บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1332: ความเปลี่ยนแปลง
ตอนที่ 1332: ความเปลี่ยนแปลง
ทว่าเพียงแค่ชั่วครู่เดียว ผู้เฒ่าร่างผอมคนนั้นถึงกับสีหน้าเปลี่ยน
“ทัศนาจารย์!?”
เขาร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นตระหนก
ข้างนอกค่ายกลกักขัง สายตาของซูอี้เย็นเยียบ ขณะกล่าวด้วยหน้าตาเฉยชา “หากไม่อยากตาย จงถอนค่ายกลกักขัง แล้วข้าจะให้โอกาสเจ้าได้อธิบาย”
ไม่ถามถึงสาเหตุ
ไม่มีความหวาดกลัวเมื่อรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามมาจากตระกูลโจวแห่งตระกูลโบราณอารักษ์วิถี
นี่ไม่ใช่ประโยคคำถาม แต่เป็น…
คำสั่ง!
ท่าทีแข็งกร้าวที่แสดงออกมาอย่างไร้รูปลักษณ์เช่นนั้นทำให้ผู้เฒ่าร่างผอมถึงกับต้องหรี่ตาลง
เขาครุ่นคิดสักครู่ ทันใดนั้นก็หัวเราะขึ้นมา ก่อนจะกล่าวว่า “เพียงแค่เอาชนะวิญญาณอาสัญขอบเขตจิตทารกได้เท่านั้น ถึงกับทำให้ทัศนาจารย์ลำพองตนได้ถึงขั้นนี้เลยเชียวหรือ?”
สายตาของเขาเย็นยะเยือก เผยให้เห็นฟันขาวราวกับหิมะ ความเย็นชาฉายชัดบนใบหน้า “เมื่อชาติที่แล้วของเจ้า ก็ยังไม่อาจทำอะไรตระกูลข้าได้ นับประสาอะไรกับตอนนี้?”
เขากล่าวทีละคำช้า ๆ ชัด ๆ “ทัศนาจารย์ ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว เจ้ากลายเป็นศัตรูตัวฉกาจในสายตาของวิญญาณอาสัญทั่วหล้า ตอนนี้มีขุมกำลังมากมายไม่รู้เท่าใดที่มองเจ้าเป็นดั่งหนามในตา อยู่ในสถานการณ์วิกฤตตั้งนานแล้ว ยังจะกล้าเป็นปฏิปักษ์กับเผ่าของพวกเราอีกเช่นนั้นหรือ? ไม่กลัวว่า…”
โครม!
เมื่อซูอี้ชักดาบออกมา ค่ายกลกักขังระดับจุติสรวงนั้นก็ระเบิดแตกในทันใด
เสียงของผู้เฒ่าร่างผอมชะงัก ก่อนที่ร่างของเขาจะถอยร่นไป
ทว่าขณะที่อยู่กลางทางก็ถูกซูอี้ใช้มือขวาบีบรัดต้นคอ สีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด
ซูอี้กล่าวน้ำเสียงราบเรียบ “เมื่อชาติก่อน ข้าคนเดียวกับดาบคู่ใจดักรอที่หน้าประตูของพวกเจ้าเป็นเวลาเจ็ดสิบเก้าวัน สุดท้ายตระกูลโจวของเจ้าก็ขอร้องคนนั้นคนนี้ให้ช่วย สุดท้ายไปขอความช่วยเหลือจากคนของสกุลมู่ตระกูลโบราณ ต้องสูญเสียสมบัติล้ำค่าประจำตระกูลไปถึงเก้าชิ้นกับชีวิตของผู้เฒ่าสามคน จึงได้มาซึ่งการให้อภัยจากข้า”
“เหตุใดตอนนี้จึงกลายเป็นว่าข้าในตอนนั้นไม่อาจทำอะไรตระกูลโจวของพวกเจ้าได้?”
คำพูดเรียบง่ายนั้นกลับทำให้ผู้เฒ่าร่างผอมคนนั้นรู้สึกอับอายและเคียดแค้นอย่างแรง
ในตอนนั้น เรื่องนี้สั่นสะเทือนไปทั่วใต้หล้า ทุกคนต่างก็รู้ เขาจึงไม่อาจโต้เถียงได้
“ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้วอย่างไร? มีศัตรูไปทั่วแล้วอย่างไร?”
ประกายสายตาของซูอี้ลุ่มลึก ขณะกล่าวกับตัวเอง “ข้าจะให้ดาบฟันให้สิ้น”
ปัง!
