บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1329: ประชันสมบัติ
ตอนที่ 1329: ประชันสมบัติ
ทั่วฟ้าดินเปี่ยมด้วยจิตสังหารมืดหม่นอับรัศมี
เสียงยังไม่ทันสร่าง ฝูตงหลีผู้ถือร่มสีดำพลันยกมือขวาของเขาขึ้น
วิ้ง!
หนึ่งวงล้ออันดูราวสลักจากน้ำแข็งทะยานขึ้นบนอากาศ
มันหมุนคว้างเวียนวน แสงเซียนโปรยปรายเยี่ยงน้ำตก แดนดินรอบใกล้บิดเบี้ยวทลายล่ม อำนาจร้ายกาจแผ่ซ่าน ถล่มเวหาบดขยี้แดนดิน
ปราณสมบัตินี้ร้ายกาจอย่างยิ่ง มีภาพลวงของวิหคเซียนมากมายวูบไหวบนวงล้อ
ยามนี้ หนึ่งวิหคเซียนพลันทะยานออก!
มันคือนกกระจอกกลืนนภาอาบแสงเซียนสีดำ มีขนาดราวหนึ่งจั้ง นัยน์ตาสีทอง กรงเล็บแดงฉาน ร่างและปีกดำสนิทเยี่ยงหมึก
ยามกระพือปีกโบยบิน แสงเซียนก็โปรยปรายราวธารดาราเก้าชั้นฟ้า เคลื่อนเข้าหาซูอี้
ซูอี้ฟาดดาบแห่งโลกาในมืออย่างแรง
เปรี้ยง!
ขุนเขาลำธารสะท้านสั่น สุญญะรวนเรป่วนปั่น
นกกระจอกกลืนนภานั้นเป็นจิตวิญญาณอย่างเห็นได้ชัด ทว่าความแข็งแกร่งของมันกลับน่าตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง เพียงแสงเซียนจากปีกของมันก็สามารถบดขยี้ราชันแห่งภูมิขอบเขตไร้ขีดจำกัดทั้งหลายในโลกหล้าเป็นจุณได้โดยง่าย!
ซูอี้ใช้กฎวัฏสงสารฉาบดาบ แต่ก็มิอาจหยุดอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแก่นแท้ของนกกระจอกกลืนนภานี้หาใช่วิญญาณอาสัญไม่ มันถูกหล่อหลอมเข้ากับวงล้อนั้นไปก่อนแล้ว จึงมิได้ถูกสะกดข่มโดยวัฏสงสาร
ทว่าเรื่องนี้หาทำให้ซูอี้คับข้องใจไม่
จากคำอนุมานของเซียนดาบชิงซื่อและดาบพุทธะสรรพสุญตา ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาเทียบได้กับตัวตนสูงสุดในขอบเขตจิตทารก
แม้จะต้องสังหารตัวตนขั้นกลางหรือปลายขอบเขตจิตทารกทั่วไปก็ทำได้ไม่ยากนัก
ไม่นานนัก ปราณดาบพลุ่งพล่านดุดัน โจมตีนกกระจอกกลืนนภาเสียจนแทบปัดป้องมิไหว
“หึ!”
ไกลออกไป ฝูตงหลีบีบวงล้อบนสุญญะเล็กน้อย
ตู้ม!
วิหคเซียนอีกตนทะยานออกจากวงล้อ ร่างของมันยาวร้อยจั้ง อาบแสงเซียนจรัส ปีกกว้างเยี่ยงเมฆาบนนภา ทว่ากลับมีเพียงขาเดียว
มันคือปี้ฟางตัวหนึ่ง!
หลังวิหคเซียนทะยานออก มันก็อ้าฟากพ่นเพลิงทิพย์ แปรเปลี่ยนท้องนภาเป็นเช่นทะเลเพลิงกวาดเข้าหาซูอี้
นอกจากนั้น มันยังรวดเร็วยิ่ง เมื่อประสานกับนกกระจอกกลืนนภา มันก็สามารถตรึงซูอี้ไว้ได้!
