บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1323: ได้จังหวะพอดิบพอดี
ตอนที่ 1323: ได้จังหวะพอดิบพอดี
ทั่วสารทิศจรดฟ้าดินเงียบสงัดเคร่งขรึม
ชายวัยกลางคนก้าวย่างสู่ท้องนภา คำนับซูอี้จากไกล ๆ “สำนักเต๋านครชาด นักดาบมู่อวิ๋นอันคารวะสหายเต๋า”
พิรุณแสงเซียนพลิ้วพรมรอบร่าง
ขณะเดียวกัน ปราณดาบเยี่ยงทองเทวะแปรเปลี่ยนเป็นแผนที่ลับวิถีดาบสะท้อนบนสุญญะ ทำให้เขาดูราวเทพเจ้า
เหล่าวิญญาณอาสัญดูเคร่งเครียดขึ้นมาก มีกระทั่งความรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยปรากฏบนสีหน้า
สำนักเต๋านครชาด!
หนึ่งในขุมกำลังเซียนสูงสุดแห่งยุคสิ้นกฎเกณฑ์ กลุ่มเซียนดาบผู้แข็งแกร่งสะเทือนแดนดิน รากฐานแข็งแกร่งมั่นคง
ก่อนมู่อวิ๋นอันสิ้นใจ เขาคือหนึ่งในนักดาบจากสำนักเต๋านครชาด
“คนจากสำนักเต๋านครชาด…”
ดวงตาของเซียนดาบชิงซื่อดูตะลึงเล็กน้อย จำความหลังเก่าก่อนขึ้นมาได้มากมาย
ในฐานะหนึ่งในตัวตนยักษ์ใหญ่วิถีดาบผู้ลือเลื่อง เซียนดาบชิงซื่อย่อมรู้ว่าสำนักเต๋านครชาดร้ายกาจเพียงไร
เมื่อนานมาแล้ว ชื่อเสียงของมันเลื่องลือว่า ‘หนึ่งสำนักนครชาด เก้าเซียนดาบ เถลิงภพสู่เซียนบนสรวง’
หรือก็คือจะบอกว่า ยามสำนักเต๋านครชาดรุ่งโรจน์สูงสุด มีเซียนดาบเก้าคนซึ่งได้เหยียบย่างสู่วิถีเซียนโดยพร้อมเพรียงกัน!
“ไม่น่าเล่า ยามที่ข้าเห็นคนผู้นี้หนแรกจึงรู้สึกคุ้นนัก ที่แท้พวกเขาก็มาจากสำนักเต๋านครชาด”
ดาบพุทธะสรรพสุญตากระซิบ
บนวิถีดาบแห่งยุคสิ้นกฎเกณฑ์มีกลุ่มสำนักมากมายกระจายตัว
มีขุมกำลังวิถีดาบน้อยนักจะอยู่เหนือสุดแห่งวิถีดาบได้
สำนักเต๋านครชาดคือหนึ่งในนั้น!
ลือกันว่านักดาบจากสำนักเต๋านครชาตเคยกระทั่งสร้างขุมกำลังของตน และมีถิ่นปกครองของตัวในโลกเซียน!
“หนนี้ สหายเต๋าซูจะได้พบศัตรูที่แท้จริง”
เซียนดาบชิงซื่อกระซิบ
ดาบพุทธะสรรพสุญตาพยักหน้า
ขณะเดียวกัน ซูอี้พินิจมู่อวิ๋นอันหัวจรดเท้า กล่าวขึ้นว่า “เชิญ”
มู่อวิ๋นอันพยักหน้าน้อย ๆ และก้าวออกมา
ร่างของเขาสูงสง่า อาภรณ์กระเพื่อมไหว หนึ่งก้าวเดินปรากฏแผนที่ลับแห่งวิถีดาบขึ้นรองบาท เจิดจ้าพราวแสง
และภาวะดาบอันน่าหวาดหวั่นบนร่างเขาก็ทะยานตัดผ่านนภา
เปรี้ยง!
