บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1324: ฟันต่อฟัน
ตอนที่ 1324: ฟันต่อฟัน
ศึกนั้นดุเดือดเสียจนแทบชี้แพ้ชนะได้อยู่แล้ว
ทว่ามู่อวิ๋นอันกลับประกาศยอมแพ้เสียดื้อ ๆ!
มันกะทันหันเสียจนไม่มีผู้ใดคาดคิด
ผู้คนมองหน้ากัน บรรยากาศทั่วทิศเงียบสงัดลงชั่วขณะ
ใต้ท้องนภาที่อยู่ไกลออกไป ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ พลางกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องทิ้งสินสงครามไว้หรอก”
ร่างของเขาแหว่งวิ่น บาดเจ็บสาหัสเสียจนเลือดโซมร่าง
ทว่ากลับมิแปลกใจที่มู่อวิ๋นอันเลือกยอมแพ้ในยามนี้
“กฎคือกฎ ข้าสละได้”
มู่อวิ๋นอันนำสมบัติชิ้นหนึ่งออกมาวางไว้ที่ประตูวัดสรรพสุญตา
“พี่มู่ ไยจึงออกมายอมแพ้เสียเล่า?”
บางผู้อดถามไม่ได้
นี่คือความงุนงงของทุกคน
มู่อวิ๋นอันส่ายหน้าโดยไม่ได้อธิบายอะไร
นี่ทำให้หลายคนแทบคลั่ง ศึกนี้หาได้ยากยิ่ง ทั้งระทึกใจ เลือดสาดน่าหวาดหวั่น เพียงพอจะเป็นเรื่องโด่งดังทั่วโลกหล้า
ทว่าท้ายที่สุดกลับจบอย่างค้างคา!
คิดให้หัวแตก ผู้คนก็ไม่อาจเข้าใจว่าไฉนมู่อวิ๋นอันผู้ถือไพ่เหนือกว่าชัด ๆ จึงอยากออกมายอมแพ้
“ผู้อาวุโสเห็นสัจธรรมหรือไม่ขอรับ?”
หัวใจของเว่ยซานคันยิบ ๆ และเอ่ยขอคำชี้แนะจากเซียนดาบชิงซื่ออย่างนอบน้อม
เซียนดาบชิงซื่อครุ่นคิด “ข้าพอเดาเหตุผลได้สองประการ หนึ่งคือมู่อวิ๋นอันรู้ว่าหากสู้ต่อไป เขาจะแพ้แน่ ดังนั้นจึงเลือกที่จะหยุด หาไม่ นักดาบที่มีหัวใจแกร่งกล้าเยี่ยงเหล็กเช่นเขา หากมีโอกาสชนะแม้เพียงน้อยก็คงมิรามือแน่”
“ประการที่สองคือ ในศึกก่อนหน้านี้ สหายเต๋าซูน่าจะมีหนทางชนะ แต่กลับไม่เคยงัดมันออกมาใช้ และมู่อวิ๋นอันก็เล็งเห็นสิ่งนี้ เขาจึงรู้ว่าตนพ่ายแพ้ และเต็มใจออกมารับความพ่ายแพ้”
เมื่อเว่ยซานได้ฟังแล้ว เขาก็อดยิ้มเจื่อน ๆ มิได้ เขาเหมือนเข้าใจแต่ก็ไม่อาจรู้ความ ยังคงงุนงงมิต่างจากเดิม
“ยังมีอีกเรื่อง”
ดาบพุทธะสรรพสุญตากล่าวเสริม “สหายเต๋าซูกำลังจะเลื่อนขั้น มู่อวิ๋นอันน่าจะรู้ว่าขอเพียงสหายเต๋าซูเลื่อนขั้นระหว่างศึก เขาจะไร้หนทางรับมือ จึงเลือกยอมแพ้”
“หากทำเช่นนี้ เขาจะแพ้อย่างไม่น่าเกลียดนัก และยังมิส่งผลต่อการเลื่อนขั้นของสหายเต๋าซู ทว่าก็กล่าวได้เช่นกันว่าเป็นการตัดสินใจอย่างตรงไปตรงมา”
เว่ยซานพยักหน้าหงึกหงัก เขาสัมผัสได้ว่าเหตุผลนี้เชื่อถือได้มากกว่า!