“ใน ‘กระดานทิพย์พันปักษา’ ของข้าผนึกแก่นวิญญาณของวิหคเซียนไว้สามสิบหกตน แม้สมบัตินี้จะเสียหายอย่างหนักไปเพราะหายนะ เหลืออำนาจเพียงไม่ถึงหนึ่งส่วน ทว่าวิหคเซียนซึ่งถูกผนึกในนี้ก็ยังมีอำนาจต่อสู้เทียบได้กับขอบเขตจิตทารกอยู่ดี”
ไกลออกไป ฝูตงหลีกล่าวขึ้นอย่างเนิบ ๆ “ยิ่งกว่านั้น พวกมันยังมิถูกจำกัดด้วยวัฏสงสาร!”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฝูตงหลีเตรียมการมาเป็นอย่างดี รู้ว่าอำนาจวัฏสงสารถือไพ่เหนือกว่าวิญญาณอาสัญ เขาจึงเตรียมสมบัติมารับมือวัฏสงสารเป็นการเฉพาะ!
เปรี้ยง!
ศึกทวีความดุเดือด
เมื่อเห็นซูอี้คืนความได้เปรียบ คิดอยากสยบนกกระจอกกลืนนภาและปี้ฟาง
วิหคเซียนก็ทะยานออกจากกระดานทิพย์พันปักษาอีกครั้ง
หนนี้มาพร้อมกันถึงเจ็ดตัว!
มีอินทรีเนตรหยกอันปกคลุมด้วยไอสีม่วงทั่วร่าง เหยี่ยวหน้าผีอันมีปีกหกคู่ กระเรียนปีกเพลิงอันปกคลุมด้วยกฎอสนีบาตสีแดงฉาน…
วิหคเซียนแต่ละตัวล้วนแข็งแกร่งจนน่าสะพรึง สารพัดแสงเซียนย้อมร่าง อิทธิฤทธิ์แข็งกล้าแผดเผาทั่วหล้าได้ทุกเมื่อ
ยามปรากฏตัวพร้อมเพรียง ซูอี้ก็ตกสู่วงล้อมในทันใด
ไกลออกไป ฝูตงหลีแย้มยิ้มน้อย ๆ เดิมเขาคิดว่าเขาต้องลงมืออย่างสุดกำลังเสียแล้ว
ทว่ายามนี้ ดูเหมือนซูอี้ผู้โด่งดังทั่วโลกหล้ายามปัจจุบันจะดูมิอาจหยุดกระทั่งหนึ่งสมบัติเซียนพัง ๆ ของเขาได้
ขณะคิดเช่นนี้ เสียงรำพึงเบา ๆ ของซูอี้ก็ดังออกมา “น่าเสียดาย”
ฝูตงหลีกล่าวยิ้ม ๆ “น่าเสียดายอันใด?”
อึดใจต่อมา รอยยิ้มของเขาก็แข็งค้าง
เก้าดาบบินทะยานผ่านเวหา แต่ละเล่มพุ่งสังหารวิหคเซียนหนึ่งตัว!
ตู้ม!
สุญญะโกลาหล พิรุณแสงกวาดไกลพร่างพรม
เก้าวิหคเซียนอันเทียบได้กับขอบเขตจิตทารกไร้โอกาสแม้แต่จะกรีดร้อง ร่างของพวกมันสลายเป็นละอองแสงหายไป
“เดิมข้าคิดจะจับเป็นพวกมันเสียหน่อย ไม่ว่าจะหลอมโอสถหรือพิทักษ์ร่าง พวกมันล้วนมีประโยชน์ ทว่ายามนี้ข้ากลับต้องฆ่าพวกมัน มิน่าเสียดายหรือ?”
ซูอี้กระซิบ
ดาบบินทั้งเก้าอาบแสงเซียนเลื่อมพราย เจิดจรัสหมุนคว้างรอบร่างเขา
เปลือกตาของฝูตงหลีกระตุก สีหน้าปรากฏความเย็นชา “ข้าเกือบลืมว่าเจ้ายังมีสมบัติขอบเขตจุติสรวงอยู่ในมือ”
เขาว่าพลางยกมือขึ้นเก็บกระดานทิพย์พันปักษาไป
จากนั้นเขาก็อ้าปากพ่น
ฟิ้ว!