ทั่วทิศสะเทือนสั่น
ทุกผู้ดูเลื่อนลอยราวกับได้เห็นหนึ่งนครเชื่อมพิภพแดนสรวงปรากฏขึ้นบนร่างมู่อวิ๋นอัน
ในนครแห่งนั้นมีเซียนดาบหนาแน่นเยี่ยงไม้ในป่า ทะยานสัญจรเหนือเวหา ตีความสารพัดอิทธิฤทธิ์วิชาดาบ
และเหนือประตูนครมีหนึ่งดาบเซียนแขวนอยู่ ด้ามชี้ขึ้นฟ้า ปลายหันเผชิญพื้น แผดเผาเยี่ยงเพลิง
ด้ามดาบสลักอักษรตัวเล็ก ๆ ดุจหัวแมลงวันไว้ว่า ‘นครชาด’!
ตู้ม!
ทันใดนั้น ดาบก็คำรน
นครอันปกปักษ์โดยเซียนดาบรวมพลพลันแปรเปลี่ยนเป็นละอองแสง มีเพียงดาบเซียนอันสลักข้อความนครชาดบนประตูเมืองเท่านั้นที่ลอยขึ้นมาสู่มือของมู่อวิ๋นอัน
ยามนี้ บรรยากาศรอบร่างมู่อวิ๋นอันแปรเปลี่ยนไปอีกหน
เหมือนเช่นเซียนดาบผู้พิทักษ์ตะวันใหญ่ ภาวะดาบรุมเร้าเยี่ยงเปลวไฟ ครอบคลุมทั่วโลกหล้า!
“คัมภีร์นครชาดหลอมสุริยัน!”
สีหน้าของเซียนดาบชิงซื่อแปรเปลี่ยนประหลาดตา “มู่อวิ๋นอันผู้นี้ใช้คัมภีร์นครชาดหลอมสุริยันอันรับมือยากเย็นที่สุดในสำนักเต๋านครชาด!”
ดาบพุทธะสรรพสุญตาเองก็ตะลึง ลือกันว่าคัมภีร์ดาบนี้แปรเปลี่ยนมาจากเสี้ยวหนึ่งของคัมภีร์ดาบวิถีเซียน ลึกล้ำเหนือคาดเดา ซ่อนปริศนาสูงสุดไว้ภายใน!
เสียงฮือฮารอบข้างล้วนตะลึงกับอำนาจร้ายกาจอันสะท้อนในร่างของมู่อวิ๋นอัน เหล่าวิญญาณอาสัญต่างแสดงความหวาดกลัวลึกล้ำ
แข็งแกร่งเกินไป!
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต่างเป็นวิญญาณอาสัญผู้มีความแข็งแกร่งเทียบเท่าขอบเขตจิตทารกเหมือนกันหมด ทว่าเมื่อเทียบกับมู่อวิ๋นอัน ฉินหงอวี้ ชิวเส้าฉือ เหลียงกวานและคนอื่น ๆ กลับหม่นรัศมีกว่าอย่างชัดเจน
ขณะเดียวกัน คิ้วของซูอี้เลิกขึ้นเล็กน้อย สัมผัสได้ถึงแรงกดดันพลุ่งพล่านปะทะหน้า
สิ่งนี้ทำให้เขาอดปรีดามิได้
ด้วยอำนาจจากเมล็ดบงกชเทวะเก้าสี ความแข็งแกร่งของเขาพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ขาดเพียงเอื้อมก็จะเข้าสู่ขอบเขตคืนสู่สามัญขั้นปลายได้
เมื่อได้พบศัตรูร้ายกาจเช่นมู่อวิ๋นอันในครานี้ ซูอี้จึงสัมผัสได้อย่างแรงกล้าว่าการฝึกฝนของเขาจะเลื่อนขั้นในศึกนี้แน่นอน!
ตู้ม!
มหาวิถีราบเรียบเฉกเช่นเดียวกับดาบ
เมื่อความสำเร็จวิถีดาบเข้าสู่ระดับสูง มันจะสามารถแปรเปลี่ยนได้มากมายเยี่ยงมายา
ดาบของมู่อวิ๋นอันให้บรรยากาศเช่นนั้น
ดาบวิถีในมือของเขาหามีอยู่จริงไม่ ทว่าควบหลอมมาจากวิถีเต๋า เจิดจ้าดุจสุริยันแผดเผา จรัสแสงทั่วเก้าชั้นฟ้า
ซูอี้ฟาดดาบเข้ารับ หาลังเลไม่
ตู้ม!!
