บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1326: สันเขาเทพวิเวก
ตอนที่ 1326: สันเขาเทพวิเวก
ในศึกวัดสรรพสุญตา ทัศนาจารย์เอาชนะวิญญาณอาสัญในขอบเขตจุติสรวงสี่ตนติดต่อกัน!
ทันทีที่ข่าวนี้แพร่ออกไป ทั่วภูมิดาราเทพนครก็เต็มไปด้วยเสียงหารือ
“ทัศนาจารย์จะท้าทายอำนาจสวรรค์มากไปแล้ว!”
ผู้แรกที่ได้ข่าวคือเหล่ากลุ่มเต๋าสูงสุดในโลกหล้า
เช่นหกตระกูลโบราณอารักษ์วิถี ขุมกำลังยักษ์ใหญ่แห่งจักรวาลพร่างดาวเป็นต้น
เมื่อพวกเขาได้รายละเอียดศึกวัดสรรพสุญตา ขุมกำลังเหล่านี้ต่างตะลึงไม่อาจนั่งติดได้อีกต่อไป
“ดูเหมือนว่าเราต้องปรับมาตรการรับมือใหม่”
ตัวตนบรรพกาลผู้หนึ่งของตระกูลจงโบราณอารักษ์วิถีรำพึง
ในอดีตก่อนหน้านี้ ข่าวเกี่ยวกับวิถีจุติสรวงสร้างเสียงเซ็งแซ่ทั่วโลกามากมาย
ขุมกำลังสูงสุดหลายแห่งเชื่อว่าภายหน้า โลกจะเป็นของตัวตนในขอบเขตจุติสรวง และตัวตนในตำนานแห่งอดีตกาลเยี่ยงทัศนาจารย์ก็จะถูกเหยียบย่ำใต้เท้า
ทว่ายามนี้ ทุกผู้ล้วนรู้สึกราวกับถูกต่อยหน้าอย่างรุนแรง
ทัศนาจารย์ยังไม่ทันบรรลุสู่ขอบเขตจุติสรวง แต่กลับเอาชนะได้กระทั่งวิญญาณอาสัญในขอบเขตจุติสรวง ใครเล่าจะกล้าเหยียบย่ำเขาใต้ฝ่าเท้า?
…
“หลังจากทัศนาจารย์เวียนวัฏกลับมา เขาก็ร้ายกาจน่าสะพรึงยิ่งกว่าอดีตชาติเสียอีก!”
ตัวตนบรรพกาลมากมายในเผ่าภูตหลวนครามกำลังสนทนากันเรื่องนี้
ในหมู่พวกเขามีเฟิงเทียนเจี่ยผู้เคยเป็นพาหนะของทัศนาจารย์รวมอยู่ด้วย และเขากำลังหลั่งเหงื่อกาฬแตกพลั่กอย่างหวาดผวา
“ถ่ายทอดคำสั่งข้า ถอนตำแหน่งนายน้อยออกจากเฟิงอวิ๋นเลี่ย!”
เฟิงเทียนเจี่ยออกคำสั่งโดยหาได้ลังเลไม่
กาลก่อน ณ สันเขาอีกา ยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งนำโดยเฟิงอวิ๋นเลี่ยได้ล่วงเกินทัศนาจารย์เข้า
แต่เดิม เฟิงเทียนเจี่ยไม่ได้คิดจะถอนตำแหน่งของเฟิงอวิ๋นเลี่ย แต่ยามนี้เขามิอาจปล่อยไว้ได้อีก
เขาติดตามเป็นพาหนะข้างกายทัศนาจารย์มาพันปี ย่อมรู้ดีว่าแม้อุปนิสัยของทัศนาจารย์จะอิสระใจกว้าง แต่อีกฝ่ายก็เจ้าคิดเจ้าแค้นฝังกระดูกอีกด้วย!
“ผู้อาวุโสสูงสุด มิใช่ทำเกินไปหน่อยหรือขอรับ?”
