บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 133 คฤหาสน์ดื่มเหมันต์
เหวินหลิงเสวี่ยถอยกลับ ขณะที่กลุ่มคนมุงรอบลานฝึกฝนสลายตัว
“หลิงเสวี่ย เจ้าช่างแข็งแกร่งนัก นับตั้งแต่เข้าร่วมเป็นศิษย์สายใน ตัวเจ้าก็อยู่ที่ขั้นสี่ขัดเกลากระดูกแล้ว เรื่องนี้เป็นผลให้พวกเราศิษย์พี่ทั้งหลายแทบไม่อาจเงยหน้า”
สตรีร่างเพรียวบางเผยยิ้ม นางเดินเคียงข้างมากับเหวินหลิงเสวี่ย
รูปลักษณ์ของนางงดงามและสูงศักดิ์ กระนั้นหากเทียบกับเหวินหลิงเสวี่ย ก็ยังถือว่ามีส่วนด้อยกว่า
เหวินหลิงเสวี่ยยิ้มบางตอบรับ “ศิษย์พี่หญิงเมิ่งหลู่กล่าวผิดแล้ว”
ใจนางเกิดครุ่นคิด ถึงความอัศจรรย์ของเคล็ดวิชาที่พี่เขยสอนให้ หากไม่อาจกลายเป็นศิษย์สายในได้โดยเร็ว เช่นนั้นนางจะเอาหน้าที่ใดไปพบพี่เขยในภายหน้า?
“ศิษย์น้องหญิงทั้งสอง คิดไปผ่อนคลายที่คฤหาสน์ดื่มเหมันต์หน่อยหรือไม่?”
ระหว่างทาง เด็กหนุ่มหล่อเหลาเผยยิ้มที่มุมปาก กล่าวคำเชื้อเชิญ ด้วยรอยยิ้มอันสุภาพ
สายตาของสตรีร่างเพรียวบางนามเมิ่งหลู่เป็นประกาย ถ้อยคำกล่าวตอบตื่นเต้น “หลิงเสวี่ย ไปด้วยกันแล้ว คฤหาสน์ดื่มเหมันต์ถือเป็นสถานที่ชั้นหนึ่งในมหานครอวิ๋นเหอ กล่าวกันว่ามีเพียงผู้สูงศักดิ์ยิ่งใหญ่จึงครอบครองคุณสมบัติได้เข้าออก”
นางเผยสายตาคาดหวัง
“เรื่องนี้…” เหวินหลิงเสวี่ยลังเล นางมีแผนคิดจะกลับไปฝึกฝนต่อ
“ไปด้วยกันเถอะ ไปกับข้า” เมิ่งหลู่คว้าแขนเหวินหลิงเสวี่ยเอาไว้อย่างซุกซน
เด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาเผยยิ้มบาง “ศิษย์น้องหลิงเสวี่ย ครั้งนี้ไม่ใช่มีเพียงพวกเราสามคน แต่ยังมีศิษย์พี่หญิงและศิษย์พี่ชายคนอื่น มองว่าเป็นการพบปะกับพวกเราก็แล้วกัน”
“ทราบแล้ว”
เหวินหลิงเสวี่ยนึกคิดว่าสหายทั้งหลายอยู่ใกล้เคียง เรื่องราวยากปฏิเสธ ดังนั้นจึงตกลง
เด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาผ่อนลมหายใจโล่งอก กระทั่งเผยยิ้มรับ
“ชิ สมกับที่เป็นนายน้อยคนโตแห่งตระกูลเหยียน ถึงขั้นเชื้อเชิญศิษย์พี่หญิงหลิงเสวี่ยได้”
จากที่ไกลห่าง เถียนเหยาถอนหายใจยามพบเห็นเรื่องราว
พบเห็นซูอี้เงียบงัน นางจึงคิดว่าเขาไม่ทราบตัวตนของเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาตรงหน้า เถียนเหยาจึงเร่งรีบกล่าวบอก
“เหยียนอวี่เฟิง บุตรชายคนโตแห่งผู้นำตระกูลเหยียน เป็นศิษย์รุ่นเยาว์พรสวรรค์อันดับห้าแห่งศิษย์สาย ขอบเขตโคจรโลหิตขั้นสมบูรณ์แบบ กล่าวกันว่าบิดาได้ปูเส้นทางเอาไว้ให้แล้ว อีกสักราวครึ่งปี กองกำลังเกล็ดแดงจะรับตัวเข้าฝึกฝน…”
ระหว่างพูดกล่าว เถียนเหยาชะงักงันจนเอ่ยถามอย่างเกิดประหลาดใจ “เหตุใดศิษย์พี่หญิงหลิงเสวี่ยจึงมองมาทางนี้?”
