุคสิ้นกฎเกณฑ์ และมีเซียนดาบไร้ผู้เทียบบรรลุเป็นเซียนมากมาย!
วิญญาณอาสัญนามเหลียงกวานผู้นี้เทียบความแข็งแกร่งคร่าวๆ แล้วทัดเทียมฉินหงอวี้ยามก่อนตาย
ทว่าในเชิงลึก ความแข็งแกร่งของคนผู้นี้เหนือชั้นกว่าฉินหงอวี้อย่างเห็นได้ชัด
ปราณบนร่างของเขาชี้ชัด
“นี่อาจจะเป็นศัตรูที่สหายเต๋าซูรอคอยพานพบก็เป็นได้”
ดาบพุทธะสรรพสุญตากระซิบ
ขณะที่พวกเขาสนทนา ศึกก็เริ่มขึ้นแล้ว
เหลียงกวานสาวเท้ายาว ๆ สู่อากาศ ชักกระบี่ของเขาออกมา
วิถีกระบี่ของเขาบรรยายได้ว่า ‘รวดเร็วเช่นเปลวเพลิง ดุดันเยี่ยงอสนี’ ภาวะกระบี่สยายทั่วโลกา
ยามเขาลงมือ ทั่วฟ้าดินต่างเต็มไปด้วยแสงกระบี่เฉิดฉาย ดุจมีตัวตนทุกที่ บ้าคลั่งเยี่ยงทะเลโหม
เพียงมองจากไกล ๆ ผิวของผู้มองก็แสบร้อน หัวใจรู้สึกราวถูกเชือดเฉือนด้วยคมกระบี่
ทว่า ท้ายที่สุดเหลียงกวานก็พ่าย
ไม่ใช่เพราะว่าเขามิแข็งแกร่งพอ ทว่าความแข็งแกร่งของซูอี้นั้นแปรเปลี่ยนไปอย่างชัดเจนหลังสองศึกดวลแรกของเขา
เขากลืนเมล็ดของบงกชเทวะเก้าสีเข้าไปเม็ดหนึ่ง ทำให้ชายหนุ่มสามารถฝึกฝนจนถึงจุดสูงสุด และห่างจากขอบเขตคืนสู่สามัญขั้นปลายเพียงเส้นผม
ดังนั้น ในศึกถัดมา ต่อให้เป็นการเผชิญหน้าตัวต่อตัว เมื่อกาลผันผ่าน ซูอี้ก็จะถือไพ่เหนือกว่า พัฒนาไปทีละขั้น
ท้ายที่สุด เพียงไม่ถึงครึ่งเสี้ยวชั่วยามหลังศึกเริ่ม ซูอี้ก็ใช้หนึ่งดาบฟาดฟันกระบี่ของเหลียงกวานออก ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัส
“น่าเสียดายที่ข้าไร้ร่างวิถี หาไม่ คงมิพ่ายศึกไวเพียงนี้”
เหลียงกวานรำพึง
เขานำกล่องสำริดใบหนึ่งมาวางไว้หน้าวัดสรรพสุญตา
ซูอี้กล่าวเนิบ ๆ “เจ้าเป็นวิญญาณอาสัญ ไร้ร่างวิถี ข้าคือราชันแห่งภูมิขอบเขตคืนสู่สามัญ ไม่เคยเหยียบย่างสู่วิถีจุติสรวงมาก่อน ไฉนจึงเสียดายเล่า?”