ยันต์แผ่นหนึ่งอันอาบไล้ด้วยแสงเซียนทะยานสู่เวหา
แสงสว่างเจิดจ้าสาดส่องทั่วสารทิศดุจกระทิงดุ และทันทีที่มันปรากฏ อำนาจอันน่าสะพรึงกลัวก็พุ่งแผ่ราวถล่มท้องนภาจมธรณี
มันประหลาดเกินไป ลวดลายวิถีบิดเบี้ยวเยี่ยงไส้เดือนปรากฏขึ้นบนพื้นผิว สร้างเป็นรูปร่างคลุมเครือ ยิ่งใหญ่ดุจเทพเซียนลวงตา
ม่านตาของซูอี้หดตัวลงเงียบ ๆ สัมผัสแรงกดดันปะทะหน้าได้
มิต้องสงสัยเลยว่าสมบัติชิ้นนี้น่าสะพรึงกลัวยิ่ง ห่างไกลเกินกว่าที่สมบัติลับทั่วไปในขอบเขตจุติสรวงจะเทียบเคียง!
“นี่คือโองการวิถีเซียนที่ผู้อาวุโสตระกูลข้าทิ้งไว้ มันสามารถฆ่าตัวตนใด ๆ ในขอบเขตจุติสรวงลงได้โดยง่าย ทว่าโชคร้ายที่มันก็รับผลกระทบเสียหายไปในหายนะสิ้นกฎเกณฑ์เช่นกัน”
ฝูตงหลีเสียดายเล็กน้อย “ทว่า มันก็น่าจะเพียงพอจัดการคู่ต่อสู้เช่นเจ้าได้แล้วล่ะ”
ขณะเขาพูด ยันต์สีทองก็เจิดแสงจรัสจ้า ร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งโลดทะยาน สวมอาภรณ์คาดผ้าหยก แสงเซียนโปรยปรายเยี่ยงน้ำตก
ทั่วฟ้าดินสั่นสะท้านสนั่นโคลงราวมิอาจรับอำนาจร่างสูงใหญ่นี้ได้
บรรพตลำธารทั่วทศทิศถล่มล่ม
ร่างนี้หาใช่ตัวตนในขอบเขตจุติสรวงไม่ แต่เป็นเจตจำนงซึ่งเซียนที่แท้จริงทิ้งไว้!
ซ้ำ นี่ยังเป็นสภาพหลังรับหายนะสิ้นกฎเกณฑ์จนเสียหาย ไม่อาจคาดได้เลยว่าเจตจำนงเซียนอันสมบูรณ์พร้อมจะร้ายกาจเพียงไร
ยามนี้ หัวใจของซูอี้สัมผัสถึงวิกฤติร้ายแรง เขาจึงใช้ลูกกลอนดาบโดยไร้ลังเล!
ลูกกลอนดาบนี้มีขนาดราวไข่นกพิราบ เปี่ยมอำนาจดาบอันเพียงพอเขย่าโลกหล้า เป็นวัตถุคุ้มกายที่เซียนดาบชิงซื่อมอบให้เขา กล่าวได้ว่าเป็นอาวุธสังหารชั้นเยี่ยม!
ตู้ม!
ลูกกลอนดาบแหลกสลาย ภาวะดาบโผนทะยานฟาดฟันเข้าใส่ร่างเจตจำนงเซียน
แทบจะในยามเดียวกัน ร่างเซียนนั้นก็ออกหมัดโจมตี
สุญญะ ณ ขณะนั้นดูราวถูกสะบั้นขาด เสียงปะทะกัมปนาทชวนใจสั่น ส่งฟ้าดินสะเทือนโคลงเคลงร้ายแรง แสงทิพย์และปราณดาบจ้าจรัสเกินใดเทียบพลุ่งพล่านบ้าคลั่ง
เมื่อฝุ่นควันสลาย ทั้งภาวะดาบและแสงเซียนก็สลายหาย
“อำนาจวิถีดาบจากยอดราชันย์จุติสรวง!”
