บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1330: เทศกาลประชุมเซียน
ตอนที่ 1330: เทศกาลประชุมเซียน
………………..
ตอนที่ 1330: เทศกาลประชุมเซียน
เดิมทีซูอี้มองว่าร่มนี้ช่างแข็งแกร่ง จึงให้ความสนใจกับมันเป็นพิเศษ
ทว่าต่อมา เขาก็ค่อย ๆ ค้นพบว่าคุณสมบัติเดียวของร่มนี้คือหลอกสายตากฎสวรรค์และทนทานอย่างยิ่ง
ไร้ประโยชน์อื่น ๆ
สิ่งนี้ทำให้ซูอี้หมดความสนใจอย่างสมบูรณ์
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
ร่มปรกนภาสั่นสะท้าน เพลิงแสงดุเดือดเข้าขวางการโจมตีของซูอี้หนแล้วหนเล่า
และฝูตงหลีซึ่งเร้นกายอยู่ข้างหลังสมบัตินี้ก็ถูกชกกระเด็นเยี่ยงลูกหนัง สภาพสะบักสะบอมน่าเวทนา
เขาทั้งเจ็บแสบเคียดแค้นแทบมอดม้วย สติแทบหลุดลอยระคนบ้าคลั่ง
ในฐานะทายาทแห่งเซียน แม้จะเป็นในโบราณกาลแสนนาน โลกหล้านี้ก็ยังไร้ผู้ใดกล้าลบหลู่เขา
กระทั่งเหล่ายอดคนจุติสรวง เมื่อพบกับเขาก็ยังต้องยกย่องเขาเป็น ‘ท่านเซียน’!
ทว่าเมื่อชั่วกาลแปรเปลี่ยน ตัวตนของเขากลับเหลือเพียงวิญญาณอาสัญ และถูกราชันแห่งภูมิขอบเขตคืนสู่สามัญทุบตีราวกระสอบ น่าอับอายยิ่งนัก!
ทันใดนั้น ฝูตงหลีก็คำรามลั่น “พอแล้ว! เจ้าคนแซ่ซู…”
เปรี้ยง!
เขาถูกชกกระเด็นไปอีกครั้ง แยกเขี้ยวด้วยความเจ็บปวด
แรกเริ่มมา เขามีรูปลักษณ์หล่อเหลา สว่างไสวและสูงส่งเยี่ยงเซียน
ทว่ายามนี้ เส้นผมของเขากระเซอะกระเซิง ใบหน้าบิดเบี้ยว ร่างกระตุกอย่างสาหัส มิหลงเหลือเค้าเดิม
น่าเวทนา
หากทายาทเซียนซึ่งรู้จักเขาในกาลก่อนเห็นเข้า เขาคงกลายเป็นตัวตลกแน่
ฝูตงหลีเค้นเสียงอีกหน “หยุด! ข้ารู้จักท่านเซียนหงอวิ๋น นาง…”
หนึ่งหมัดแหวกนภา ส่งเขาและร่มในมือปลิวไปอีกหน
ฝูตงหลีเดือดดาลจนแทบสิ้นสติ
ในฐานะทายาทเซียนจากตระกูลผู้นำโลกเซียน เขาตกต่ำถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?
ไม่มี!
ขณะเดียวกัน ซูอี้ก็ลอบขมวดคิ้ว
พลังป้องกันของร่มนี้ช่างเหลือเชื่อจริงแท้ ไม่อาจถูกทำลายได้เลย
ทว่าเขาก็หาได้หยุดการกระหน่ำโจมตีไม่
เขาเห็นแล้วว่าฝูตงหลีทนได้อีกไม่นาน!
“เปิด!”
ทันใดนั้น ฝูตงหลีก็คำราม
แสงเซียนอันพร่างพราวสาดประกายออกมาจากอกของเขา
ชั่วขณะนั้น ซูอี้ตกใจจนถอยหลบ
ตู้ม!