เขาหันเดินทางกลับสู่วงนอก
ซูอี้ถอนหายใจยาว
ศึกนี้ เขาเองก็บาดเจ็บหนัก มีแผลกระบี่น่าใจหายปรากฏบนร่างของเขามากมาย อาภรณ์เปรอะเปื้อนด้วยโลหิต โดยเฉพาะที่หลังของเขามีแผลลึกถึงกระดูกแผลหนึ่ง แทบแยกร่างเขาเป็นสองเสี่ยง
ทว่าซูอี้หาใส่ใจไม่
ศึกดุเดือดเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง เขามิได้พบพานมาแสนนาน กระทั่งสุราฤทธิ์แรงที่สุดในโลกหล้ายังมิอาจเทียบความรู้สึกสำราญจากการสู้รบเช่นยามนี้ได้
เขาสัมผัสได้ชัดเจนว่าทุกอณูในร่างของเขาดูแผดเผาด้วยเพลิงโหม ทุกคำนึงถูกกระตุ้นด้วยจิตต่อสู้ เป็นผลให้เกิดความโหยหาเกินใดเทียบ
สิ่งใดคือนักดาบ?
หนึ่งดาบในมือ สู้สวรรค์ประชันพิภพไร้จุดสิ้น!
“ผู้ใดต่อ”
ซูอี้พูด สามคำเลื่อนลอยกังวานชัดเจนสู่โสตคนทุกผู้
บรรยากาศเงียบสงัด
จวบยามนี้ ซูอี้ชนะศึกสามหนติด!
สิ่งนี้ทำให้เหล่าผู้ชมตะลึงจังงังราวได้ประจักษ์แก่ปาฏิหาริย์
และยังนำมาซึ่งแรงกดดันมหาศาลแก่เหล่าวิญญาณอาสัญ!
“สหายเต๋าซู เจ้ากล้าประชันกับข้าด้วยพลังจิตวิญญาณหรือไม่?”
ทันใดนั้น ชายชราชุดดำบนหลังคชสารหยกขาวก็กล่าวขึ้น
เขาเปี่ยมด้วยปราณปีศาจเยี่ยงเทพปีศาจ
วิญญาณอาสัญบางผู้ยิ้มเย้ย การเอ่ยคำขอไร้เหตุผลเช่นนี้ แสดงชัดว่าเจ้าเฒ่าผู้นี้ไร้ยางอายเพียงไร
“ไอ้แก่ แม้เจ้าจะเป็นวิญญาณอาสัญ แต่เจ้าก็เป็นตัวตนในขอบเขตจุติสรวง ไฉนจึงไร้ยางอายนักเล่า?”
“ตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้ฝึกฝนจิตวิญญาณก่อนตาย นี่เป็นเพียงข้อเสนอแนะ มิได้พูดเสียหน่อยว่าสหายเต๋าซูต้องเห็นชอบ”
ชายชราชุดดำกล่าวเนิบ ๆ หาสนใจสายตาเหยียดเย้ยรอบข้างแต่อย่างใด
ซูอี้มองพินิจชายชราชุดดำหัวจรดเท้า และกล่าวว่า “หากประชันกันด้วยพลังจิตวิญญาณ ข้าเกรงว่าเจ้ารังแต่จะแพ้ไวขึ้นนะ”
เหล่าผู้ชมล้วนผงะตะลึง
ชายชราชุดดำผู้นี้เป็นที่รู้จักในนาม ‘ยอดคนทมิฬพร่าง’ เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาจิตวิญญาณ และในหมู่วิญญาณอาสัญเหล่านี้ เขาก็ยังเป็นหนึ่งในตัวตนสูงสุดอีกด้วย
เพราะถึงอย่างไร วิญญาณอาสัญก็ล้วนแต่เป็นจิตวิญญาณ สิ่งที่กลัวที่สุดคือต้องประชันกับตัวตนเช่นยอดคนทมิฬพร่างผู้เจนจัดในเคล็ดวิชาจิตวิญญาณ
ทว่ายามนี้ ซูอี้กลับดูหากลัวไม่!
“เจ้า… แน่ใจหรือ?”
ชายชราชุดดำ หรือก็คือยอดคนทมิฬพร่างดูพิกล
ซูอี้ว่า “ลองดูหรือไม่?”