สีหน้าของฝูตงหลีมืดหมอง
เขาจำได้ว่ามีคำร่ำลือ บอกว่าในศึกวัดสรรพสุญตา มีขุมอำนาจไร้ใดเทียบผู้หนึ่งหนุนหลังซูอี้อยู่ในวัดสรรพสุญตาด้วย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นวิญญาณอาสัญผู้แข็งแกร่งเทียบเท่าขอบเขตจุติมงคล!
และวิญญาณอาสัญเช่นนี้กลั่นอำนาจที่มาแห่งวิถีดาบสร้างเป็นลูกกลอนดาบนี่ อำนาจของมันจึงย่อมเหนือจินตนาการคาดหยั่ง
หากโองการวิถีเซียนไม่ได้เสียหายจากหายนะสิ้นกฎเกณฑ์ เขาย่อมสามารถบดขยี้อีกฝ่ายลงได้โดยง่าย
มันถูกทำลายลง!
สิ่งนี้ทำให้ฝูตงหลีรวดร้าวเล็กน้อย
เพราะถึงอย่างไร กาลเวลาก็เปลี่ยนผ่านแสนนาน แม้เขาจะเป็นทายาทแห่งเซียน ทว่าทุกวันนี้เขาก็หาต่างจากผู้ถูกโลกหล้าทอดทิ้งไม่ มิอาจได้รับความช่วยเหลือใด ๆ จากตระกูลเซียนของเขาเลย
“เสียดายลูกกลอนดาบนี่จัง”
ซูอี้มิชอบใจเล็กน้อยเช่นกัน อาวุธสังหารเลอเลิศเช่นนี้ต้องมาสิ้นเปลืองไป ช่างมิคุ้มค่าเอาเสียเลย
เขาใช้เก้าดาบบินทะยานเข้าโจมตีฝูตงหลีโดยไร้ลังเล
“เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าข้ามีปัญญาแค่นี้? ไป!”
ฝูตงหลีแค่นเสียงเย็นชา สะบัดแขนเสื้อโบกพลิ้ว
ตะเกียงทองแดงขึ้นสนิมดวงหนึ่งทะยานสู่เวหา
ตะเกียงทองแดงนี้อาบไล้ด้วยเพลิงเซียนแผดเผาทั่วสุญญะ ฟ้าดินพร่างพรายทอแสงราวตะวันจรัสฟ้าท่ามกลางราตรีมืดมิด
ตะเกียงสยบฝันร้ายแปรเซียน!
นี่ก็เป็นสมบัติเซียนอันเลิศล้ำอีกชิ้น
ซูอี้ไร้วาจาไปชั่วขณะ
พวกทายาทแห่งเซียนรวยกันมากหรือไร!?
เทียบกันแล้ว วิญญาณอาสัญขอบเขตจุติสรวงเหล่านั้น มองอย่างไรก็ผียาจกแท้ ๆ…
“เปิด!”
ซูอี้เองก็ไร้ปรานี ใช้เม็ดประคำซึ่งดาบพุทธะสรรพสุญตาให้มา มิสนใจสิ่งอื่นใด
ตู้ม!
ท้องนภาแหลกมลาย ภาวะดาบอันเปี่ยมแสงพุทธธรรมคำรามทะยาน
ท้ายที่สุด ภาวะดาบนั้นก็สลายไป
ทว่าตะเกียงทองแดงขึ้นสนิมก็ขาดสะบั้นดังเปรี้ยงด้วยเช่นกัน
ขณะเดียวกัน ทั้งซูอี้และฝูตงต่างรู้สึกรวดร้าวในใจ
“ยังมีสมบัติอันใด ใช้ออกมาให้หมด!”
ซูอี้ฟาดฟันบ้าคลั่ง เก้าดาบบินกู่คำราม
“คิดว่าข้าจะยอมหรือ? เหอะ!”
ฝูตงหลีเดือดดาล นำจี้หยกห้อยเอวของเขาออกมาขว้างอย่างดุเดือด
ตู้ม!