บางผู้อดถามมิได้
เฟิงเทียนเจี่ยกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าจะรู้อันใด นี่เรียกว่าเป็นการตัดไฟแต่ต้นลมไม่ให้มีอันตรายใด ๆ ซุกซ่อนต่างหาก”
…
“ถึงอย่างไร วิญญาณอาสัญในขอบเขตจุติสรวงก็เป็นเพียงร่างวิญญาณ มิอาจเทียบกับยอดคนจุติสรวงจริง ๆ ได้”
ณ เผ่าภูตเพลิงสวรรค์ ชายชราผู้หนึ่งกล่าวด้วยเสียงลุ่มลึก “แต่กระนั้น ทัศนาจารย์ทำถึงขั้นนี้ได้ เขาย่อมไม่สมควรถูกประเมินต่ำ ในกาลต่อจากนี้ ให้ทุกคนทำตนให้เงียบเข้าไว้ พยายามอย่าเข้าไปพัวพันกับเรื่องเกี่ยวกับทัศนาจารย์”
เหล่าผู้มีอำนาจของตระกูลซูล้วนพยักหน้า
ทันใดนั้น บางผู้ก็อดเย้ยเยาะออกมามิได้ “ฮี่ ๆ เจ้าช่างเสื้อเฒ่านั่นน่าจะดวงตกแล้ว”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าวออกมา หลายคนก็เสสรวลออกมา
ณ จักรวาลพร่างดาว ช่างเสื้อผู้ซุกซ่อนในที่ลับนั้นเป็นที่หวาดกลัวสูงสุดโดยไม่ต้องสงสัย
ในอดีตผ่านมา ศัตรูแทบทั้งหมดที่เจ้าเฒ่าผู้นี้หมายหัวล้วนจบไม่สวย
ทว่ายามนี้ ด้วยข่าวศึกจากวัดสรรพสุญตา โลกหล้าจึงได้รับรู้ว่าทัศนาจารย์กำลังยืมมีดผู้อื่นสังหารช่างเสื้อ!
“เรารอดูสองพยัคฆ์สู้กันเถิด ต้องมีผู้บาดเจ็บเป็นแน่ แล้วเราก็จะฉวยโอกาสนี้รวบรวมกำลัง เตรียมการรับมือโลกหล้าในภายหน้า!”
ตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อน ตระกูลโบราณอารักษ์วิถีเหล่านี้ได้เริ่มสำรวจความลับแห่งเซียน
จนกระทั่งยามนี้ พวกเขาไม่เพียงสะสมสมบัติเกี่ยวกับวิถีจุติสรวงไว้ได้มากมาย ทว่าผู้อาวุโสสูงสุดบางคนจากบางตระกูลได้บรรลุสู่วิถีจุติสรวงในเขตหวงห้ามเซียนละล่องแล้ว!
มีกระทั่งวิญญาณอาสัญแห่งโบราณกาลบางผู้ที่เลือกร่วมมือกับพวกเขา
และยามนี้ พวกเขาก็ทำเพียงเก็บตัวเงียบ ให้กระแสกาลเวลานำไป รอวันที่วิถีจุติสรวงหวนคืนโลกหล้าอย่างสมบูรณ์เท่านั้น!
…
“แค่ล่าตัวตนผู้หนึ่งซึ่งเรียกว่าช่างเสื้อ ก็แลกกับโอกาสทำลายอำนาจคำสาปได้แล้วหรือ?”
“ส่งคนไปสืบว่าช่างเสื้อผู้นี้คือใคร และหากมีโอกาสก็ไปบั่นหัวเขามาเลย!”
“ให้ไว โอกาสมีจำกัด จะปล่อยผู้อื่นฉวยไปมิได้!”
คำสั่งเช่นนี้ปรากฏขึ้นในขุมกำลังต่าง ๆ ซึ่งมีวิญญาณอาสัญประจำอยู่แห่งแล้วแห่งเล่า
เมื่อพวกเขารู้ว่าขอเพียงล่าช่างเสื้อและขุมกำลังภายใต้คนผู้นี้ได้ พวกเขาจะได้รับโอกาสปลดอำนาจคำสาปจากร่างเป็นข้อแลกเปลี่ยน เหล่าวิญญาณอาสัญต่างพากันว้าวุ่น มิอาจอยู่เฉยได้
แม้ว่าวิญญาณอาสัญอันร้ายกาจบางผู้จะยังไม่อาจออกจากสถานพำนักได้ แต่พวกเขาก็ต่างออกคำสั่งตาม ๆ กัน จัดเตรียมกองกำลังของตนให้ลงมือ
ชั่วขณะนั้น คลื่นใต้น้ำเชี่ยวกราก ปลายหอกล้วนมุ่งชี้ไปหาช่างเสื้อ
เรื่องนี้เองก็ยังดึงความสนใจของขุมกำลังสูงสุดในโลกหล้าได้มากมาย โดยพวกเขาก็อดเย้ยเยาะมิได้
ทันทีที่ทัศนาจารย์ลงมือ ก็เป็นการลงมือเหนือธรรมดาจริงแท้!
