บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1331: ตระกูลโจว
ตอนที่ 1331: ตระกูลโจว
ในอดีต โรงหลอมเทวะคึกคักยิ่งนัก
เพื่อหลอมสร้างศาสตราวุธศักดิ์สิทธิ์สักชิ้น ลูกค้ากระเป๋าหนักจากทั่วทุกสารทิศถึงกับต้องเข้าแถวยาวเหยียดอยู่นอกโรงหลอมเทวะ
จุดประสงค์เพียงเพื่อทำการนัดหมายการหลอมศาสตราวุธกับโรงหลอมเทวะล่วงหน้า!
รู้ได้เลยว่าในช่วงที่โรงหลอมเทวะมีความรุ่งเรืองสูงสุดนั้นมีชื่อเสียงเลื่องลือไปไกลถึงเพียงใด
ทว่าตอนนี้ ภายนอกโรงหลอมเทวะกลับเงียบเหงา ไร้คนแวะเวียน
สภาพที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้ทำให้ซูอี้ถึงกับขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาพลันเบนสายตามองไปยังชายหนุ่มในชุดเทาที่กำลังนั่งหลับตาพริ้มฝันหวานคนนั้น
จากนั้นเขาก็เดินไปหาอีกฝ่าย
ผู้ชายวัยกลางคนที่อยู่บนตรอกถนนละแวกใกล้ ๆ รีบตะโกนร้องขึ้นมา “หยุดเดี๋ยวนี้! อยากตายหรืออย่างไร?”
ผู้ชายวัยกลางคนผู้นี้เป็นเพียงแค่คนที่ผ่านทางมาเท่านั้น ทั้งยังมีระดับการฝึกตนปกติธรรมดา
“กล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” ซูอี้รู้สึกงุนงง
สายตาของผู้ชายวัยกลางคนเกิดประกาย จากนั้นจึงยกมือขึ้นมาข้างหนึ่ง นิ้วทั้งห้าถูไถเข้าด้วยกัน
ซูอี้อดรู้สึกขบขันขึ้นมาไม่ได้ จากนั้นจึงยื่นศิลาวิญญาณไปให้ชิ้นหนึ่ง
ผู้ชายวัยกลางคนหัวเราะขึ้นมาด้วยความพึงพอใจ เมื่อเก็บมันเสร็จจึงกล่าว “สหายคงไม่ได้มาเมืองชลาสินธุนานแล้วใช่หรือไม่?”
ซูอี้พยักหน้า
“มิน่าเล่าถึงไม่รู้ธรรมเนียม”
ผู้ชายวัยกลางคนลดเสียงต่ำลง ก่อนจะพูดจาด้วยท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ “เมื่อหนึ่งปีก่อน เกิดเรื่องประหลาดขึ้นในโรงหลอมเทวะ แสงทิพย์เซียนพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ท้องฟ้ายามราตรีถูกส่องสว่าง มีเสียงอันเสนาะเพราะพริ้งดังแว่วไม่ขาด”
“ในวันถัดมา ลูกค้าผู้ลึกลับท่านหนึ่งก็มาถึงโรงหลอมเทวะ บอกว่าต้องการให้ใต้เท้าหวังผูเจ้าของโรงหลอมเทวะหลอมสร้างอาวุธให้”
“และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โรงหลอมเทวะก็ปิดไม่รับแขกอีก จนถึงตอนนี้ก็ไม่เคยรับงานนอกอีกเลย”
พูดจบ ซูอี้กล่าวพลางพินิจตรึกตรอง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรคือต้นเหตุของเหตุการณ์ประหลาดครั้งนั้น?”
“ไม่รู้”
ผู้ชายวัยกลางคนส่ายหน้าพลางกล่าวขึ้นมา “มีคนมากมายพูดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอด แต่ก็เป็นเพียงแค่เรื่องบอกเล่าเท่านั้น ไม่อาจถือเป็นจริงเป็นจังได้”
ซูอี้กล่าว “ถ้าเช่นนั้นเจ้าเคยได้ยินมาบ้างหรือไม่ว่าลูกค้าลึกลับคนนั้นคือใคร?”