จี้หยกร้าวแปรเปลี่ยนเป็นมังกรยักษ์เก้าตน แต่ละตนล้วนอาบไล้ด้วยแสงเซียน อำนาจแข็งแกร่งเกินจินตนาการ
นี่คือจี้หยกเก้ามังกรวิญญาณเซียนซึ่งเดิมเป็นสมบัติคุ้มกายของฝูตงหลี ล้ำค่าเสียยิ่งกว่าตะเกียงสยบฝันร้ายแปรเซียนและโองการวิถีเซียนเสียอีก
ทว่ายามนี้เขาไม่อาจมัวลังเล ต้องการสังหารซูอี้ให้สิ้นซาก!
เสียงระเบิดสนั่นลั่นเรียงหนาหู
เก้ามังกรลวงตาทะยานออก เก้าดาบบินของซูอี้ฟาดฟันระเบิดแหลกเป็นจุณ ไม่อาจทานพลังได้แม้แต่น้อย
ซูอี้ยกมือขึ้นใช้ดาบไม้ไผ่เก้าชุ่นเล่มบาง
ดาบยันต์นี้คือแขนงเหมันต์แพรกสานซึ่งปราชญ์หงอวิ๋นมอบให้เขา!
กาลก่อนที่เมืองหมื่นหลิว ซูอี้ใช้ดาบนี้หยุดการโจมตีสตรีในชุดกระโปรงสีทับทิม
ฉับ!
แสงเขียวครามวูบไหว ดาบไม้ไผ่เก้าชุ่นเหินสู่เวหา ฟาดฟันเก้าหนบนอากาศ
เก้ามังกรลวงตาแสนทรงพลัง ทว่าหนนี้ ร่างของพวกมันล้วนชะงักค้างและระเบิดสลายไป
ดาบไม้ไผ่เขียวเองก็หม่นรัศมีราวสิ้นอำนาจ แปรเปลี่ยนเป็นเถ้าถ่านไป
ในที่สุดฝูตงหลีก็เปลี่ยนสีหน้า กล่าวขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ “ดาบยันต์แขนงเหมันต์แพรกสานสร้างด้วย ‘เคล็ดวิชาวิถีเซียน’ ของท่านเซียนหงอวิ๋น? เจ้ามีสมบัติเช่นนี้ได้เยี่ยงไร?”
ซูอี้กำหมัดชกเข้ามา
ฝูตงหลีไร้จังหวะให้หลบ เขาทำได้เพียงต้องตั้งรับตรง ๆ ใช้ร่มสีดำในมือซ้ายขวางไว้ตรงหน้าทันที
เปรี้ยง!!!
ใบร่มอันฉาบด้วยแสงเซียนสีดำขวางหมัดของซูอี้ไว้ทันที
ทว่าด้วยอำนาจวัฏสงสารแผ่ออก ร่างของฝูตงหลีก็ถูกผลักกระเด็น เกิดเสียงโอดอย่างเจ็บปวดหลุดลอด
แม้พลังแห่งวัฏสงสารจะทำเพียงสัมผัสถูก แต่มันก็ทำให้ร่างวิญญาณของเขาแสบร้อนเยี่ยงเพลิงผลาญ
“ทายาทแห่งเซียนเช่นเจ้าทรงพลังเพียงไร ที่แท้ก็แค่นั้น!”
ซูอี้กล่าวด้วยสายตาดูแคลน หมัดชกออกไปขณะพูด
เปรี้ยง!!
ฝูตงหลีถูกชกกระเด็นไปอีกหน ร่างปั่นป่วนรวนเร ใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
โดยเฉพาะมือซ้ายซึ่งถือร่มของเขาถูกอำนาจวัฏสงสารกัดกร่อนจนเกรียมดำราวถูกเพลิงแผดเผา
และก่อนที่เขาจะทันได้ตั้งหลัก ซูอี้ก็ชกออกมาอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ ด้วยต้องเสียสามอาวุธสังหาร ลูกกลอนดาบ ลูกประคำและดาบยันต์ ทำให้ซูอี้แสนปวดร้าว ดังนั้นยามนี้เขาหรือจะปล่อยคนผู้นี้ไปง่าย ๆ?
เปรี้ยง!
ชั่วขณะนั้น ซูอี้รัวหมัดเยี่ยงสายฝนเข้าใส่ฝูตงหลี เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดดังก้องทั่วนภายามราตรี
หนแล้วหนเล่า!