บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1328: สายสัมพันธ์กล้าแกร่ง
ตอนที่ 1328: สายสัมพันธ์กล้าแกร่ง
………………..
ตอนที่ 1328: สายสัมพันธ์กล้าแกร่ง
“นายท่าน ธิดาผีเสื้อตาย และร่างเงาหลัก ๆ ที่เราใช้ประจำในภูมิดาราเทพนครล้วนสิ้นมิเหลือแล้วขอรับ”
ในโลกหล้าอันมืดมัวแห่งนั้น บ่าวเฒ่ากล่าวขึ้นเสียงเบา
ช่างเสื้อนั้ชื่นชอบการดื่มชา ไม่ชอบสุราเสมอมา
ทว่ายามนี้ เขากลับนำสุราไหหนึ่งออกมาดื่มเงียบ ๆ
บนใบหน้าชราวัยมีความโศกเศร้าอย่างมิอาจปกปิด
เขาเลี้ยงธิดาผีเสื้อเติบโตมาเยี่ยงบุตรี
เดิมเขาเตรียมทรัพยากรฝึกฝนไว้เพียงพอกรุยทางสำหรับชี้นำธิดาผีเสื้อขึ้นวิถีสู่สวรรค์ได้โดยราบรื่น
ทว่ายามนี้…
สิ้นความหมาย!
เนิ่นนานจากนั้น ช่างเสื้อก็ผ่อนหายใจยาว นัยน์ตาฉายประกายเย็นชาร้ายกาจ “ชีวิตแลกด้วยชีวิต หลวงจีนคงจ้าว จากนี้ไป ข้าหาติดค้างเจ้าไม่!”
“นายท่าน โปรดยั้งความโศกลงก่อนเถิดขอรับ”
บ่าวเฒ่าเตือนสติ
สีหน้าของช่างเสื้อฟื้นกลับ กล่าวออกมาว่า “คนเราเกิดมาต้องตาย ข้ารู้อยู่นานแล้ว และจะไม่ให้การตายของธิดาผีเสื้อส่งผลต่อจิตใจข้า”
หลังเว้นช่วงเล็กน้อย เขาก็กล่าวว่า “ถ่ายทอดคำสั่ง จากวันนี้ไป ให้กำลังของเราทั้งหมดเก็บตัวเงียบ ปล่อยทัศนาจารย์เต้นแร้งเต้นกาไปก่อน!”
“ในสามเดือน ข้าจะขุดสุสานสร้างป้ายหลุมศพให้ทัศนาจารย์เอง!”
……
แสงอัสดงเจิดจ้าเยี่ยงเปลวเพลิง
ซูอี้เดินลำพังท่ามกลางเมืองอันรุ่งเรืองเต็มไปด้วยผู้คน
เขามิได้อยู่ว่างลำพังมาแสนนาน
ในร้านน้ำชาแห่งหนึ่ง ผู้เล่าเรื่องกำลังร้อยเรียงเรื่องประหลาดเกี่ยวกับเทพและปีศาจ ทำให้ผู้ชมในร้านน้ำชาชอบใจปรบมือเกรียวกราว
สิ่งที่ทำให้ซูอี้หลุดขำนั้นก็คือ ตัวเอกในเรื่อง แท้จริงคือทัศนาจารย์
เขาฟังเรื่องราวอย่างเพลิดเพลินอยู่นอกร้านน้ำชาสักพักก่อนจะหันหลังจากไป หาโรงเตี๊ยมเงียบ ๆ ห่างไกลผู้คนสักแห่งและสั่งอาหารจานเด็ดประจำท้องถิ่นมานั่งทาน
มิคิดสิ่งใด มิกระทำการใด เพียงดื่มด่ำความสันโดษเดียวดาย
“โลกอันปั่นป่วนนี้ ยากแท้จะหาช่วงกาลอันสงบสุข เราทั้งหลายล้วนถูกหลงลืมในแดนโลกีย์”
“บางครั้งก็ถึงกาลปล่อยตนให้ผ่อนคลาย หยุดฝีเท้า ตั้งจิตพินิจเรียบเรียงวิถีตน”