ที่ไกลห่าง ดวงตางดงามของเหวินหลิงเสวี่ยทอประกาย นางแสดงซึ่งอาการประหลาดใจอันเด่นชัดผ่านใบหน้างดงาม
กระทั่งแทบจะวิ่งเชื่องช้ามายังทางด้านนี้
เมิ่งหลู่และเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาชะงักงัน นี่คือเรื่องราวใด?
“พี่เขย! เหตุใดท่านมาที่นี่แล้ว?”
เด็กสาวผู้มีทรงผมซาลาเปา รับกับเรือนร่างอันงดงาม เผยเสียงกระจ่างหวานหยด พร้อมดวงตาอันงดงามที่ไม่อาจปิดกั้นอาการยินดี
ซูอี้ยิ้มรับ “ไม่เป็นที่ต้อนรับหรือ?”
เด็กสาวเผยยิ้มอันกระจ่าง ประหนึ่งดอกไม้แรกแย้มหลังสายฝนผ่านพ้น “ข้าไม่กล้า เหตุใดไม่บอกไว้ก่อน ข้าเกือบนึกว่าจดจำผู้อื่นผิดเป็นท่านแล้ว”
ซูอี้ชะงักไป ก่อนจะยกมือขึ้นลูบศีรษะเด็กสาว “ไม่จำคนผิดก็ดีแล้ว”
“เจ้า…เจ้าคือพี่เขยของศิษย์พี่หญิงหลิงเสวี่ยงั้นหรือ?”
ยามได้เห็นสัมพันธ์ใกล้ชิดของคนทั้งสอง ดวงตาเถียนเหยาเบิกกว้างพร้อมปรากฏความสับสน
นัยน์ตาของเด็กหนุ่มรูปงามไกลห่างหรี่ลงคมประกาย ราวกับพบเจอศัตรูที่เหนือความคาดหมาย
นับตั้งแต่เหวินหลิงเสวี่ยเข้าร่วมสำนักดาบชิงเหอ เขาไม่เคยได้เห็นนางมีท่าทีเช่นนี้มาก่อน
ท่าทีประหลาดใจ รวมถึงความยินดีที่แสดงให้เห็น พร้อมความสุกสว่างกระจ่างในดวงตายามมองไปยังซูอี้ ทั้งหมดนี้ล้วนไม่เคยเผยให้บุรุษผู้ใดพบเห็นมาก่อน
เหวินหลิงเสวี่ยมองยังเถียนเหยาด้วยดวงตาอันงดงาม ถ้อยคำถามราวสงสัย “พี่เขย ท่านมาที่นี่กับศิษย์น้องเถียนเหยาหรือ?”
ซูอี้แก้ไขเรื่องราวให้ถูกต้อง “เป็นศิษย์น้องผู้นี้จิตใจดีและกว้างขวาง ช่วยนำทางข้าตั้งแต่แรกพบ หากไม่แล้วเกรงว่าคงหาที่นี่ไม่เจอเป็นแน่”
เถียนเหยาอดไม่ได้ที่จะกลอกตา “เหตุใดอธิบายเสียกระจ่าง กังวลว่าหลิงเสวี่ยจะเข้าใจอะไรผิดไปหรือ? อีกทั้งท่านคือพี่เขยของศิษย์พี่หลิงเสวี่ย หวังว่าคงไม่ได้คิดอะไรเช่นเดรัจฉานกระทำ!”
เหวินหลิงเสวี่ยเกิดหน้าแดง ขนตาของนางสั่นเบาพร้อมกล่าวคำออก “ศิษย์น้องหญิงเถียนเหยา อย่าได้กล่าววาจาไร้สาระ”
ซูอี้ยังคงสงบ ใบหน้าไม่เผยร่องรอยใดปรากฏ พร้อมกล่าวถ้อยคำ “เด็กน้อยเช่นเจ้าจะทราบสิ่งใด แต่ก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่ธุระอะไรของเจ้าแล้ว ไปกัน”
เถียนเหยาเกิดดื้อรั้นเงยหน้าขึ้นกล่าววาจารุนแรง “ท่านมันโหดเหี้ยม ข้าที่ตกหลุมรักท่านตั้งแต่แรกเห็น แต่กลับขับไล่ไสส่งข้า ขอบอกที่ตรงนี้ ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น!”