เคล็ดพลังเวิ้งลึกล้ำหลั่งรินบนร่างของเขา เปี่ยมด้วยภาวะดาบ ทำให้ทั่วร่างดูราวปกคลุมด้วยม่านสีครามจากท้องนภา สำแดงอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ปกคลุมทั่วทิศแดนดิน
เมื่อภาวะดาบอันแตกต่างสิ้นเชิงทั้งสองปะทะ ฟ้าดินพลันสิ้นแสง แก้วหูทุกผู้เจ็บแปลบ ดวงตาเหลือกขาว หัวใจและวิญญาณต่างถูกกระทบบาดเจ็บ
แม้ตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิเหล่านั้นจะมองศึกจากไกล ๆ ทว่าก็ยังถูกอำนาจนี้กระทบกระเทือน พวกเขาแต่ละคนล้วนเห็นดาวพร่างพรายปรากฏตรงหน้า วิงเวียนแทบทรุดลงกองกับพื้น
เหล่าวิญญาณอาสัญแปรสีหน้าพร้อมเพรียง ลี้หลบไปไกลอย่างเผลอไผล
ตู้ม!
สุญญะแดนนั้นดูราวทลายลงอย่างสมบูรณ์ ปั่นป่วนรวนเรมิเหลือดี
และท่ามกลางอำนาจทำลายล้างอาละวาดนี้ ซูอี้และมู่อวิ๋นอันประชันฝีมือดุเดือด!
ทั้งสองดูราวสองเซียนดาบอหังการไร้คู่เปรียบประชันศึก หนึ่งดุจตะวันใหญ่ฉายรัศมีครองนภา เจิดจรัสทลายโลกาจากนภา ส่งเปลวเพลิงโหมกระหน่ำพรั่งพรู
หนึ่งเป็นเช่นนภาครามครอบแดนดิน หนึ่งดาบแข็งแกร่งเยี่ยงบัญชาฟ้า ยิ่งใหญ่ไร้ประมาณ
คลื่นศึกอันสร้างจากการประมือแต่ละหนกวาดคลั่งเยี่ยงพายุถล่มทั่วฟ้าดินถิ่นนี้
ราชันแห่งภูมิทั้งหลายมิกล้าใช้จิตสัมผัสชมศึกอีกต่อไป ด้วยกลัวจะถูกลูกหลงศึกนี้ทำร้ายบาดเจ็บ
และเหล่าวิญญาณอาสัญแต่ละผู้ต่างดูเคร่งขรึม เคลื่อนวิถีเต๋าของตนออกต้านคลื่นปราณดาบคลั่งแผ่กระจาย
“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว นักดาบจากสำนักเต๋านครชาดผู้นี้ร้ายกาจกว่าผู้อื่นจริงแท้ ควรค่าจะเป็นขุมกำลังวิถีดาบสูงสุดอันให้กำเนิดเซียนดาบมามากมาย”
บางผู้กล่าวอย่างทึ่ง ๆ
“ทุกผู้ล้วนซึ้งถึงความแข็งแกร่งของมู่อวิ๋นอัน จึงมิแปลกนัก ผู้ที่น่ากลัวจริง ๆ คือซูอี้นั่นต่างหาก! พวกเจ้ามิเห็นหรือว่ามู่อวิ๋นอันสู้มาสักพักแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจสยบเขาได้!”
บางผู้กระซิบ “หากมิได้ประจักษ์กับตา ใครเล่าจะกล้าเชื่อว่าราชันแห่งภูมิขอบเขตคืนสู่สามัญจะท้าทายสวรรค์ได้เพียงนี้?”
“มันต้องเกี่ยวกับวัฏสงสารเป็นแน่แท้ เพราะถึงอย่างไร… เมื่อเวียนวัฏฝึกฝนใหม่ ก็สามารถอุดช่องโหว่ แก้ความผิดพลาดในวิถีครั้งแล้วครั้งเล่าได้!”
บางผู้ดูคลุมเครือ “หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไฉนต้องกังวลเรื่องการสร้างวิถีสูงสุดด้วยเล่า?”