ซูอี้เดินออกจากโรงเตี๊ยม สัญจรอย่างไร้จุดหมายไปบนตรอกด้วยสองมือไพล่หลัง
เขาซื้อสุรา ขายสมบัติบางส่วนซึ่งไม่อาจใช้ได้
หากพบสิ่งของน่าสนใจใด ๆ ข้างทาง เขาก็ซื้อไว้ ลิ้มลองอาหารพิเศษเลิศรสจากทั่วแดนดิน
จวบตะวันลับสิ้น รัตติกาลใกล้โปรยปราย ซูอี้ก็ออกจากเมือง เดินทางไปยัง ‘แคว้นแห่งควัน’
‘โรงหลอมเทวะ’ อันเป็นที่เลื่องลือในฐานะแดนสวรรค์แห่งการหลอมสมบัติในภูมิดาราเทพนครตั้งอยู่ในแคว้นแห่งควัน
หนนี้ ซูอี้มาเพื่อใช้วัตถุศักดิ์สิทธิ์ฮุ่นตุ้น ‘เตาหมื่นเลิศล้ำ’ และ ‘เพลิงวิถีเก้ากระจ่าง’ ของโรงหลอมเทวะเพื่อหลอมรวมเถาวัลย์มารดาฟ้าดินเข้ากับดาบแห่งโลกาโดยสมบูรณ์
การฝึกดาบมุ่งเป้าที่ดาบ
ไม่ว่าจะเป็นดาบแห่งโลกาหรือเถาวัลย์มารดาฟ้าดินต่างก็เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ฮุ่นตุ้นซึ่งพบได้ แต่มิอาจใฝ่หา
ทว่าสำหรับซูอี้ ดาบเล่มเดียวก็เพียงพอ
รัตติกาลกระจ่างเมฆ พร่างพราวด้วยดารากะพริบวูบไหว
ซูอี้ท่องวายุละล่องผ่านบรรพตลำธาร อาภรณ์สะบัดไหว ดูราวเดินทอดน่องสำราญใจ ทว่าที่แท้ หนึ่งก้าวของเขาสัญจรผ่านแดนพันจั้ง
ไร้เรื่องรีบร้อน ซูอี้จึงหาเร่งรีบไม่
ไร้ความคิดซับซ้อน จันทราดวงดาวสงบเงียบ
ติ๊ง!
แว่วเสียงฉินดังมาดุจธาราไหล สะท้อนทั่วค่ำคืนสีหมึก
ซูอี้หยุดฝีเท้า
เหนือผาไกลออกไปถูกปกคลุมด้วยหมอก ดวงดาวพริบพรายราวภาพลวง
ชายผู้หนึ่งในชุดยาวสีแดงนั่งอยู่บนพื้น ฉินวางตรงหน้าเข่า พรมมือลงไล้สายฉินอย่างลอยชาย
เสียงฉินนั้นกระจ่าง เปี่ยมความความยินดีปรีดา
ทั่วทิศใกล้เคียง พฤกษาใบหญ้าเอนไหว สายลมโชยอ่อน ทุกสิ่งช่างอ่อนโยนเปี่ยมสุข ฝูงนกกระจอกวิญญาณร่ายระบำตามเสียงอย่างมีชีวิตชีวา
ซูอี้เลิกคิ้วน้อยๆ พลางถาม “ยินดีที่ได้พบข้าเพียงนั้นเลยหรือ?”
เขาได้ยินทำนองสุขสันต์ในเสียงฉิน
ชายชุดแดงเสสรวล ใช้สองมือไล้สายฉิน และทันใดนั้น เสียงฉินทั่วฟ้าดินก็ดับสิ้นไป
“พบสหายมาจากแดนไกล มิใช่เรื่องดีหรือไร?”
ชายชุดแดงนำกล่องออกมาเก็บฉิน ก่อนจะลุกขึ้นยืน
เขามองซูอี้ซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางเมฆาห่างออกไปขณะกล่าวยิ้ม ๆ “ค่ำคืนอันตระการเช่นนี้ ข้าและเจ้ามีวาสนาพานพบกันกลางป่าเขา หากสหายเต๋าซูมิถือสา มาดื่มกันสักหน่อยดีหรือไม่?”