แผ่นดินซึ่งซูอี้ยืนอยู่แต่เดิมถูกคว้านเป็นหลุมมหึมาแผ่ไปไกลโพ้น อากาศรอบหลุมรวนเร อำนาจทำลายล้างคุกรุ่น
ซูอี้รู้สึกประหลาดใจเมื่อคิดว่า หากเขาถูกการโจมตีเมื่อครู่เข้า คงมิวายได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นแน่
และยามนี้เองที่ซูอี้ได้เห็นชัดเจนว่าบนอกของฝูตงหลีมีคันฉ่องแปดเหลี่ยมคุ้มกายบานหนึ่ง แสงเซียนสะท้อนเรืองประกาย เพลิงแสงสาดกระเพื่อมชวนตาพร่า
ซูอี้กล่าวขึ้นอย่างระแวง “ทิ้งสมบัติชิ้นนี้ไว้ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
“ฝันไปเถอะ!”
ฝูตงหลีอดหัวเราะอย่างเดือดดาลไม่ได้
ทว่าขณะกำลังหัวเราะ เขาก็กระอักไอจนตัวโยน
เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส และเดิมก็มีร่างเป็นวิญญาณอาสัญ เมื่อถูกพลังแห่งวัฏสงสารโจมตีเข้ามาบ่อยครั้ง ร่างของเขาจึงร่อแร่ราวกับพร้อมจะหายไปสิ้น
ซูอี้แค่นเสียง ก่อนจะเตรียมลงมืออีกหน
ทว่าฝูตงหลีพลันหุบร่มในมือ
เปรี้ยง!
ยามร่มคันนี้หุบลง มันก็ดูดร่างของฝูตงหลีเข้าไปภายใน จากนั้นก็ทะยานแหวกอากาศหนีไปไกลลิบ
ซูอี้พยายามขวางมันอย่างสุดชีวิต ทว่าก็ไม่อาจรับมือร่มคันนั้นได้
ในพริบตา สมบัติประหลาดชิ้นนี้ก็หายไป
ขณะเดียวกัน เสียงของฝูตงหลีก็ดังแว่วมาจากฟ้า
“ซูอี้ เจ้าคอยข้าก่อนเถอะ ภายในครึ่งปี ข้าจะแล่เนื้อเถือหนังเจ้า!”
ทุกวาจาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและเยียบเย็น
ซูอี้ไพล่มือไว้เบื้องหลัง จ้องมองท้องนภาและคีรีแสนไกล
ครู่ต่อมา เขาก็กระซิบ “ก็ต้องระวังตัวไว้จริง ๆ ยามพบหน้าภายหลัง ข้าจะผลาญสมบัติเจ้าให้หมดตัว”
ความแข็งแกร่งของฝูตงหลีผู้นี้ประมาณแล้วเทียบได้กับมู่อวิ๋นอัน
ทว่าคนผู้นี้มีสมบัติมากมายเกินไป ใช้ออกมาติด ๆ กัน ซ้ำอำนาจยังร้ายแรงมิยิ่งหย่อน
สิ่งนี้ทำให้ฝูตงหลีอันตรายอย่างยิ่ง
เหมือนเช่นศึกที่ผ่านมา แม้ซูอี้จะได้เปรียบในช่วงท้าย เขาก็ไม่กล้าหลับหูหลับตาและลงมืออย่างไร้ความปราณี
ซึ่งแท้ที่จริงก็หาผิดไม่
ณ ชั่วกาลสุดท้าย ฝูตงหลีเผยไพ่ตายคันฉ่องคุ้มกายของเขา อำนาจของมันทรงพลังอย่างน่าอัศจรรย์!
“ทายาทเซียนพวกนี้แต่ละคน ร่ำรวยไม่แพ้กันจริง ๆ”
ซูอี้ครุ่นคิดด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
เขาจำเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ฝูตงหลีเรียกปราชญ์หงอวิ๋นว่า ‘ท่านเซียน’ ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่ากระทั่งในหมู่ทายาทแห่งเซียน ปราชญ์หงอวิ๋นนั้นเป็นที่เลื่องลือยิ่ง
และเหตุการณ์ในวันนี้ยังทำให้ซูอี้ตระหนักด้วยว่า โลกหล้าทุกวันนี้เกรงว่าจะมีทายาทแห่งเซียนปรากฏตัวเพิ่มขึ้น!