เหวินหลิงเสวี่ยชะงักไป ก่อนจะถามอย่างประหลาดใจ “ชอบพี่เขยของข้างั้นหรือ?”
เถียนเหยาพยักหน้ารับ พร้อมกล่าวคำแน่วแน่ “ไม่คิดหรือว่าเขานั้นดูดี? ข้าจึงชอบบุรุษเช่นนี้”
เหวินหลิงเสวี่ยสะอึกคำ ราวไม่ทราบว่าควรกล่าวคำใดไปครู่
นางไม่เคยนึกคิด ว่าเถียนเหยาจะมีความหาญกล้ากล่าวออกมาโดยตรง ไม่ใช่สตรีควรสงวนท่าทีไว้หรอกหรือ?
“หลิงเสวี่ย ไม่เห็นเคยกล่าวบอก ว่าซูอี้คือพี่เขยเจ้า”
ไม่ไกลออกไป เมิ่งหลู่ก้าวเดินเข้ามา ความใกล้ชิดระหว่างเหวินหลิงเสวี่ยและซูอี้ มันทำนางเกิดรู้สึกสนใจ และยังรู้สึกเหมือนประหนึ่งคนนอก ดังนั้นจึงเข้ามาร่วมวงสนทนา
สายตาของนางมองยังซูอี้พร้อมกล่าวคำ “ซูอี้ เจ้าคือผู้โดนขับไล่จากสำนักดาบชิงเหอเมื่อปีก่อน เหตุใดตอนนี้จึงกลับมาอีกเล่า? ไม่หวาดเกรงจะถูกผู้อื่นในสำนักเมื่อกาลนั้นกลั่นแกล้งอีกหรือไร?”
ถ้อยคำเหล่านี้ค่อนข้างประชดประชันอย่างคลุมเครือ
ด้วยฐานะศิษย์สายในแห่งสำนักดาบชิงเหอ มีหรือนางไม่รู้จักซูอี้ กระทั่งได้ทราบเรื่องราวมากมายที่ซูอี้เคยถูกกลั่นแกล้งรังแก
“ศิษย์พี่หญิงเมิ่งหลู่ เหตุใดท่านกล่าวเช่นนี้?”
เหวินหลิงเสวี่ยขมวดคิ้ว แสดงถึงความไม่ยินดี
“ก็ได้ ก็ได้ ข้าไม่กล่าวแล้ว”
เมิ่งหลู่เร่งรีบขออภัย
“ศิษย์น้องซูอี้ ไม่พบกันนาน”
ขณะนี้เอง เด็กหนุ่มรูปงามเหยียนอวี่เฟิงก้าวเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม
ซูอี้พยักหน้ารับเล็กน้อย
เขาตระหนักตัวตนอีกฝ่ายได้ ครั้งยังเป็นศิษย์สายนอกแห่งสำนักดาบชิงเหอ อีกฝ่ายคือผู้มีอิทธิพลแห่งศิษย์สายใน
กระนั้น ระหว่างพวกเขาก็ไม่เคยพบเจอใดต่อกันมาก่อน
“ศิษย์น้องซูอี้ พวกเราคิดไปยังคฤหาสน์ดื่มเหมันต์เพื่อสังสรรค์ สนใจร่วมทางด้วยหรือไม่?”
เหยียนอวี่เฟิงเผยยิ้มกล่าวคำเชิญ
เขาย่อมเล็งเห็น ว่าหากไม่เชิญซูอี้ เช่นนั้นเหวินหลิงเสวี่ยก็จะไม่ร่วมทาง
กระนั้นเหวินหลิงเสวี่ยกลับเกิดลำบากใจขึ้น
นางทราบถึงความนึกคิดของสหายร่วมสำนักเหล่านี้ หากไม่ใช่ทายาทตระกูลที่โดดเด่น ก็เป็นบุตรของผู้มีบรรดาศักดิ์สูงส่งจนดวงตาอยู่เหนือศีรษะ
พวกเขาเหล่านี้ไม่เคยแสดงความจริงใจใด เว้นแต่จะเป็นตัวตนที่ระดับทัดเทียม
“ก็ได้”
ซูอี้พยักหน้ารับ วันนี้เขามาเพื่อพบเหวินหลิงเสวี่ย ไปที่ใดล้วนไม่ใช่เรื่องสำคัญ
เหวินหลิงเสวี่ยชะงักงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับยิ้มกล่าว “เช่นนั้นพวกเราจะไปด้วยกัน”
นางมีข้อสงสัยในใจหลากหลาย เช่นว่าเหตุใดพี่เขยจึงมายังมหานครอวิ๋นเหอ? และตอนนี้ฟื้นคืนการบ่มเพาะได้สำเร็จแล้วหรือไม่?