“บางทีอาจเป็นเพราะเช่นนี้ อำนาจวัฏสงสารจึงถูกพันธสัญญาแห่งเทพลบหาย ไม่ยอมให้มีอยู่ในโลกหล้า”
บางผู้มีสีหน้าแสนหวาดหวั่น กล่าวอย่างจนใจยิ่ง
……
“ข้าไม่คาดเลยจริง ๆ ว่าความสำเร็จวิถีดาบของสหายเต๋าซูจะอยู่ในระดับเหลือเชื่อเพียงนี้”
ในฐานะนักดาบคนหนึ่ง เขาย่อมรู้ดีกว่าผู้ใดว่าการที่ซูอี้สามารถประชันวิถีดาบกับมู่อวิ๋นอันได้เป็นเรื่องเจิดจรัสน่าทึ่งเพียงไร
“น่าเสียดายที่เขาเกิดมาผิดยุค หากเป็นสมัยโบราณกาลก่อนล่ะก็ ด้วยภูมิหลังและความสามารถวิถีดาบของเขา จะก้าวสู่วิถีจุติสรวงก็ทำได้ง่าย ๆ สวรรค์จะสะเทือน เซียนสวรรค์ตื่นตะลึงเพราะเขา ไม่ต้องกังวลเลยว่าจะก้าวสู่วิถีเซียนมิได้ หนึ่งดาบของเขาจะเบิกทางสู่วิถีเซียนให้เองแน่!”
เซียนดาบชิงซื่อรำพึง
“ไม่หรอก ในความเห็นข้า สหายเต๋าซูเกิดในยุคสมัยนี้ ได้จังหวะพอดิบพอดีเลย!”
ดวงตาของดาบพุทธะสรรพสุญตาล้ำลึก กล่าวเสียงทุ้ม “วิถีจุติสรวงจะหวนบรรจบ โลกหล้าแปรเปลี่ยนสู่ยุคสมัยใหม่ และมีเพียงตัวตนเช่นนี้ที่สามารถปกครองความเป็นไปในโลกหล้าได้!”
เซียนดาบชิงซื่อนิ่งไป ก่อนจะกล่าวว่า “วาจาดียิ่ง!”
……
ฉูด!
โลหิตสาดกระเซ็นระหว่างศึก
ปรากฏแผลดาบขึ้นอีกแผลบนหลังของซูอี้
เขาในขณะนี้หลั่งโลหิตโซมกาย ร่างแหว่งวิ่นด้วยบาดแผล
มู่อวิ๋นอันแข็งแกร่งเกินไปโดยแท้!
เขาเองก็เป็นวิญญาณอาสัญผู้เทียบได้กับขอบเขตจิตทารกเช่นกัน แต่คู่มือตนก่อน ๆ นั้นมิอาจเทียบนักดาบเช่นมู่อวิ๋นอันได้
นี่ยังทำให้ซูอี้ตระหนักลึกซึ้งว่าแม้จะเป็นวิญญาณอาสัญทรงปัญญาไม่ต่างกัน แม้ขอบเขตฝึกฝนกาลก่อนสิ้นชีพจะเทียบเท่า แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็หาเท่ากันไม่
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มู่อวิ๋นอันเป็นตัวตนสูงสุดผู้หนึ่ง!
ทว่า ยิ่งเป็นเช่นนั้น จิตต่อสู้ของซูอี้ก็ยิ่งแข็งกล้า แม้ร่างของเขาจะแหว่งวิ่นสาหัส แต่แรงกดดันในศึกกลับยิ่งทวีความร้ายแรง
หากไร้เทียมทานในโลกหล้า ย่อมน่าเบื่อเป็นแน่แท้
การได้พานพบศัตรูผู้แกร่งกล้าคือความสำราญสูงสุดในชีวิต!