“โลกหล้านี้ชักครึกครื้นขึ้นทุกครา”
ซูอี้แย้มยิ้มก่อนจะเดินจากไป จากนั้นร่างของเขาก็หายลับสู่รัตติกาลอย่างรวดเร็ว
…
บนเกาะอันปกคลุมด้วยหมอกสีเทาแห่งหนึ่ง
วูบ!
ร่มปรกนภาปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ ก่อนจะกางออกเผยให้เห็นร่างของฝูตงหลี
“นายน้อย เห็นใดท่านจึงเป็นเช่นนี้ขอรับ?”
บ่าวเฒ่าตัวสูงผู้หนึ่งเข้ามาหาฝูตงหลีผู้บาดเจ็บสาหัสอย่างประหลาดใจ
ในโลกนี้ยังมีผู้ใดทำร้ายนายน้อยได้อีกหรือ?
“อย่าพูดถึงมันเลย”
สีหน้าของฝูตงหลีย่ำแย่
เมื่อเขานึกถึงเรื่องราวอันน่าอนาถในศึกคราก่อน ความรู้สึกอับอายเกินพรรณนาก็พลุ่งพล่านในใจ
“กระดูกชะตาของข้า ยังหากันมิเจออีกหรือ?”
ฝูตงหลีถาม
บ่าวเฒ่ากล่าวอย่างรีบร้อนว่า “บ่าวเฒ่าผู้นี้กำลังจะบอกนายน้อยเลยขอรับ เมื่อวันก่อน คนจากหอเซียนดาบมายาส่งข่าวมาจากเขตหวงห้ามเซียนละล่องว่ากระดูกวิถีของนายน้อยถูกขุดออกจากผนึกแล้ว แต่มิสามารถเคลื่อนย้ายออกจากเขตหวงห้ามเซียนละล่องได้เนื่องจากอำนาจของกฎสวรรค์ขอรับ”
ฝูตงหลีกล่าวขึ้นอย่างอารมณ์ดีว่า “เมื่อข้าฟื้นจากอาการบาดแผล เราจะไปเขตหวงห้ามเซียนละล่องกัน ขอเพียงข้าหลอมเป็นหนึ่งกับกระดูกวิถี การฝึกฝนของข้าก็จะฟื้นคืนสู่ขอบเขตรวมวิถี!”
“ถึงยามนั้น…”
เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในใจของฝูตงหลี ทำให้เขาอดกัดฟันพูดมิได้ “ข้าจะฆ่าเจ้าชั่วซูอี้นั่นเสีย!!”
ซูอี้?
บ่าวเฒ่าผงะไปชั่วขณะ ก่อนจะเผยสีหน้าไม่อยากเชื่อ
ร่างเวียนวัฏ ราชันแห่งภูมิในขอบเขตคืนสู่สามัญทำให้นายน้อยบาดเจ็บสาหัสได้หรือ!?
ราวกับจับสังเกตสีหน้าของบ่าวเฒ่าได้ สีหน้าของฝูตงหลีจึงเปลี่ยนเป็นเย็นชา “เรื่องนี้ห้ามแพร่งพราย!”
บ่าวเฒ่ารีบพยักหน้า “นายน้อย หากท่านไปยังเขตหวงห้ามเซียนละล่องครานี้ ท่านใช้โอกาสนี้เข้าร่วม ‘เทศกาลประชุมเซียน’ ได้นะขอรับ”
ฝูตงหลีนิ่งไปเล็กน้อย “นี่มันเทศกาลอันใดกัน?”
บ่าวเฒ่าว่า “เทศกาลนี้ถูกจัดขึ้นโดยท่านเซียน ‘ม่อชิงโฉว’ ทายาทแห่งเซียนผู้เลิศล้ำผู้หนึ่ง ซึ่งได้เชื้อเชิญทายาทแห่งเซียนที่ตื่นจากนิทรา ณ ช่วงนี้เข้าร่วมขอรับ”
“นอกจากนั้น ขุมกำลังเซียนสูงสุดเช่นหอเซียนดาบมายา หุบเขาเซียนหมื่นวิญญาณ พรรคเซียนเร้นราตรีและสำนักเต๋านครชาดก็จะส่งยอดฝีมือมาเข้าประชุมเช่นกันขอรับ”
ฝูตงหลีกล่าวอย่างสนใจขึ้นมาทันที “ม่อชิงโฉว เจ้าอยากทำสิ่งใดกันแน่?”