…
สำหรับผู้ฝึกตนทั้งหลายในโลกหล้า ศึกที่วัดสรรพสุญตานั้นเหมือนเป็นการกวาดม่านหมอกบังตาทั่วนภาสรวงสิ้นไป ทำให้ทุกคนรู้สึกตื่นเต้น
“ไม่ว่าวิญญาณอาสัญเหล่านั้นจะทรงพลังเพียงไหน พวกเขาก็ถูกพิชิตได้อยู่ดี!”
“ใต้เท้าทัศนาจารย์สมแล้วที่เป็นตัวตนในตำนานอันลือนามทั่วจักรวาลพร่างดาว มีเขาอยู่ ดูสิว่าวิญญาณอาสัญเหล่านั้นจะมีผู้ใดกล้าเหิมเกริมหรือไม่!”
“ปัจจุบันกาลนี้ยังมิขาดบุคคลแกร่งกล้า! ทั่วจักรวาลพร่างดาวนี้หาอยู่ในมือวิญญาณอาสัญเหล่านั้นไม่!”
ผู้คนล้วนตื่นเต้นไปกับมัน
ชั่วกาลนี้ ข่าวเกี่ยวกับวิญญาณอาสัญได้แพร่ได้ทั่วทั้งโลกา และยังทำให้เหล่าผู้ฝึกตนทั่วโลกหล้าเป็นกังวล ต่างผู้ต่างชีวิตแขวนบนความเสี่ยง
ทุกคนรู้ดีว่าหากวิญญาณอาสัญคืนสู่โลกหล้า จะเกิดหายนะถาโถมจนกลายเป็นกลียุคเป็นแน่
ทว่ายามนี้ ทุกสิ่งแตกต่างออกไป
ในศึกวัดสรรพสุญตา ทัศนาจารย์ลำพังก็สามารถปราบวิญญาณอาสัญสี่ตนในขอบเขตจุติสรวงได้ติด ๆ กัน ความสำเร็จอันเจิดจรัสเช่นนี้สามารถส่งผลถึงครรลองหลักแห่งโลกหล้าได้!
“ศึกที่วัดสรรพสุญตา หนึ่งทัศนาจารย์เพียงพอชี้ทางนำครรลองแห่งโลกหล้า ข้าว่าศึกนี้คู่ควรแล้วที่จะโด่งดังในประวัติศาสตร์ ถ่ายทอดต่อร้อยพันชั่วคนตลอดกาลนาน”
ยอดฝีมือโบราณบางผู้ประเมินเช่นนี้อย่างเปี่ยมความรู้สึก
…
ในโลกหล้าอันมืดมัวแห่งหนึ่ง
“รายงานนายท่าน ฐานที่มั่นของเราในแคว้นฟ่าน ภูมิดาราเทพนครถูกวิญญาณอาสัญกลุ่มหนึ่งถล่มทำลาย เสียร่างเงาสิบหกร่างกับผู้ใต้บัญชาอันเก่งกล้านับร้อย ๆ ไปแล้วขอรับ”
“นายท่าน ฐานที่มั่นในแคว้นเหวินของเราถูกวิญญาณอาสัญกลุ่มหนึ่งถล่มโจมตี ไอ้เฒ่าพวกนั้นไล่ล่าคนของเราเยี่ยงเสียสติ กระทั่งสมบัติที่เพียรสะสมมายังถูกพวกเขาชิงไปเลยขอรับ”
“นายท่าน ฐานที่มั่นแคว้นไป๋…”
ข่าวแล้วข่าวเล่าประดังประเดจากปากบ่าวเฒ่า รายงานสู่ช่างเสื้อทีละหนสองหน
สีหน้าของบ่าวเฒ่าเดี๋ยวซีดเดี๋ยวคล้ำ ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยโกรธแค้น
ช่างเสื้อที่อยู่มิห่างกันนักดูสุขุมแต่ต้นจนจบ
ขณะกำลังดื่มชา เขาก็เล่นหมากรุกบนกระดานกับตนเอง
“นายท่าน…”
ไม่นานนักอีกข่าวก็ถูกส่งมา บ่าวเฒ่ากำลังจะเอ่ยรายงาน ทว่าช่างเสื้อโบกมือขัดขึ้นก่อน
“ไม่ต้องพูดแล้ว หากข้าเดาไม่ผิด ฐานที่มั่นทั้งสามสิบหกของเราทั่วภูมิดาราเทพนครคงมิปลอดภัยอีกต่อไป”
ช่างเสื้อดื่มชารวดเดียวหมดจอก จากนั้นก็กล่าวอย่างเรียบเฉย “เจ้าไม่ต้องไปโกรธแค้นอันใดหรอก ความสูญเสียนี้เล็กน้อยมาก ไร้ค่าให้ต้องสนใจ”