ในฝ่ามือของเขา ร่างของผู้เฒ่าร่างผอมสลายกลายเป็นผงธุลี
ซูอี้เดินตรงไปข้างหน้าโดยไม่สนใจมอง
ห่างไปไม่ไกลนัก มีปากทางเข้าที่ทะลุไปยังใต้ดิน ซูอี้เดินตรงเข้าไปข้างใน
…
ณ อุโมงค์ลึกลับใต้ดิน
ภายในห้องโถงอันโอ่อ่ายิ่งใหญ่ที่อยู่ใต้ดิน เตาหลอมตัวหนึ่งส่งเสียงดังกึกก้อง ประกายแสงส่องสว่าง
เตาหลอมสูงจั้งเศษ มีสามขาพร้อมด้วยหูสองข้าง ตัวเตาถูกหลอมขึ้นจากโลหะแกร่ง ภายนอกสลักลายภาพโบราณ
ด้านล่างของเตาหลอมมีเพลิงไฟเทวะกำลังลุกไหม้
เพลิงไฟเทวะนั้นมีด้วยกันเก้าสี งดงามและโชติช่วง อากาศโดยรอบบิดม้วนไปตามการเคลื่อนไหวของคลื่นความร้อนที่แผ่กระจายออกมา
คนผู้หนึ่งนั่งห่างจากเตาหลอมไม่ไกลนัก นิ้วทั้งสิบประสานกันเป็นรูปสัญลักษณ์ทำการหลอมอาวุธ
ภายในเตาหลอมสามารถมองเห็นแวบ ๆ ว่ามีแสงสีเงินแวววาวกำลังปะทุและส่ายขยับ ลวดลายลึกลับมหัศจรรย์นับไม่ถ้วนวนเวียนล้อมรอบแสงสีเงินนั้น
คน ๆ นั้นสวมชุดที่ทำจากผ้ากระสอบ รูปร่างผอมบาง เคราใต้คางพลิ้วสะบัด
เวลานี้สีหน้าของเขาเคร่งเครียด บางครั้งเวลาที่ดวงตาทั้งคู่จ้องมองไปที่แสงสีเงินในเตาหลอม แววตาจะผุดประกายร้อนแรงออกมา
‘ไม่เกินครึ่งเดือน ก็สามารถหลอมสร้าง ‘โครงดาบคลื่นดารา’ ได้สำเร็จ!’
ผู้ชายในชุดผ้ากระสอบคิดในใจ
รอบห้องโถงมีซากศพมากมายนอนเกลื่อนกลาด ศพเหล่านั้นล้วนเน่าเละ คราบเลือดที่ติดบนพื้นล้วนแห้งกรังไปนานแล้ว
ทว่าผู้ชายในชุดผ้ากระสอบกลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย
ข้างกายของเขามีวัตถุศักดิ์สิทธิ์วางกองพะเนินเป็นภูเขา ทุก ๆ ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ผู้ชายในชุดผ้ากระสอบก็จะหยิบวัตถุศักดิ์สิทธิ์จำนวนหนึ่งและใส่เข้าไปในเตาหลอม
เวลาส่วนใหญ่ จิตใจของผู้ชายในชุดผ้ากระสอบจะจดจ่ออยู่กับการหลอมศาสตราวุธ
“ใคร?”
ทันใดนั้น ผู้ชายในชุดผ้ากระสอบก็มองไปยังที่ประตูห้องโถงใหญ่พร้อมกับคิ้วที่ขมวดแน่น
แทบจะในขณะเดียวกัน ร่างสูงโปร่งของซูอี้ก็เดินเข้ามายังห้องโถงใหญ่
เขาถือดาบในมือ มองดูผู้ชายในชุดผ้ากระสอบที่นั่งเรียบร้อยอยู่ตรงหน้าเตาหลอม เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะกล่าวขึ้น “แล้วเจ้าล่ะเป็นใคร?”
ผู้ชายในชุดผ้ากระสอบคนนี้ก็คือนายใหญ่แห่งโรงหลอมเทวะ หวังผูนั่นเอง!
ทว่าเพียงแค่มองแวบเดียวซูอี้ก็รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล กลิ่นอายพลังบนตัวหวังผูนั้นช่างแปลกประหลาดเสียเหลือเกิน และยังมีแสงทิพย์ของเซียนปรากฏอยู่รำไร
สายตาของหวังผูพินิจมองซูอี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า ทันใดก็หัวเราะขึ้นมา “โรงหลอมเทวะแห่งนี้เป็นถิ่นของข้า ท่านมาโดยไม่ได้รับเชิญเช่นนี้แล้ว ยังจะมาถามอีกว่าข้าเป็นใคร ดูจะเสียมารยาทเกินไปแล้วกระมัง?”