ม่อชิงโฉวเป็นหนึ่งทายาทเซียนอันมีที่มาสูงส่ง ฐานะยิ่งใหญ่ยิ่งนัก มิเพียงมีตระกูลผู้นำเซียนอยู่เบื้องหลัง แต่อาจารย์ของเขายังเป็นจ้าวครองแดนแห่งหนึ่งในโลกเซียนอีกด้วย!
“จากข่าวที่พอทราบ ภายในครึ่งปี วิญญาณอาสัญในขอบเขตรวมวิถีจะสามารถปรากฏตัวสู่โลกหล้าได้โดยไม่ต้องรับทัณฑ์สวรรค์ขอรับ”
บ่าวเฒ่าพูดรัวเร็ว “ท่านเซียนม่อชิงโฉวจัดเทศกาลนี้ขึ้นเพื่อหารือกับทุกขุมกำลังว่าเราจะเลิศล้ำเหนือโลกาในภายหน้าเช่นไร”
“แน่นอนว่าเรื่องสำคัญกว่านั้นคือปรึกษาเรื่องการจัดการทัศนาจารย์ มีเพียงพลังวัฏสงสารในมือคนผู้นี้ที่สามารถทำลายอำนาจคำสาปนั้นได้ขอรับ”
ฝูตงหลีพยักหน้ากล่าว “หากมีโอกาส ข้าจะไปเยือนสักหน่อยก็ได้ ทว่าสืบเรื่องไว้ก่อนคงดีกว่า”
เขาคือทายาทแห่งเซียนผู้รอดชีวิตจากยุคสิ้นกฎเกณฑ์ จึงรู้ดีกว่าใครว่าเหล่าทายาทเซียนผู้เหลือรอดนั้นมีมากกว่าพวกม่อชิงโฉวนัก!
เหมือนเช่นท่านเซียนหงอวิ๋นซึ่งปรากฏตัวขึ้นแล้ว!
ไม่ว่าอย่างไร สถานการณ์ปัจจุบันก็ยังเรียกได้ว่าโกลาหล ไม่มีผู้ใดยืนยันได้ว่ามีคนในยุคสิ้นกฎเกณฑ์ตายไปจริง ๆ มากเพียงใด และเหลือตัวตนซึ่งลืมตาตื่นหลังหายนะมากน้อยเพียงไหน
ทว่าฝูตงหลีรู้ดีว่าเมื่อกาลเคลื่อนผ่าน หมอกควันจะบางลง และสถานการณ์แห่งโลกหล้าก็จะกระจ่างชัด
บ่าวเฒ่าพยักหน้าพลางกล่าวว่า “นายน้อยกล่าวมีเหตุผล เช่นนั้น บ่าวเฒ่าจะส่งข้อความถึงหอเซียนดาบมายา ขอให้พวกเขาแจ้งข่าวล่าสุดจากเขตหวงห้ามเซียนละล่องให้นะขอรับ”
“ในจักรวาลพร่างดาวนี้หามีเพียงเขตหวงห้ามเซียนละล่องที่เดียวไม่ แต่ยังมีพื้นที่ต้องห้ามอีกมากมายเช่นทะเลมารไร้กำหนดและเขตหวงห้ามดาราหยกอยู่”
ฝูตงหลีขมวดคิ้วครุ่นคิด “พอเถอะ ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ในครึ่งปี ข้าจะทำให้ซูอี้ผู้นั้นตายโดยไร้ที่ฝัง!”