ชายผู้นั้นรูปร่างสูง หน้าต่อหล่อเหลา กิริยาสูงส่งดุจเซียนผู้ไร้มลทิน
ซูอี้กวาดสายตาไปรอบ ๆ พลางกล่าว “ในสายตาข้า ที่แห่งนี้ร้ายกาจเปี่ยมจิตสังหาร ทุกสิ่งล้วนมาดร้าย ต้นไม้ใบหญ้าทุกแขนงดุจพฤกษาอเวจี”
ว่าแล้ว เขาก็ชักดาบออกฟาดฟัน
ตู้ม!
ฟ้าดินพลิกกลับด้าน บรรพตลำธารหายวับเยี่ยงไร้ตัวตน
ทั่วทุกสารทิศกลับกลายเป็นแดนดินอันแร้นแค้นทรุดโทรม ไร้หย่อมหญ้าใด ๆ
ไกลออกไป ชายชุดแดงยืนอยู่เหนือเนินว่างโล่ง ผมยาวสีดำสยายกระเซิง ถือร่มคันหนึ่งในมือ
ร่มคันนี้ดำสนิทเยี่ยงหมึก ใบร่มเป็นวงกลม แกนร่มสลักลวดลายวิถีลี้ลับ มีแสงสีดำประหลาดเกินคาดหยั่งวูบไหวไหลเวียน
อาภรณ์ชายผู้นี้แดงก่ำเยี่ยงโลหิต ถือร่มสีดำสนิทยืนใต้ท้องนภา เพิ่มบรรยากาศลึกลับประหลาดเจือสูงส่งไร้มลทิน
“ช่างน่าอัศจรรย์ ตลอดมานับแต่ข้าสัญจรทั่วแดน สหายเต๋าซูคือผู้แรกที่ไม่ได้รับผลใด ๆ จาก ‘ค่ายกลเซียนสวรรค์เงามายา’”
ชายชุดแดงกล่าวอย่างทึ่ง ๆ
ซูอี้ลูบดาบแห่งโลกาขณะกล่าวอย่างเฉยเมย “ดึกป่านนี้ ไร้ลมไร้ฝน ไฉนจึงต้องกางร่มด้วย?”
ชายชุดแดงยิ้มน้อย ๆ พลางกล่าวว่า “สหายเต๋าซูก็เห็นว่าร่มนี้พิเศษมากหรือ? เช่นนั้นข้าก็จะขอโอ่สักหน่อย ร่มนี้มีนามว่า ‘ปรกนภา’ เป็นสมบัติเซียนอันแท้จริง ขอเพียงกางมันออกก็จะสามารถบดบังข้าจากกฎสวรรค์แดนนี้ได้”
ร่มปรกนภา!
สมบัติเซียน!
ซูอี้เลิกคิ้วกล่าว “เช่นนั้น แค่ทำให้ร่มหลุดมือเจ้าได้ เจ้าก็จะต้องทัณฑ์สวรรค์หรือไร?”
ชายชุดแดงหรี่ตาลงขณะกล่าวยิ้ม ๆ “ก็ถูก แต่ข้าหวังว่าสหายเต๋าซูจะมิทำเช่นนั้นคงดีกว่า”
เขาว่าพลางหยิบน้ำเต้าเขียวลูกหนึ่งอันเปี่ยมแสงเซียนสีเงินออกมา “นี่คือสุราเซียนซึ่งบ่มด้วยมือเซียนอย่างแท้จริง อยากลิ้มลองดูหรือไม่?”