ผู้ชายวัยกลางคนถึงกับหัวเราะ ก่อนจะกล่าวว่า “หากว่าข้ารู้ ไหนเลยจะต้องใช้คำว่าลึกลับอีก? ที่จริง จนกระทั่งถึงตอนนี้ ยังไม่มีใครรู้ถึงฐานะของลูกค้าลึกลับคนนั้นเลย”
ซูอี้คิดสักครู่ แล้วจึงกล่าวออกมาว่า “ถ้าเช่นนั้นเมื่อสักครู่นี้เพราะเหตุใดเจ้าจึงยับยั้งข้า?”
ผู้ชายวัยกลางคนไอแห้ง ๆ ทีหนึ่ง จากนั้นยกมือขึ้น นิ้วทั้งห้าสีกัน
ในที่สุดซูอี้ก็เข้าใจแล้วว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนผ่านทางแต่อย่างใด เขาเป็นพวกพ่อค้าเจ้าเล่ห์ชัด ๆ จงใจมาดักรออยู่ใกล้ ๆ โรงหลอมเทวะ และใช้ข้อมูลของตนหาผลประโยชน์จาก ‘คนนอก’ อย่างเขา
ทว่าซูอี้เพียงแค่หัวเราะ ไม่ได้ถือสาเอาความ จากนั้นจึงหยิบศิลาวิญญาณยื่นให้อีกหนึ่งชิ้น
ผู้ชายวัยกลางคนยิ้มหน้าบานในทันใด ไม่รู้ให้ซูอี้ซักถามก็บอกออกมาจนหมดเปลือก แล้วเขาก็กล่าวผ่านกระแสเสียงปราณ “ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ผู้ชายสวมชุดเทาที่นั่งหน้าประตูใหญ่ของโรงหลอมเทวะคนนั้นคอยเฝ้าอยู่ตรงนั้นมาตลอด เขามีกฎอยู่ข้อหนึ่งว่าหากใครกล้าเข้าไปใกล้โรงหลอมเทวะในระยะสามจั้ง จะฆ่าไม่เว้น!”
พูดจบ สายตาของเขาก็มองไปที่พื้นที่ห่างออกไป “ดูสิ ตรงนั้นวาดเขตพรมแดนไว้แล้ว”
ซูอี้ชำเลืองมองตาม จากนั้นเขาก็เห็นรอยแยกทางตรงเส้นเล็ก ๆ เส้นหนึ่งบนพื้นจริง ๆ มันห่างจากประตูใหญ่โรงหลอมเทวะเป็นระยะสามจั้งพอดี ไม่ขาดไม่เกิน
“ตามที่ข้ารู้มา ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา อย่างน้อยมีคนเป็นร้อยต้องตายอย่างอนาถเพราะต้องการจะข้ามเขตพรมแดนนั้น”
“บางคนตายเพราะความไม่รู้ บางคนทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามีกฎเช่นนี้อยู่ก็ยังไม่ใส่ใจ อยากจะลองทดสอบดู ผลปรากฏว่า… สุดท้ายก็ต้องตาย”
ผู้ชายวัยกลางคนพูดจบก็รำพึงขึ้นมาอีก “คนเรานี่นะ ช่างแปลกประหลาดเสียจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าบนเขามีเสือก็ยังจะขึ้นเขาอีก เมื่อสักครู่หากว่าข้าไม่ยับยั้งเจ้าเอาไว้ หัวของเจ้าก็คงต้องย้ายบ้านไปแล้ว!”
คนผู้นี้ทำท่าภาคภูมิใจยิ่งนัก
ซูอี้กล่าว “หรือว่าในช่วงระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครรอดเข้าสู่โรงหลอมเทวะเลยเช่นนั้นหรือ?”
“ไม่มีเลย”
ผู้ชายคนนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจเต็มที่ “เรื่องนี้ทุกคนในเมืองชลาสินธุต่างก็รู้กันทั้งนั้น”
พูดจบ เขาก็เดินตรงไปยังโรงหลอมเทวะ
“อ้าว เจ้าจะทำอะไร? หยุดเดี๋ยวนี้!”
ผู้ชายวัยกลางคนร้องด้วยความตื่นตระหนก
เนื่องจากจู่ ๆ เขาก็แผดเสียงสูง ผู้คนมากมายบนถนนในละแวกใกล้ ๆ จึงส่งสายตามองมา จากนั้นพวกเขาก็เห็นซูอี้ที่กำลังมุ่งหน้าตรงไปที่โรงหลอมเทวะ
“ยังมีคนไม่กลัวตายด้วยหรือ?”