เขาในยามนี้คิดเพียงจะล้างแค้น คร้านเกินกว่าจะใส่ใจเรื่องอื่น
…
สามวันต่อมา
เมืองอันกว้างใหญ่ที่สุดแห่งแคว้นไป๋ เมืองชลาสินธุ
‘โรงหลอมเทวะ’ ซึ่งถือเป็นแดนสวรรค์แห่งการหลอมสมบัติในภูมิดาราเทพนครตั้งอยู่ในเมืองชลาสินธุ
มองจากไกล ๆ เมื่อเขาเห็นเงาใหญ่โตแห่งเมืองชลาสินธุปรากฏขึ้น ซูอี้ก็อดยิ้มด้วยระลึกเรื่องน่าสนใจขึ้นมิได้
นอกประตูโรงหลอมเทวะมีศิลาลึกลับก้อนหนึ่ง
ศิลาประหลาดนั้นหนักเสียยิ่งกว่าบรรพตศักดิ์สิทธิ์ ตลอดกาลนานมา เจ้าของโรงหลอมเทวะ ‘หวังผู’ เคยประกาศไว้ว่าผู้ใดที่ยกศิลาประหลาดนี้ได้ จะสามารถหลอมอาวุธวิเศษชิ้นหนึ่งจากมันได้โดยไร้ค่าใช้จ่าย!
เหตุนี้ก่อความอลหม่าน ทำให้ผู้คนมากมายตาลุก
ทว่ากระทั่งราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดยังไม่อาจทำให้ศิลานี้สั่นคลอนได้!
ทันทีที่เรื่องนี้ถูกประกาศ มันก็ทำให้ภูมิดาราเทพนครเดือดพล่าน กลายเป็นเรื่องน่าสนใจอันเป็นที่ล่วงรู้ทั่วกันในโลกหล้า
เดิมที ทัศนาจารย์เองก็ไปตีดาบแห่งโลกาที่โรงหลอมเทวะเช่นกัน และมีคนมากมายขอให้เขาลองดูว่าจะยกศิลาประหลาดนั้นได้หรือไม่
ทัศนาจารย์นึกสนใจขึ้นมา และตัดสินใจลองดู
ไม่คิดว่าเขาจะสามารถยกศิลาประหลาดที่ไร้ผู้ใดเคลื่อนได้อย่างง่ายดาย
สิ่งนี้ทำให้ทุกคนในเหตุการณ์อุทานอย่างตื่นตะลึง ร้องตะโกนให้เจ้าของโรงหลอมเทวะ ‘หวังผู’ ให้ทัศนาจารย์หลอมสมบัติโดยไร้ค่าใช้จ่าย
หวังผูแย้มยิ้ม กล่าวว่าให้ทัศนาจารย์อ่านข้อความใต้ศิลาประหลาด
เมื่อทัศนาจารย์ยกศิลาประหลาดนั้นขึ้นมา เขาก็พบข้อความเขียนไว้บรรทัดหนึ่ง
‘มีเพียงทัศนาจารย์ที่มินับในเงื่อนไข’
ทัศนาจารย์อดขำไม่ได้
เห็นกันชัด ๆ ว่าเขาคือผู้เดียวในโลกหล้าซึ่งสามารถยกศิลาประหลาดนี้ได้ มีหรือจะสนใจเรื่องนี้?
เหตุนี้ยังกลายเป็นข่าวแพร่กระจายทั่วหล้า ผู้คนกล่าวถึงมันหนาหูอีกด้วย
“ไม่ได้หวนคืนมาเสียนาน ไม่รู้เจ้าเฒ่าหวังผูจะยังอยู่หรือไม่”
ขณะครุ่นคิด ซูอี้ก็เข้าสู่เมืองชลาสินธุ
จนเมื่อเขาเห็นโรงหลอมเทวะอยู่ไกล ๆ ซูอี้ก็อดชะงักมิได้
เขาเห็นว่าประตูโรงหลอมเทวะปิดอยู่ และศิลาประหลาดซึ่งอยู่ข้างประตูตลอดมาหายไปแล้ว
เหลือเพียงชายชุดเทาผู้หนึ่ง ผมเผ้ารุงรัง นั่งไขว้ขาบนบันไดหินข้างประตู หลังพิงกำแพง หน้าซบแขน ดวงตาปิดสนิท
ราวกำลังหลับใหล