ซูอี้ถูหว่างคิ้วพลางกล่าว “ข้าไม่ชอบเสวนาเรื่อยเปื่อยกับคนแปลกหน้า ขานชื่อ ที่มาและเจตนาออกมาเสีย อย่ามัวแต่เล่นลิ้น”
ชายชุดแดงยกน้ำเต้าขึ้นจิบ “นามของข้าคือฝูตงหลี มาจากโลกแห่งเซียน และจากที่โลกหล้านี้กล่าวกัน ข้าก็คือทายาทแห่งเซียน”
“ข้ามาหลบภัยในแดนมนุษย์นับแต่โบราณกาล ทว่ามิคาดเลยว่าจะต้องเผชิญหายนะไม่คาดฝัน แปรเปลี่ยนเป็นวิญญาณอาสัญ”
กล่าวถึงตรงนี้ เขาก็รำพึง “ข้าเพิ่งตื่นจากนิทราเมื่อสองสามปีก่อน จากนั้นก็พบว่าโลกหล้าแปรเปลี่ยนไปแล้ว”
ซูอี้อดประหลาดใจมิได้
ยามเขาพบชายชุดแดงคนนี้หนแรก เขาสังเกตเห็นแล้วว่าปราณของอีกฝ่ายพิเศษ กล่าวได้ว่าเกินคาดหยั่ง
หลังจากรู้เรื่องของร่มปรกนภาในมืออีกฝ่าย เขาก็สรุปได้ทันทีว่านี่คือวิญญาณอาสัญอันแข็งแกร่งเหนือล้ำกว่าขอบเขตจิตทารกไปไกล!
ทว่าเขาก็ไม่คาดว่าอีกฝ่ายจะเป็นทายาทแห่งเซียนเหมือนปราชญ์หงอวิ๋น!
“เจ้ามาหาข้าเพื่อวัฏสงสารสินะ?”
ซูอี้ว่า
ชายชุดแดงผู้เรียกตนด้วยชื่อฝูงตงหลีส่ายหน้า “ใช่และไม่”
“ไฉนจึงกล่าวเช่นนั้น?”
ซูอี้ว่า
ดวงตาของฝูตงหลีเยือกเย็น กล่าวอย่างสุขุม “ข้าได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเจ้ามาบ้าง และมีเจตนาเดียวที่นี่ คือหวังสร้างสัมพันธ์อันดีกับเจ้า”
ซูอี้ว่า “สัมพันธ์อันดี?”
“ใช่”
ฝูตงหลีตอบอย่างจริงจัง “ข้ามาจากโลกเซียน มีขุมกำลังเซียนสูงสุดอยู่เบื้องหลังแห่งหนึ่ง ขอเพียงสหายเต๋ายอมส่งเคล็ดวัฏสงสารให้ข้า ข้าก็รับประกันได้ว่าภายหน้ายามหวนคืนสู่โลกเซียน ข้าจะพาสหายเต๋าไปกับข้าแน่!”
ว่าแล้วเขาก็แย้มยิ้ม “การบรรลุเซียนในหนึ่งก้าวเป็นโอกาสสูงสุดอันพบได้แต่ไม่อาจหาในโบราณกาล ข้าเชื่อว่าสหายเต๋าน่าจะรับรู้ถึงความจริงใจของข้าแล้ว”
บรรลุเซียนในหนึ่งก้าว!
นี่นับเป็นความฝันของผู้ฝึกตนใด ๆ ในหล้าอย่างแท้จริง
ทว่าซูอี้หาหวั่นไหวไม่ กล่าวออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย “สิ่งที่ข้าตามหาคือวิถีจุติสรวง ไม่ใช่โอกาสไปยังแดนเซียน”
ฝูตงหลีผงะไป เห็นได้ชัดว่าประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวออกมาหลังผ่านกระบวนการคิด “ข้ามีมรดกระดับจุติสรวงอยู่กับตัวด้วยอีกเก้าอย่าง แต่ละอย่างล้วนมาจากกลุ่มเต๋าสูงสุด กล่าวให้กระชับก็คือ มรดกทั้งเก้านั้นอยู่ในโลกเซียน และยังเป็นของกลุ่มเต๋าชั้นหนึ่งอีกด้วย”
หลังเว้นช่วงเล็กน้อย เขาก็กล่าวว่า “นอกจากมรดกเหล่านี้ หากสหายเต๋าต้องการสมบัติ ข้าก็มีสมบัติเซียนอยู่ในมือ อยากได้โอสถ โอสถเซียนข้าก็มี… กล่าวสั้น ๆ ก็คือ ในเมื่อข้าคิดสร้างสัมพันธ์อันดีกับสหายเต๋า ข้าย่อมแสดงความจริงใจต่อสหายเต๋าอยู่แล้ว”
ซูอี้อดประหลาดใจมิได้ หรือนี่จะเป็นทายาทรุ่นสองแห่งเซียนผู้มั่งคั่งกัน?