“นี่คงจะเป็นคนที่ต้องการจะหลอมสร้างอาวุธแบบไม่คิดชีวิต”
“จะต้องเป็นคนนอกที่เพิ่งเข้าเมืองมาอย่างแน่นอน!”
…ผู้คนทั้งหลายส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์
ผู้ชายวัยกลางคนเห็นว่าตนยังไม่อาจขัดขวางซูอี้ได้อีก จึงร้องตะโกนขึ้นมาพร้อมด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “เห็นแก่ที่เจ้าจ่ายมา หากว่าเจ้าตาย ข้าจะช่วยเก็บศพเจ้า!”
จนกระทั่งฝีเท้าของเขามาหยุดลงตรงหน้าเขตพรมแดนที่เป็นรอยแยกอยู่บนพื้น ผู้ชายสวมชุดเทาที่นั่งเอนกายอยู่บนบันไดหินหน้าโรงหลอมเทวะพลันลืมตาขึ้นในทันใด
ชั่วขณะนั้น ราวกับมีแสงสว่างเย็นวาบแหวกทะลุอากาศมองไปที่ซูอี้
“เป็นพวกที่เตือนแล้วไม่รู้จักฟังจริง ๆ เจ้ากล้าข้ามล้ำเขตแดนเข้ามา ข้าจะตัดหัวเจ้า”
ผู้ชายสวมชุดเทากล่าวขึ้นมาช้า ๆ
ในขณะที่เขาพูด ซูอี้ก็ก้าวข้ามเขตแดนเส้นนั้นแล้ว โดยไม่เคยลังเลหรือคิดที่จะหยุดเลยแม้แต่น้อย
การกระทำเช่นนี้เปรียบได้กับการท้าทายอย่างแรง ทำให้ประกายสังหารในสายตาผู้ชายที่สวมชุดเทาระเบิดขึ้น
สวบ!
ฝ่ามือของเขาฟาดฟันออกไปประดุจคมมีด
พลังดาบอันสว่างเจิดจ้าแหวกผ่านอากาศ พุ่งตรงไปที่ศีรษะของซูอี้
ทว่าขณะที่มันใกล้ถึงตัวซูอี้ในระยะสามฉื่อ พลังดาบเล่มนั้นก็เคลื่อนต่อไปไม่ได้ จากนั้นมันก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ
ผู้ชายที่สวมชุดเทาลุกพรวดขึ้นในทันใด ชุดพองลม ความขี้เกียจในตัวหายไปในพริบตา พละกำลังเต็มไปด้วยความน่ากลัว
“ท่านคือ…”
ผู้ชายที่สวมชุดเทากำลังจะเปิดปากพูด
ซูอี้เอื้อมมือบิดจากระยะไกล คอของผู้ชายที่สวมชุดเทาก็ถูกบีบแน่น จากนั้นจึงถูกหิ้วขึ้นมาราวกับลูกไก่ตัวน้อย
หน้าของเขาแดงก่ำจนกลายเป็นสีม่วง ในสายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“เพียงแค่สุนัขเฝ้าประตูตัวหนึ่งเท่านั้น บังอาจจนถึงขั้นนี้ ช่างน่าขันเสียจริง ๆ”
ซูอี้หิ้วคอผู้ชายที่สวมชุดเทาคนนี้ เดินมาถึงหน้าประตูใหญ่โรงหลอมเทวะ จากนั้นผลักประตูเข้าไป
เมื่อเขากับผู้ชายที่สวมชุดเทาหายเข้าไปข้างในแล้ว ผู้คนทั้งหลายที่มามุงดูต่างพากันตื่นตระหนก
พวกเขาต่างก็มองผิดไปอย่างไม่ต้องสงสัย วันนี้มีคนเถื่อนมาถึงเมืองชลาสินธุ จัดการกับฝ่ายตรงข้ามได้อย่างสบาย แล้วเดินเข้าไปในโรงหลอมเทวะ!
“นี่ข้า… ข้า… เรียกเก็บเงินจากผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งมีระดับวิถีที่น่ากลัวอย่างนั้นหรือ?”
พอนึกถึงเมื่อสักครู่ที่ตนเองยังปรารถนาดีจะช่วยเก็บศพให้ ผู้ชายวัยกลางคนก็ตกใจกลัวจนฉี่แทบราด
ภายในโรงหลอมเทวะ มีแต่ความเงียบสงบและว่างเปล่า
ซูอี้โยนผู้ชายที่สวมชุดเทานั้นคนลงกับพื้น ก่อนจะกล่าวขึ้น “ข้าถาม เจ้าตอบ หากไม่ให้ความร่วมมือ ข้าจะค้นจิต เข้าใจหรือไม่?”