ขณะสนทนา เซียนดาบชิงซื่อพลันแค่นเสียงอย่างเย็นชา
ใต้ท้องนภา
มู่อวิ๋นอันหันหลังเตรียมจากไป
ซูอี้กำลังจะเลื่อนขั้น
ผู้คนสับสนไม่รู้ต้องทำเช่นไร
ยามนั้นเอง หนึ่งเหตุพลิกผันพลันบังเกิด
ตู้ม!
บาตรสีแดงฉานใบหนึ่งพลันปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ พุ่งทะยานสู่ซูอี้อย่างกะทันหัน
บางผู้ลงมือ ฉวยโอกาสที่ซูอี้บาดเจ็บสาหัสปราบเขาชิงผลประโยชน์!
ในยามคับขันนั้นเอง มู่อวิ๋นอันได้ฟาดดาบเข้าขวาง
เปรี้ยง!!
ปราณดาบระเบิดเยี่ยงกระดาษ
กระทั่งมู่อวิ๋นอันก็ถูกผลักกระเด็นไป
บาตรสีแดงนี้มีอำนาจน่าหวาดหวั่นยิ่ง แสงสีแดงเจิดจรัสอาบย้อม ดูราวจะกลืนกินบริเวณที่ซูอี้ยืนอยู่ได้
ขณะนี้เอง ซูอี้ก็ขมวดคิ้ว
ไกลออกไปในฝูงชน บัณฑิตวัยกลางคนผู้หนึ่งแย้มยิ้ม
และยามนี้เอง…
ตู้ม!
หนึ่งวจีดาบพลันส่งเสียงคำราม
ปราณดาบสายหนึ่งทะลวงออกมาจากวัดสรรพสุญตา มันดูช้าแต่กลับกระชั้นเข้ามาอย่างรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ ก่อนจะฟาดฟันเข้าใส่บาตรสีแดง
เคร้ง!!
ด้วยเสียงกัมปนาทชวนหูดับนี้ รัศมีแสงสีชาดเลือนหาย บาตรสีแดงพลันถูกฟาดฟันจนกระเด็นไปเยี่ยงว่าวสายป่านขาด
ตัวบาตรปริเป็นรอย ขณะส่งเสียงครวญสั่น
เหล่าผู้ชมล้วนอุทานตื่นตกใจ
“เรื่องอันใดนี่ มีผู้คิดลอบสังหารทัศนาจารย์หรือ?”
หลายคนไหวตัว ณ ยามนี้ แต่ละคนล้วนใบหน้าเปลี่ยนสี
“มีคนฉวยโอกาสปล้นบ้านยามไฟไหม้!”
เหล่าวิญญาณอาสัญเดือดดาล
พวกเขามาที่นี่เพื่อทำลายคำสาปบนร่าง ทว่ายามนี้ มีใครบางคนอยากฉวยโอกาสลอบโจมตีทัศนาจารย์ยามเผลอ!
ใครเล่าจะทนได้?
“สุนัขตัวใดกันลอบโจมตี! แสดงตนออกมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
หลวงจีนคงจ้าวคำรามลั่นอย่างเดือดดาล
ในฝูงชน รอยยิ้มบนใบหน้าบัณฑิตวัยกลางคนแข็งค้าง ดวงตาเปี่ยมความตกตะลึง มีผู้ใช้หนึ่งดาบบดขยี้บาตรแปรโลหิตได้ หรือจะมีตัวตนในขอบเขตจุติสรวงอยู่ในวัดสรรพสุญตากัน?
เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็หันหลังเตรียมจะจากไป โดยไม่คิดจะเรียกบาตรแปรโลหิตคืน
“วายร้ายเลวทราม กระทำการสามานย์ ตายเสีย!”
หนึ่งเสียงกึกก้องด้วยจิตสังหาร
สีหน้าของบัณฑิตวัยกลางคนพลันแปรเปลี่ยน วูบไหวร่างหลบหนี
ทว่ายามนี้ แสงดาบทรงพลังสายหนึ่งพลันฟาดฟันลงมา
ปราณดาบสายนี้ปกคลุมด้วยอักขระสันสกฤตนับไม่ถ้วน ทั้งยังเปี่ยมด้วยรัศมีแสงยิ่งใหญ่เรืองรอง และด้วยดาบนี้ก็เป็นประหนึ่งแดนพุทธมหาฌานถล่มทับ
ตู้ม!
แสงดาบฟาดลงมา และบัณฑิตวัยกลางคนก็สลายเป็นเถ้าไปโดยมิอาจส่งเสียงได้ด้วยซ้ำ
เหล่าผู้ฝึกตนซึ่งอยู่ในละแวกใกล้เคียงล้วนตื่นตระหนกก่อนจะถอยกรูดไปตาม ๆ กัน
ในแดนแห่งนั้น เสียงสวดสันสกฤตและภาวะดาบเจิดจ้าเยี่ยงเพลิงตะวันแผดเผาอยู่เนิ่นนาน
เมื่อเห็นเช่นนี้ เหล่าวิญญาณอาสัญต่างตะลึงจนเหงื่อกาฬแตกซิก
ฉินหงอวี้อ้าปากค้าง
“ไม่สิ มากกว่าหนึ่ง น่าจะมีสองคน!”
บางผู้กระซิบ
หนึ่งปราณดาบฟาดฟันกับบาตรสีชาด
หนึ่งปราณดาบสลายร่างบัณฑิตวัยกลางคน
สองปราณดาบนี้ ไม่ว่าจะรูปลักษณ์หรืออำนาจก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เห็นได้ชัดว่ามาจากสองมหาอำนาจ
“นี่ไม่ได้หมายความว่าหากก่อนหน้านี้เราบุกเข้าไปในวัดสรรพสุญตา… ก็เท่ากับแพ้ภัยตนเองหรือไร?”
บางผู้ถึงกับรู้สึกขนลุกขนพอง
วิญญาณอาสัญเหล่านั้นรู้สึกหวาดผวาในใจ
ปราณดาบทั้งสองสายนั้นสูงส่งน่ากลัวเกินไป ไม่ว่าสายใดก็ร้ายกาจเกินหยุดยั้ง!
นี่ยังหมายความว่าหากพวกเขาเลือกต่อสู้ตะลุมบอนกับซูอี้แต่แรก เกรงว่าพวกเขาคงสิ้นสูญไปแล้ว!
ใครเล่าจะไม่ตกใจและยินดียามคิดถึงเรื่องนี้?
สายตาที่พวกเขามองมายังซูอี้ก็แปรเปลี่ยนอย่างเงียบเชียบเช่นกัน ใครกันที่บอกว่าทัศนาจารย์ไร้ผู้หนุนหลัง?
“ที่แท้ข้าก็ยุ่งไม่เข้าเรื่อง”
มู่อวิ๋นอันหัวเราะกับตนเอง ก่อนจะหันหลังจากไป
“ช้าก่อน”
ซูอี้กล่าวขึ้น
“สหายเต๋ายังมีธุระใดอีกหรือ?”
มู่อวิ๋นอันถามยังมิขาดคำ
ทันใดนั้น ร่างของเขาก็สะเทือนไหว รู้สึกถึงพลังคำสาปในกายปรากฏออกนอกร่าง!
และในสายตาทุกคู่ พวกเขาก็เห็นว่าทันทีที่ซูอี้ยกมือขึ้น ชายหนุ่มก็คว้าพลังคำสาปอันเปี่ยมปราณหายนะประหลาดออกมาจากร่างของมู่อวิ๋นอัน!