ไม่แปลกหากนางเกิดสงสัย ตั้งแต่นางเดินทางจากเมืองกว่างหลิง ก็ไม่เคยได้รับข่าวคราวใดจากซูอี้อีกเลย
ไม่แม้กระทั่งทราบ เรื่องที่ซูอี้ได้รับอันดับหนึ่งในงานประลองประตูมังกร
“ข้าไปด้วยได้หรือไม่?” เถียนเหยาเอ่ยคำถามขึ้นมา
“แน่นอน” เหยียนอวี่เฟิงยิ้มรับคำ
ไม่ช้าทั้งกลุ่มจึงเดินทางออกจากสำนักดาบชิงเหอ
ระหว่างทาง เพราะตัวตนของเหวินหลิงเสวี่ย จึงกลายเป็นดึงดูดความสนใจมาไม่น้อย
ระหว่างทาง เมิ่งหลู่และเหยียนอวี่เฟิงต่างลอบมองยังซูอี้ สำรวจโดยไม่ให้ผิดสังเกต
นับเป็นที่น่าเสียดาย บรรยากาศอันราบเรียบและเฉยชา มันทำให้พวกเขาไม่ได้รับเบาะแสใด จนกระทั่งคร้านจะให้ความสนใจต่อ
อีกฝ่ายคือคนพิการสูญเสียการบ่มเพาะทั้งหมดไป ขณะนี้ไม่ใช่คนโลกเดียวกันกับพวกตน หากไม่ใช่เพราะเหวินหลิเสวี่ย เกรงว่าคงไม่ปรารถนาแม้เอ่ยครึ่งคำกับซูอี้
ผู้คนมากมายต่างรอคอยที่ด้านนอกสำนักดาบชิงเหอ
ยามพบเห็นเหยียนอวี่เฟิงและเหวินหลิงเสวี่ยปรากฏตัว พวกเขาต่างยิ้มแย้มพร้อมใจกันทักทาย
ซูอี้เพียงมองสำรวจ พบว่าส่วนใหญ่รู้จักกันอยู่ก่อนแล้ว ล้วนเป็นทายาทตระกูลทั้งหลายที่ฝึกฝนในสำนักดาบชิงเหอ
ยามเมื่อคนเหล่านี้ตระหนักถึงตัวตนซูอี้ พวกเขาชะงักงันไป กระนั้นก็ได้ทราบว่าอีกฝ่ายเป็นพี่เขยของเหวินหลิงเสวี่ย จึงพอเข้าใจได้โดยคร่าว
แต่ยามที่หนึ่งในกลุ่มคนพบเห็นซูอี้ พลันเกิดสีหน้าแข็งค้าง พร้อมความไม่สบายใจขึ้น
อีกฝ่ายคือเฉินจินหลง
ครั้งแรกพบซูอี้กินดื่มที่ภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ เฉินจินหลงนำกลุ่มคนเข้าหาเรื่อง ทว่าถูกสะกดกลับคืน กระทั่งคุกเข่าแทบร้องขอชีวิต
ยามนี้พบเจอซูอี้อีกครั้ง มีหรือเขาจะไม่ประหลาดใจ?
กระนั้นแล้ว เขาได้ตระหนักว่าซูอี้ไม่แม้แต่จะสนใจตน เฉินจินหลงจึงถอนหายใจโล่งอก กระทั่งสบถต่อตนเองในใจ เหตุใดเหยียนอวี่เฟิงชักชวนดาวมารผู้นี้มา!?
“นายน้อยเหยียน ได้ยินมาว่าคณิกาฉาจิ่นจะมายังคฤหาสน์ดื่มเหมันต์ในวันนี้ ถือเป็นโอกาสอันล้ำค่า ขอเร่งรีบเดินทางกันแล้ว”
คนหนุ่มผู้หนึ่งกล่าวพร้อมหัวเราะคิกคัก
ทันทีเมื่อถ้อยคำเหล่านี้ปรากฏ หลายคนต่างเผยดวงตาเป็นประกาย
ฉาจิ่น?