ผู้ชายที่สวมชุดเทาหายใจหอบ ขณะส่งเสียงร้องด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “ท่านรู้หรือไม่ว่า ข้าทำงานให้ใคร?”
ซูอี้กล่าวน้ำเสียงราบเรียบ “ขืนพูดพล่ามมากกว่านี้อีกแค่คำเดียว อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
ผู้ชายที่สวมชุดเทาตัวแข็งทื่อ เงียบกริบเหมือนกับจักจั่นจำศีล
ซูอี้ถาม “คนของโรงหลอมเทวะอยู่ที่ใด?”
เห็นได้ชัดว่าผู้ชายที่สวมชุดสีเทายอมแพ้อย่างราบคาบแล้ว ก่อนจะกล่าวโดยไม่กล้าที่จะบิดพลิ้วเลยแม้แต่น้อย “อุโมงค์ลับใต้ดิน”
“เหตุใดเจ้าจึงมาเฝ้าอยู่ที่นี่?”
“นายของข้ากำลังทำเรื่องใหญ่ลับสุดยอด ห้ามไม่ให้คนนอกรบกวน”
“นายของเจ้าคือใคร?”
“ ‘โจวเจิ้งฉวี’ ผู้อาวุโสใหญ่แห่งตระกูลโจวซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูลโบราณอารักษ์วิถี!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ผู้ชายที่สวมชุดเทาก็เงยหน้ามองไปที่ซูอี้ ทว่าเขาก็ต้องผิดหวังเมื่อพบว่าชายหนุ่มชุดเขียวคนนี้ยังคงมีสีหน้าราบเรียบดังเดิม ไม่มีอาการหวาดกลัวแม้แต่น้อย
“เพียงแค่เขาคนเดียวเช่นนั้นหรือ?”
ผู้ชายที่สวมชุดเทาก้มหน้าก่อนตอบ “เปล่า ยังมีผู้อาวุโสคนอื่น ๆ อีก”
“พวกเขากำลังวางแผนทำเรื่องอันใด?”
“ไม่รู้”
พูดถึงตรงนี้ ผู้ชายที่สวมชุดเทาก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ แล้วก็พูดขึ้นด้วยเสียงอันสั่นเทา “สิ่งที่รู้ข้าได้พูดไปหมดแล้ว ท่านได้โปรดยั้งมือ ปล่อยข้า…”
ปัง!
ยังพูดไม่ทันจบ ซูอี้ขยับปลายนิ้วน้อย ๆ ร่างของผู้ชายที่สวมชุดเทาคนนั้นก็แตกสลาย
“นับตั้งแต่ชั่วขณะที่เจ้าลงมือต่อสู้กับข้า เจ้าก็ควรต้องตายแล้ว ให้เจ้าได้มีชีวิตต่อเท่านี้ ถือว่าควรจะพึงพอใจได้แล้ว”
ระหว่างที่กล่าวกับตนเอง ซูอี้ก็มุ่งหน้าเดินตรงไป
จากคำบอกกล่าวของผู้ชายที่สวมชุดเทา ทำให้เขาสันนิษฐานได้ว่า ‘ลูกค้าลึกลับ’ ที่ถามมาได้เมื่อก่อนหน้านี้ จะต้องเป็นคนตระกูลโจวจากตระกูลโบราณอารักษ์วิถีอย่างแน่นอน!
ในตระกูลโบราณอารักษ์วิถีทั้งหก ตระกูลโจวมีความเกี่ยวข้องกับวิถีมารอย่างแน่นแฟ้นที่สุด ซึ่งว่ากันว่าบรรพชนของตระกูลนี้คือเทพมารฮุ่นตุ้นที่แท้จริง!