หาไม่ ไฉนจึงมั่งคั่งเพียงนี้?
“สหายเต๋าคิดเช่นไรเล่า?”
ฝูตงหลีถามยิ้ม ๆ
ในมือถือร่มสีดำ อาภรณ์แดงพลิ้วไสว กิริยาสง่างามโดดเด่น
สำหรับผู้อื่นในโลกหล้า เกรงว่าคงถูก ‘สมบัติเซียน’ อันไหลมากองถึงที่ทำให้ตื่นตะลึงไปแล้ว
ทว่าซูอี้ส่ายหน้าปฏิเสธโดยไม่คิด “ข้าหาสนใจไม่”
ฝูตงหลีขมวดคิ้ว กล่าวออกมาเบา ๆ “หรือความจริงใจที่ข้าแสดงยังมิพอ? สหายเต๋าว่ามาได้เลย ขอเพียงข้าสนองให้ได้ ข้าจะมิตระหนี่เป็นแน่แท้”
ซูอี้กล่าวอย่างเคร่งขรึม “หากเจ้าจริงใจเป็นแน่แท้ คงดีที่สุดหากไปเสียยามนี้”
ฝูตงหลีถูจมูกกล่าวเบา ๆ “หรือเพราะข้าพูดจาไพเราะเกินไปกันนะ สหายเต๋าจึงคิดว่าข้ามา…ขอร้อง?”
เขาเบนสายตามองซูอี้ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ร่างของเขาปรากฏบรรยากาศคุกคามกดดันอันมิอาจมองเห็น
เป็นที่ชัดเจนว่าเขากำลังร้อนรน ไม่ก็มีโทสะ การวางตนนุ่มนวลเลือนหายไปแล้ว
“สร้างสัมพันธ์อันดีอันใดกัน? ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอแท้ ๆ”
ซูอี้เสสรวลกล่าว “ทว่าเจ้ากลับยังวางท่าเลิศเลอ ยกชะตาสัมพันธ์มาพูด”
“จะไม่ไว้หน้ากันจริง ๆ หรือ?”
สีหน้าของฝูตงหลีเย็นชามากขึ้นทุกขณะ
หากเป็นในโบราณกาล ด้วยตัวตนและฐานะของเขา เขามิจำเป็นต้องพากเพียรไขว่คว้าใด ๆ ก็สามารถเข่นฆ่าได้เพียงหนึ่งสั่งการ!
ยามนี้ เขาก็รู้ดีว่าไม่เหมือนกาลก่อน เขากลายเป็นวิญญาณอาสัญไปแล้ว จึงไม่คิดลงมือเอิกเกริก ตั้งใจสร้างสัมพันธ์กับอีกฝ่าย ใช้เจตนาดีเข้าแลกเปลี่ยน
ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะมิไว้หน้าเขาแม้แต่น้อย!
ซูอี้กล่าวเนิบ ๆ “จะให้เจ้าคุกเข่าลงอ้อนวอนข้าก็คงมิได้”
ฝูตงหลีเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะเสสรวลกับตน “เดิมทีข้ามอบใจแก่จันทราฉาย ทว่าแสงจันทร์กลับส่องลงสู่หล่มโคลน ท้ายที่สุดเจตนาดีของข้าก็เสียเปล่า!”
น้ำเสียงช่วงท้ายของเขาเจือจิตสังหารเย็นเยียบ
ฟ้าดินพลันหม่น แสงดาราทั้งหลายอับเฉาสลัวมัว