ก่อนศึกวัดสรรพสุญตาจะเกิด เขาได้สั่งการธิดาผีเสื้อให้ถ่ายทอดคำสั่ง และบอกกับฐานที่มั่นต่าง ๆ ให้สงวนท่าทีไว้
ปัจจุบัน แม้ฐานที่มั่นเหล่านั้นจะถูกทำลาย สูญเสียยอดฝีมือไปหลายต่อหลาย แต่ก็ไม่ควรค่าให้พูดถึง
บ่าวเฒ่าพยักหน้ากล่าวเบา ๆ “บ่าวเฒ่าผู้นี้แค่รู้สึกว่าการถูกตอบโต้เอาคืนเช่นนี้ช่างน่าโมโหนัก ทุกคนในโลกหล้ากำลังมองเราเป็นตัวตลกนะขอรับ”
ช่างเสื้อกล่าวอย่างไม่แยแส “ตลกแล้วเช่นไร? เมื่อกาลผ่าน เดี๋ยวก็เห็นเองว่าผู้ใดได้หัวเราะทีหลัง”
ว่าพลาง เขาก็อดหัวเราะกล่าวอย่างเนิบช้ามิได้ “ทัศนาจารย์คิดว่าเขายืมมือวิญญาณอาสัญเหล่านั้นมาปราบข้าได้ แต่หารู้ไม่ว่าข้าไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้สักนิด”
“ไม่ต้องพูดถึงว่าวิญญาณอาสัญเหล่านั้นหาโง่เง่าไม่ ไฉนเล่าจะเต็มใจให้ทัศนาจารย์ใช้งาน?”
“นับแต่ยามที่เขาครอบครองพลังวัฏสงสาร เขาก็มีชะตาต้องเป็นอาหารอันโอชะในสายตาวิญญาณอาสัญเหล่านั้นแล้ว และจะไม่มีผู้ใดเปลี่ยนผลลัพธ์นั้นได้!”
“เพราะถึงอย่างไร ก็ไม่มีผู้ใดอยากแขวนชะตาของตนไว้ใต้ดาบของผู้อื่นหรอก”
“ทัศนาจารย์หาโง่ไม่ เขารู้ดีว่าผลประโยชน์สูงสุดจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อวิญญาณอาสัญเหล่านี้ถูกรุมเร้าด้วยอำนาจคำสาปดุจปมอันไม่อาจแก้”
“เว้นเพียง…”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ ช่างเสื้อก็ส่ายหัว “ไม่มีเว้น”
ยามนี้ อีกข่าวก็แว่วมา
“นายท่าน ประมุขพรรคเซียนเร้นราตรีให้คนส่งจดหมายลับมาขอรับ”
คิ้วของช่างเสื้อย่นเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะแย้มยิ้มทันที “เชื่อหรือไม่ หลังจากที่เลี่ยหนานเย่รู้ข่าวศึกวัดสรรพสุญตา เขาย่อมไม่อาจอยู่เฉยได้หรอก และข่าวนี้ที่มาคงเป็นการกดดันเราให้กำจัดทัศนาจารย์โดยไวที่สุดเป็นแน่”
เขากล่าวพลางเปิดจดหมายลับอ่าน
เมื่อเห็นข้อความในจดหมายลับ รอยยิ้มบนใบหน้าช่างเสื้อก็แข็งค้าง หน้าผากปรากฏเส้นเลือดปูดเขียว
จดหมายลับนี้มีข้อความเขียนไว้เพียงประโยคเดียว
‘***แม่* เราขาดกัน!’
เพียงห้าคำ สร้างเป็นประโยคด้วยลายมือประณีตบรรจง ทว่าช่างขัดตายิ่งนัก
ด้วยนิสัยของช่างเสื้อ สีหน้าของเขาถูกประโยคนี้กระตุ้นให้บึ้งตึงในทันที
“ข้าไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าขุมกำลังยักษ์ใหญ่แห่งวิถีมารโบราณจะหยาบคายได้ไม่ต่างจากชาวบ้าน!”