ยามทำศึกดุเดือดเดิมพันชีวิต ซูอี้นั้นหลงลืมตัวตนไปสิ้น จิตใจและวิญญาณมุ่งสู่สภาวะอันบริสุทธิ์ว่างเปล่า
เป็นประสบการณ์อันห่างหายแสนนาน
และในสถานการณ์อัศจรรย์เกินบรรยายนี้เอง ดาบเก้าคุมขังซึ่งนิ่งเงียบอยู่ในห้วงความนึกคิดของซูอี้พลันสั่นไหว ซึ่งดูจะสั่นพ้องประสานกับจิตต่อสู้อันเดือดพล่านของซูอี้
ขณะเดียวกัน คลื่นอำนาจซับซ้อนเกิดเข้าใจก็แผ่จากดาบเก้าคุมขัง แผ่ซ่านแทรกไปทั่วร่างวิ่นแหว่งของซูอี้
การหล่อเลี้ยงนี้ละเอียดอ่อนและเงียบงัน
“ชายผู้นี้ ไฉนจึงยอดเยี่ยมเพียงนี้?”
ระหว่างศึก หัวใจของมู่อวิ๋นอันเองก็ไหวเป็นคลื่น มิอาจซ่อนทั้งทั้งตกใจ ตะลึงอึ้ง และเค้าความชื่นชมไว้ได้
ในสำนักเต๋านครชาดของพวกเขา มีตัวตนในตำนานวิถีดาบก่อกำเนิดมากมาย พวกเขาแต่ละผู้ทิ้งร่องรอยอันยิ่งใหญ่ไว้ตราบสมัย
เพราะเหตุนี้ มู่อวิ๋นอันจึงตระหนักชัดเจนว่าคู่ต่อผู้ผู้นี้ท้าทายอำนาจสวรรค์ยิ่ง อธิบายได้เพียง ‘หนึ่งเดียวในหล้า’ สี่คำนี้!
เพราะกระทั่งในหมู่ผู้เลิศล้ำ ณ กาลก่อนในสำนักเต๋านครชาด ยังยากจะพานพบผู้เก่งกาจเช่นนี้!
และทั้งหมดนี้ยิ่งกระตุ้นจิตต่อสู้ของมู่อวิ๋นอันให้พลุ่งพล่านมากยิ่งขึ้น
ระหว่างศึก บาดแผลของซูอี้ร้ายแรงขึ้นทุกขณะ
หลวงจีนคงจ้าวยิ้มไม่ออก หัวใจแขวนอยู่จุกคอ กระวนกระวายยิ่งกว่าหนใด
เว่ยซานก็เป็นเช่นนั้น
“หากพ่ายด้วยมือคนเช่นนี้ ทำใจยอมรับได้แน่แท้”
เซียนดาบชิงซื่อว่า
ดาบพุทธะสรรพสุญตารำพึงเบา ๆ “ความต่างชั้นการฝึกฝนมากเกินไป สหายเต๋าซูทำได้ถึงขั้นนี้ก็นับว่าไร้คู่เปรียบในโลกหล้าตั้งแต่อดีตกาลนานมาแล้ว! เกรงว่ากระทั่งทายาทแห่งเซียนแท้จริงทั้งหลายยังพ่ายเลยกระมัง”
มิต้องสงสัยเลยว่า ในสายตายอดฝีมือทั้งสองผู้เคยอยู่บนจุดสูงสุดแห่งวิถีจุติสรวงก่อนสิ้นใจ ซูอี้มีโอกาสชนะเพียงน้อยนิด
และนี่ก็เป็นสิ่งที่ทุกผู้คิดเช่นกัน
ไม่ว่าผู้ใดก็เห็นได้ว่าสถานการณ์ของเขาร้ายแรงอันตราย
ในขณะเดียวกัน แม้มู่อวิ๋นอันจะบาดเจ็บเช่นกัน แต่ก็หาร้ายแรงไม่
ความแตกต่างระหว่างทั้งสองชัดเจนเพียงปรายตามอง
ทว่า ภาพอันเกินคาดฝันพลันปรากฏ
ในศึกดุเดือดนี้ มู่อวิ๋นอันพลันล่าถอย!
เขาเก็บดาบวิถีในมือไปและคำนับ “ไม่ต้องสู้แล้ว คนแซ่มู่ผู้นี้… พ่ายแล้ว”
น้ำเสียงของเขาเจือความหวาดหวั่นและความขมขื่นเล็กน้อย
เหล่าผู้ชมล้วนเงียบกริบ
ทุกผู้ต่างตะลึงมองหน้ากัน
พ่าย?
………………..