มู่อวิ๋นอันหรือจะมิเข้าใจว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น?
เขาหันกลับมามองซูอี้จากระยะไกล
ทันใดนั้น เขาก็ก้มหัวลงคำนับ “ข้ามู่อวิ๋นอันติดหนี้ชีวิตสหายเต๋าแล้ว!”
และเหล่าวิญญาณอาสัญที่อยู่ทั่วบริเวณต่างปั่นป่วน ตะลึงดวงตาแดงก่ำ ต่างฝ่ายต่างมิอาจสงบใจลง
อำนาจวัฏสงสารทำลายคำสาปบนร่างพวกเขาได้!
ซูอี้ดีดนิ้ว แล้วคำสาปนั้นก็มลายหายไป
จากนั้นเขาจึงกล่าวอย่างเฉยชา “เมื่อครู่เจ้าช่วยข้า ข้าก็ช่วยเจ้า มิต้องติดหนี้ชีวิตอันใดกับข้าหรอก”
มู่อวิ๋นอันผงะไป ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้พูดอันใด ทว่าบันทึกบุญคุณนี้ไว้ในใจแล้ว
ตู้ม!
ขณะนั้น ร่างของซูอี้ได้แปรเปลี่ยนไปอย่างสะท้านแดนดินไร้วจี
แสงสว่างเจิดจรัสพุ่งจากร่างของเขา และบาดแผลแหว่งวิ่นทั่วร่างก็ฟื้นคืนสภาพในไม่กี่พริบตา
ปราณบนร่างของเขางอกเงยเยี่ยงเห็ด!
เหตุนี้ทำให้เหล่าผู้ชมสั่นสะท้านกันอีกหน ทุกสายตาจับจ้องค้างเป็นตาเดียว
“ทลายขอบเขต…”
เหล่าวิญญาณอาสัญดูคลุมเครือ
พวกเขาก็กะเช่นนี้ไว้แล้ว เพราะแต่ละคนต่างก็เห็นว่าการฝึกฝนวิถีเต๋าของซูอี้ได้ไต่ระดับสูงขึ้นระหว่างศึกเมื่อครู่ก่อน
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจยามได้เห็นเขาก้าวสู่ขอบเขตคืนสู่สามัญขั้นปลายในรวดเดียว
ทว่าหัวใจของพวกเขากลับหนักอึ้งขึ้น
ซูอี้เมื่อกาลก่อนก็แข็งแกร่งสุดขีดแล้ว นับประสาอะไรกับยามนี้?
“ข้าพอจะเข้าใจแล้ว เหตุที่มู่อวิ๋นอันยอมแพ้ก็คงเพราะตระหนักว่าไม่อาจหยุดการเลื่อนขอบเขตของทัศนาจารย์ได้”
“ยังมีผู้ใดจะสู้อีกหรือไม่?”
เสียงของเซียนดาบชิงซื่อดังออกมาจากในวัดสรรพสุญตา อำนาจยิ่งใหญ่ปกคลุมทั่วผองชน
หัวใจของทุกคนบีบแน่น สัมผัสถึงแรงกดดันเกินบรรยาย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาคิดไว้ถูกต้องแล้วว่าในวัดสรรพสุญตานี้มีผู้ทรงอำนาจเกินคาดหยั่งอยู่!
ไร้ผู้ใดเอ่ยตอบอยู่เนิ่นนาน
แต่หากจะให้วิญญาณอาสัญเหล่านี้เลิกราไปเช่นนี้ ก็ไร้ผู้ใดคิดยอม
ฉินหงอวี้อดกล่าวมิได้ “สหายเต๋าซู มีวิธีอื่นที่สามารถแลกกับความช่วยเหลือปลดคำสาปได้หรือไม่?”