ความเป็นจริงแล้ว ในช่วงเวลาตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน คนตระกูลโจวถือว่าตัวเองเป็น ‘ทายาทมาร’ มาโดยตลอดเช่นกัน
ตระกูลโจวมีที่มาที่ลึกล้ำเกินจะคาดเดา และเป็นหนึ่งในสามอันดับผู้ยิ่งใหญ่ของตระกูลโบราณอารักษ์วิถีทั้งหก
ทว่า เมื่อนานมากแล้ว ทัศนาจารย์รู้สึกรังเกียจและไม่ชอบตระกูลนี้เป็นอย่างมาก
สาเหตุก็เพราะตระกูลโจวชอบวางอำนาจบาตรใหญ่และโหดเหี้ยมทารุณอย่างที่สุด ใครก็ตามที่เป็นศัตรูด้วย พวกเขาจะต้องถูกฆ่าล้างตระกูล
สิ่งที่อำมหิตยิ่งกว่าก็คือคนตระกูลนี้ลงมืออย่างไม่เกรงกลัว ชอบการต่อสู้เป็นชีวิตจิตใจ สร้างเหตุการณ์นองเลือดขึ้นมากมายในจักรวาลพร่างดาว ไม่เคยสนใจสักนิดว่าฆ่าคนบริสุทธิ์เหมือนผักปลา
และก็เป็นเพราะเหตุนี้เช่นกัน เวลาที่เอ่ยกล่าวถึงตระกูลโจวขึ้นมา แต่ละส่วนในจักรวาลพร่างดาวล้วนพากันหน้าเปลี่ยนสี มองพวกเขาเป็นดั่งสัตว์เดรัจฉานที่ดุร้าย
และตอนนี้ กองกำลังของตระกูลโจวกลับแผ่ขยายมาถึงโรงหลอมเทวะตั้งแต่หนึ่งปีก่อน จึงทำให้ซูอี้เกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้นมา
ภายในโรงหลอมเทวะมีอาคารที่ถูกสร้างเรียงราย อาคารเหล่านั้นล้วนเป็นโรงหลอมสร้างอาวุธของโรงหลอมเทวะทั้งสิ้น
ในอดีต สถานที่แห่งนี้มีความคึกคักเป็นอย่างมาก ทุกหนแห่งมีแต่ผู้เป็นศิษย์กับอาจารย์ช่างหลอมอาวุธเดินให้ขวักไขว่ ทั้งยังมีเสียงหลอมและสร้างอาวุธดังขึ้นเป็นพัก ๆ
ทว่าตอนนี้ที่นี่กลับสงบเงียบปราศจากเสียง บรรยากาศอึมครึม บนพื้นยังมีซากศพเกลื่อนกลาด!
ดูจากเสื้อผ้าที่สวมใส่ เห็นได้ชัดว่าศพเหล่านั้นคืออาจารย์ช่างหลอมสร้างอาวุธของโรงหลอมเทวะ ศพเน่าจนเหม็น
เมื่อเห็นสภาพเช่นนี้มันทำให้ซูอี้รู้สึกสลดใจนัก
ตามความคาดหมาย เมื่อหนึ่งปีก่อน โรงหลอมเทวะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นจริง ๆ!
“ใคร?”
ทันใดนั้น เสียงตวาดก็ดังขึ้น
เสียงดังราวกับเสียงฟ้าผ่า
จิตสัมผัสของซูอี้แผ่ขยาย มองเห็นว่าภายในอาคารที่สร้างขึ้นเรียงรายนั้นมีพลังกักขังกลุ่มหนึ่งกำลังพลุ่งพล่าน
เสียงตวาดดังมาจากที่ตรงนั้น
ซูอี้หายตัวในทันใด และมาปรากฏตัวอยู่ในบริเวณนั้น
ค่ายกลกักขังในที่แห่งนี้พลุ่งพล่าน แสงทิพย์ของเซียนราวกับไอหมอกที่แน่นหนาปกคลุมพื้นที่แห่งนั้น ทำให้มองเห็นไม่ชัดเจน
“ค่ายกลกักขังระดับจุติสรวง… หรือว่าเมื่อหนึ่งปีก่อน ข้างกายคนตระกูลโจวมีวิญญาณอาสัญคอยติดตาม?”
ซูอี้เพิ่งคิดได้ถึงตรงนี้ ร่าง ๆ หนึ่งก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางไอหมอกภายในค่ายกล
“เจ้าคือใคร? บังอาจบุกเข้ามาในที่แห่งนี้”
นี่คือผู้เฒ่าร่างผอมเตี้ย ดวงตาเป็นรูปสามเหลี่ยม ผมน้อย มีพลังชั่วสีโลหิตอันเข้มข้นแผ่กระจายออกมาจากรอบตัว
เขาพิจารณามองดูซูอี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตาอันเย็นยะเยือกเช่นนั้นราวกับกำลังคัดเลือกคนเพื่อจับมาดื่มกิน!