ยอดคนทมิฬพร่างเสสรวล ดวงตากวาดมองทั่ว และกล่าวว่า “พวกท่านทั้งหลายล้วนเห็นว่าสหายเต๋าซูเป็นผู้เลือกต่อสู้ด้วยพลังจิตวิญญาณเอง มิใช่ตาเฒ่าผู้นี้ขู่เข็ญรังแกผู้น้อยแต่อย่างใด”
เขาดูปรีดาภาคภูมิ รอยยิ้มแต่งแต้มบนใบหน้า
สิ่งนี้ทำให้ทุกผู้สงบวจี ซูอี้ตกลงแล้ว พวกเขาหรือจะกล่าวเป็นอื่น?
“สหายเต๋าซู ตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้มิเกรงใจล่ะ”
เสียงของยอดคนทมิฬพร่างยังมิทันสร่าง ร่างของเขาก็พลันหายวับไป
ฉัวะ!
ทันใดนั้น ยอดคนทมิฬพร่างจำนวนนับมิถ้วนก็ปรากฏบนสุญญะ พุ่งโจมตีซูอี้จากทุกทิศทาง คลาคล่ำเต็มทั่วท้องนภา
วิญญาณอาสัญมากมายแปรสีหน้าอ้าปากค้าง
แปรร่างหมื่นพัน!
และเมื่อหนึ่งอวตารลงมือ ก็เทียบได้กับยอดคนทมิฬพร่างนับพันประสานจู่โจม
แม้ความแข็งแกร่งของอวตารจิตวิญญาณเหล่านี้จะห่างไกลเกินเทียบกับวิญญาณหลักของยอดคนทมิฬพร่าง แต่ก็เพียงพอเป็นอันตรายถึงตายต่อคู่ต่อสู้
ซูอี้ยืนนิ่งมิขยับไหว
ในเมื่อเขากล่าวว่าต้องการเทียบอำนาจจิตวิญญาณ เขาก็จะมิผิดวาจา
ตู้ม!
ด้วยเสียงกัมปนาทเยี่ยงคลื่นทะเล เขาแปรเปลี่ยนเป็นวังวนวิถีดาบมหึมา
เห็นเช่นนี้ ยอดคนทมิฬพร่างก็อดเชิดหน้าหัวเราะลั่นนภามิได้ และสารพัดอวตารจิตวิญญาณของเขาก็พุ่งเข้าไปยังวังวนวิถีดาบทันที
เปรี้ยง!
วังวนวิถีดาบเวียนหมุน บดขยี้อวตารจิตวิญญาณส่วนใหญ่ของยอดคนทมิฬพร่าง ทว่าเขากลับไม่อาจฝืนต้านได้ในท้ายที่สุด
“นี่…”
ทุกผู้ล้วนผงะอึ้ง
วิญญาณอาสัญบางผู้ดวงตาวูบไหวพร้อมขยับเคลื่อน
ไม่ว่าผู้ใดก็เห็นชัดว่ายอดคนทมิฬพร่างเข้าสู่ห้วงความนึกคิดของซูอี้แล้ว และนี่หมายความว่าซูอี้อาจถูกยอดคนทมิฬพร่างยึดร่างได้ทุกเมื่อ!
“ไฉนเป็นเช่นนี้ได้?”
ผู้ชมหลายคนตะลึงอึ้ง ไฉนทัศนาจารย์จึงเลินเล่อเพียงนี้?
เซียนดาบชิงซื่อและดาบพุทธะสรรพสุญตาเองก็ผงะหงาย สีหน้าแปรเปลี่ยนพร้อมเพรียง
ในขณะที่ทั้งสองกำลังจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือนั้นเอง
“อ๊าก!”
เสียงกรีดร้องโหยหวนเสียงหนึ่งทะลวงทั่วชั้นฟ้า
ทุกผู้ล้วนผงะ
จากนั้น พวกเขาก็ได้เห็นร่างของยอดคนทมิฬพร่างเซออกมาจากร่างของซูอี้ สองมือกุมหัว ร้องโหยหวนรวดร้าวราวกำลังคลอดลูก
ร่างของเขากระตุกรุนแรงเยี่ยงแกะเป็นลมชัก
ทุกผู้ล้วนตะลึงเงียบกริบกับเหตุกะทันหันนี้
“ยอมแพ้หรือไม่?”