ทันทีที่วาจาถูกกล่าวออกไป เหล่าวิญญาณอาสัญก็มองมายังซูอี้
ซูอี้จำได้อย่างแม่นยำถึงคำเตือนของปราชญ์หงอวิ๋นว่าวิญญาณอาสัญเหล่านี้ไม่ได้ดีไปเสียหมด จะดีที่สุดหากมิยื่นมือช่วยโดยหารู้รากเหง้าไม่
เพราะถึงอย่างไร การปลดคำสาปในร่างของวิญญาณอาสัญเหล่านี้หมายความว่าอีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องกลัวพลังแห่งวัฏสงสารอีกต่อไป บางทีพวกเขาอาจแว้งกัดชิงอำนาจวัฏสงสารของซูอี้ไปทันทีก็เป็นได้
แน่นอนว่ายามนี้ ซูอี้มิจำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้
แต่ก็ต้องระวังว่าจะเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้นภายหลัง
ทว่าซูอี้เตรียมการไว้ในใจแล้ว
เขากวาดตามองเหล่าวิญญาณอาสัญขณะกล่าวว่า “ข้าจะช่วยก็ได้ แต่พวกเจ้าคงต้องออกแรงหน่อย”
วิญญาณอาสัญทั้งหลายต่างใจชื้นระคนยินดี
ฉินหงอวี้ถามทันที “สหายเต๋าซูโปรดชี้แนะ”
ซูอี้ว่า “ประการแรก ใครก็ตามนำหัวช่างเสื้อมาให้ข้าได้ ข้ารับปากจะช่วยคนผู้นั้นปลดคำสาปออกจากร่างให้”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าวออกไป เหล่าราชันแห่งภูมิผู้รู้จักช่างเสื้อต่างแตกตื่น ใครเล่าจะไม่รู้ว่าทัศนาจารย์คิดยืมมือวิญญาณอาสัญเหล่านี้จัดการกับช่างเสื้อ?
พวกเขาส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าช่างเสื้อคือผู้ใด แต่พวกเขาทั้งหลายต่างทราบว่าขอเพียงถามก็จะได้รู้
ซูอี้กล่าวต่อ “ประการที่สอง มีกลุ่มกำลังใต้บัญชาช่างเสื้อกระจายอยู่ในภูมิดาราเทพนครนี้ทั้งหมดสามสิบหกแห่ง ไม่ว่าใครทำลายได้สักแห่งก็สามารถรับความช่วยเหลือจากข้าได้”
กล่าวจบ เขาก็นำม้วนหยกม้วนหนึ่งส่งให้ฉินหงอวี้ “อ่านจบแล้วก็ส่งต่อให้ผู้อื่นด้วย”
ฉินหงอวี้พยักหน้าเห็นด้วย
ชั่วขณะนี้เกิดเสียงฮือฮาปั่นป่วนโดยสมบูรณ์
ทุกคนตระหนักแล้วว่าทัศนาจารย์ระเบิดโทสะ ไม่เพียงคิดกำจัดช่างเสื้อ ยังคิดกวาดล้างอำนาจที่ช่างเสื้อมีอีกด้วย!
เมื่อคิดดูแล้ว ขณะนี้ในโลกามีวิญญาณอาสัญกระจายอยู่ไม่ใช่น้อย และใครเล่าจะไม่คิดทำลายคำสาปบนร่าง?
โดยเฉพาะเหล่าวิญญาณอาสัญผู้ทรงปัญญา แต่ละคนล้วนแข็งแกร่งมิยิ่งหย่อนกว่ากัน และยังมีอำนาจเทียบได้กับตัวตนในขอบเขตจุติสรวง!
และเมื่อทัศนาจารย์ร่ายเงื่อนไขเช่นนี้ออกมา ก็คาดการณ์ได้ว่าต่อจากนี้ ช่างเสื้อและขุมกำลังที่อยู่ภายใต้คำสั่งของเขาจะตกเป็นเป้าของวิญญาณอาสัญเหล่านั้น!
………………..