ช่างเสื้อกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา ขณะจิกปลายนิ้วเผาจดหมายลับในมือเป็นจุณ
บ่าวเฒ่าขมวดคิ้วถาม
ช่างเสื้อส่ายหน้าพลางกล่าว “ไม่หรอก เขาแค่ระบายโทสะ มิอาจเชือดแกะอ้วนเช่นเราได้ ขณะเดียวกันก็แสดงความไม่พอใจและกดดันเราเพิ่มเติมด้วย”
หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ช่างเสื้อก็กล่าวขึ้นว่า “เจ้าส่งข้อความไปบอกเลี่ยหนานเย่ที”
“นายท่านว่ามาเถิดขอรับ”
บ่าวเฒ่ารอฟัง
ช่างเสื้อกล่าวด้วยแววตาลึกล้ำ “ข้ารับปากได้ว่าภายในครึ่งปี ทัศนาจารย์จะตกตายแน่นอน! หากต้องการร่วมมือกัน ก็ช่วยเราฝึกฝนกลุ่มตัวตนในขอบเขตจุติสรวงให้ได้โดยเร็วที่สุด หาไม่…”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ดวงตาของช่างเสื้อก็ฉายโทสะ กล่าวชัดทีละคำ “ก็ไสหัวไป***แม่*! ข้าหายี่หระไม่!”
บ่าวเฒ่าผงะ นี่คือหนแรกที่เขาได้เห็นนายท่านของตนเดือดดาลได้เพียงนี้
“จริงสิ!”
บ่าวเฒ่ากล่าวอย่างรีบร้อน “ใต้เท้าธิดาผีเสื้อทำตามคำสั่งนายท่าน ไปซ่อนตัวใน ‘แดนหวงห้ามสันเขาเทพวิเวก’ พร้อมกับขุมกำลังหลักในฐานที่มั่นของภูมิดาราเทพนครแล้วขอรับ”
ช่างเสื้อกล่าวอย่างไร้ลังเล “ส่งข้อความถึงธิดาผีเสื้อ บอกนางให้อพยพโดยเร็วที่สุด เร็วเลยนะ!”
บ่าวเฒ่าตะลึงไป ก่อนจะรีบทำตามคำสั่ง
“ลาเฒ่าหัวล้าน หากเจ้ากล้าส่ง ‘ยันต์พันโอกาส’ ของข้าให้ทัศนาจารย์จริง ๆ เช่นนั้นก็อย่าโทษข้าที่ไม่แยแสมิตรภาพกาลก่อนเชียว จากนี้ไป ข้าจะเป็นศัตรูกับเจ้าโดยสมบูรณ์!”
ช่างเสื้อดูบึ้งตึง
ในยามเยาว์ เขาประสบหายนะอันไม่อาจฟื้นคืน และได้หลวงจีนคงจ้าวผู้หยาบคายช่วยเขากลับมาจากความสาหัสเจียนตาย
แม้นานมาแล้วทั้งสองจะแตกหักกัน ต่างฝ่ายต่างอยู่มิเสวนากันอีก ทว่าในหัวใจช่างเสื้อยังคงใส่ใจบุญคุณดั้งเดิม
เมื่อคาดการณ์ได้ว่าหลวงจีนคงจ้าวน่าจะช่วยเหลือทัศนาจารย์ให้จัดการกับเขา ช่างเสื้อจึงรู้สึกราวกับหัวใจถูกมีดแทงสุดด้าม เสียอาการอย่างหาได้ยาก
ขณะเดียวกัน…
กลางดึกอันไร้แสงดาว ดวงจันทราหลบหายไร้ร่องรอย
ร่างของซูอี้ปรากฏขึ้นยังป่าเขาลึกอันเก่าแก่แห่งหนึ่ง
“ที่แท้ก็มาซ่อนอยู่ในสันเขาเทพวิเวกนี่เอง แต่ไม่รู้ว่าช่างเสื้อเฒ่าจะอยู่ที่นี่ด้วยหรือไม่”
ซูอี้มองลงมายังยันต์พันโอกาสในมือ
สมบัตินี้เปล่งประกาย ขณะชี้ไปยังสันเขาเทพวิเวก