ซูอี้ถามยิ้ม ๆ
กาลก่อน สมมติเทพเซวี่ยเติงเองก็บุกเข้ามาในห้วงความนึกคิดของเขา และถูกปราบสิ้นท่า
และยอดคนทมิฬพร่างผู้นี้ หลังทะลวงเข้าสู่ห้วงความนึกคิดของเขา ผลก็ไม่ต่างจากสมมติเทพเซวี่ยเติง วิญญาณแทบแหลกสลายจากปราณดาบเก้าคุมขัง
“ยอม!”
ยอดคนทมิฬพร่างตะโกนเสียงสั่น สีหน้าเปี่ยมความหวาดผวา
“ข้าบอกเจ้าแล้ว หากประชันกับข้าด้วยพลังจิตวิญญาณ เจ้าจะมีแต่แพ้ไวขึ้น”
ซูอี้ว่า “ส่งสินสงครามมาแล้วถอยไปได้”
ยอดคนทมิฬพร่างรีบนำกำไลสัมพาระวงหนึ่งออกมาแล้วเผ่นหนีกลับไปนั่งบนคชสารหยกขาว ฟื้นบาดแผลอย่างเร็วจี๋สุดชีวิต
เขาบาดเจ็บสาหัสเสียจนวิญญาณแทบแหลกร้าว สภาพไม่อาจดูได้
เหตุนี้ทำให้ทุกผู้ล้วนตะลึงงัน ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่ายอดคนทมิฬพร่างไปประสบสิ่งใดมา จึงพ่ายยับเยินเพียงนี้
ชั่วขณะนั้น สายตาของเหล่าวิญญาณอาสัญซึ่งมองมายังซูอี้แปรเปลี่ยนไปอีกหน
เซียนดาบชิงซื่อและดาบพุทธะสรรพสุญตาล้วนลอบถอนหายใจโล่งอก มองหน้ากันและอดหัวเราะตนเองมิได้
กระทั่งพวกเขายังมิอาจไขปริศนาความลี้ลับจนตะลึงอึ้งซ้ำ ๆ
…มันเป็นสิ่งที่มิควรเกิดจริงแท้
“ผู้ใดต่อ?”
ซูอี้ชนะศึกสี่หนรวด ซึ่งทำให้เขาช่างแสนตื่นเต้นเลือดร้อน
แน่นอน เรื่องสำคัญกว่านั้นคือสินสงครามอันเลิศล้ำเย้ายวนอันเก็บเกี่ยวได้มา พวกมันแต่ละชิ้นล้วนแต่เป็นสมบัติขอบเขตจุติสรวง มูลค่าเกินประมาณ!
บรรยากาศหดหู่เงียบงัน
มีเพียงวาจา ‘ผู้ใดต่อ’ ของหลวงจีนคงจ้าวเท่านั้นที่สะท้อนก้องโสตทุกผู้
สีหน้าของเหล่าวิญญาณอาสัญล้วนหงิกงอ สายตาล้วนมองไปยังจุดเดียวกันอย่างมิรู้ตน
ที่แห่งนั้นมีรุ้งปราณดาบทองเฉิดฉาย
กลุ่มคนในชุดคลุมขนนกยืนอยู่เหนือมัน
“ในเมื่อไม่มีผู้ใดสู้ ก็ให้ข้าไปแล้วกัน”
เมื่อสัมผัสสายตาทุกผู้ได้ ผู้ฝึกตนวัยกลางคนซึ่งเป็นผู้นำก็กล่าวขึ้น ก่อนจะเดินสู่สนามรบ
เขาสวมชุดคลุมขนนก สวมมงกุฎวิถี พิรุณแสงเซียนโปรยปรายรอบร่างสูงใหญ่
ทันทีที่เขาปรากฏขึ้น อีกฝ่ายก็กลายเป็นจุดสนใจทันที
………………..