ซูอี้ครุ่นคิด
…
คฤหาสน์ดื่มเหมันต์
สถานที่อันเลื่องลือในมหานครอวิ๋นเหอที่ทัดเทียมได้กับภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์
มันปกคลุมพื้นที่กว่าสิบไร่ ประกอบด้วยศาลาน้อยใหญ่ ลานมากมายกระจัดกระจาย รวมถึงทะเลสาบ สะพานข้าม มัจฉาในบ่อแหวกว่าย และภาพฉากอื่นอันงดงาม
เมื่อเหยียนอวี่เฟิงและกลุ่มคนมาถึง จึงพบว่าพ่อบ้านวัยกลางคนรออยู่ก่อนแล้ว
“ลุงหวง เหตุใดท่านจึงมารอที่นี่ด้วยตนเองกัน”
พบเห็นชายวัยกลางคน เหยียนอวี่เฟิงก็ชะงักงัน พร้อมเร่งรีบก้าวเข้าไปทักทาย
“นายน้อยเหยียนเป็นสหายของนายน้อยของข้า เช่นนั้นย่อมต้องมาทักทาย”
พ่อบ้านวัยกลางคนพยักหน้ารับด้วยสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน และเมินเฉยต่อผู้อื่นรอบกายเหยียนอวี่เฟิงพร้อมกล่าวคำ “เชิญทางด้านนี้”
ผู้อื่นคล้ายทราบตัวตนของ ‘ลุงหวง’ ผู้นี้ พวกเขาจึงยับยั้งความอหังการของตน พร้อมเดินตามติดไม่ห่าง
ยามเข้าสู่พื้นที่คฤหาสน์ดื่มเหมันต์ ดวงตาหลายคนเกิดทอประกาย
พวกเขาได้เห็นถึงภาพฉากตลอดทางที่ราวกับบรรจงวาดขึ้น ศาลาน้อยใหญ่ ศาลาริมน้ำ สวนหิน รวมถึงสายน้ำไหล เหล่านี้กระจ่างชัด บ่งบอกถึงความสูงศักดิ์และงดงามของสถานที่ทั่วแห่งหน
“นี่หรือคฤหาสน์ดื่มเหมันต์? เป็นครั้งแรกที่ข้ามาเยือน ได้ยินว่าสถานที่แห่งนี้เลิศล้ำ ไม่นึกว่างดงามถึงเพียงนี้”
เหวินหลิงเสวี่ยเดินตามซูอี้อยู่โดยตลอด พลางมองรอบด้านด้วยความสงสัย
ซูอี้กล่าวตอบเฉยชา “ฮวงจุ้ยพอมีฝีมืออยู่บ้าง พอดูงดงาม แต่ยังไม่อาจหลุดพ้นช่างฝีมือทางโลก”
ระหว่างพูดกล่าวกันไป พวกเขาก็ถูกนำทางมาถึงสวนที่มีห้องส่วนตัว หน้าต่างเปิดรับลม ภายนอกมองเห็นแท่นซึ่งถูกยกสูงตกแต่งงดงาม
ชั่วเวลานี้เองที่บทเพลงบรรเลงขึ้น กลุ่มนางรำปรากฏตัวพร้อมขยับกายพลิ้วไหวบนแท่นยกสูง
“ขอเชิญดื่มด่ำกับที่นี่ หากขาดเหลือสิ่งใด เพียงบอกกล่าวเสี่ยวเอ้อ” ลุงหวงกล่าวคำเบา ก่อนจะหันกายจากไป
เหยียนอวี่เฟิงและผู้อื่นต่างหาที่นั่ง ร่วมกินและดื่ม พูดคุยพลางหัวเราะ บรรยากาศเป็นไปอย่างรื่นเริง
อย่างไรแล้วตัวตนเช่นซูอี้ก็ไม่มีผู้ใดสนใจ ยกเว้นเหล่าสตรีเช่นเหวินหลิงเสวี่ย เมิ่งหลู่ และเถียนเหยา
ทว่าซูอี้หาได้ใส่ใจว่าผู้ใดจะสนใจเขาไม่ เพียงดื่มกับตนเอง พลางรับชมเหวินหลิงเสวี่ยพูดคุยไปเรื่อย
ที่นี่มีผู้หนึ่งไม่ใคร่สบายใจเป็นที่สุด นั่นคือเฉินจินหลง
ตัวเขาและซูอี้แทบจะนั่งฟากตรงข้ามต่อกัน และเป็นเขาที่ไม่กล้าแม้มองสบตาซูอี้ ที่ทำได้คือนั่งนิ่งประหนึ่งมีเข็มหมุดตรึงเอาไว้