ซูอี้ไม่ใส่ใจ เขาเบนสายตามองไปยังซากศพที่เกลื่อนกลาดภายในห้องโถง
จากกลิ่นอายที่ยังคงหลงเหลือบนตัวและเสื้อผ้าของซากศพเหล่านั้น เขาสามารถวินิจฉัยได้ในทันใดว่าซากศพเหล่านี้ก็คือผู้อาวุโสของตระกูลโจวนั่นเอง!
หนังตาของซูอี้กระตุก “เจ้าเป็นคนฆ่าคนเหล่านี้เช่นนั้นหรือ?”
หวังผูกล่าวน้ำเสียงราบเรียบ “รู้แล้วยังจะถาม”
“หากว่าเป็นเช่นนี้ แสดงว่าเจ้าก็สิงสถิตอยู่ในร่างของหวังผูกระมัง?”
ซูอี้ร้องอ้อขึ้นมาทีหนึ่ง จากนั้นเบนสายตากลับไปมองที่หวังผูใหม่อีกครั้ง
หวังผูส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะกล่าว “เปล่า หวังผูเป็นฝ่ายให้ข้าสิงสถิตเอง”
“เช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
ซูอี้เลิกคิ้ว
สายตาของหวังผูแสดงความเจ้าเล่ห์ ขณะกล่าวขึ้น “ลองเดาดู?”
ครืน!
เสียงยังคงดังกึกก้อง พอหวังผูสะบัดแขนเสื้อ แสงทิพย์ของเซียนก็ปรากฏขึ้น มันรวมตัวกันกลายเป็นดาบวิถีอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็ฟันออกไป
ซูอี้ขับเคลื่อนดาบแห่งโลกาด้วยเคล็ดเวียนวัฏ
ปัง!
ดาบวิถีที่ประจันหน้าเข้ามาแตกระเบิด
“วัฏสงสาร!?”
สีหน้าของหวังผูเปลี่ยนไป เขาลุกขึ้นยืนพรวด
ร่างของซูอี้ดุจดั่งสายฟ้าแลบ พุ่งตรงไปหาหวังผูและซัดดาบออกไป
โครม!
ท่ามกลางภาวะดาบอันยิ่งใหญ่และคมเฉียบ แสงวัฏสงสารปรากฏ กลบกลืนท้องฟ้าในแถบนั้นจนสิ้น
หวังผูเอื้อมมือหยิบวงแหวนศักดิ์สิทธิ์สีทองเหลืองอร่ามเข้าสู้
วงแหวนศักดิ์สิทธิ์สีทองมีแสงเซียนล้อมรอบ อักขระมหาวิถีลึกลับมากมายปรากฏขึ้น จากนั้นจึงกลายเป็นหลุมดำขนาดใหญ่พร้อมจะดูดกลืนภาวะดาบที่ซูอี้ฟาดฟันเข้าใส่ในขณะที่หมุน
ทว่าเพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น หลุมดำขนาดใหญ่นั้นก็ระเบิดพร้อมกับเสียงดังสั่นสะเทือนไปทั่วฟ้าดิน แม้กระทั่งวงแหวนศักดิ์สิทธิ์สีทองเหลืองอร่ามวงนั้นก็ยังโดนฟันกระเด็น
ปัง!
ร่างของหวังผูสั่นสะเทือนจนกระเด็นออกไป กระแทกโดนผนังกำแพงห้องโถงใหญ่
“ข้ารู้แล้ว เจ้าก็คือทัศนาจารย์ผู้ครอบครองพลังวัฏสงสารคนนั้น!”
หวังผูร้องเสียงแหลม ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
ขณะที่พูด พลังดาบสีเงินที่คล้ายกับดวงดวงนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้น แต่ละพลังดาบล้วนส่องแสงเรืองแรง แสงทิพย์แห่งเซียนไหลวน
เมื่อเขาสะบัดแขนเสื้อ
พลังดาบนับไม่ถ้วนพุ่งโถมไปหาซูอี้ราวกับลูกธนูที่พุ่งออกจากคันธนู
ซูอี้ตวัดดาบ ก่อนที่มันจะกลายเป็นม่านดาบวัฏสงสารชั้นแล้วชั้นเล่า ราวกับมีโลกวัฏสงสารหกวิถีซ้อนทับหลายชั้นขวางอยู่ตรงหน้า
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงกระทบกระทั่งดังขึ้นติด ๆ กิน
สิ่งที่ทำให้ซูอี้รู้สึกตกใจยิ่งนักก็คือ ม่านดาบชั้นแล้วชั้นเล่าแตกสลาย และร่างของเขาก็ยังโดนแรงกระแทกซึ่งมีอานุภาพน่ากลัวอย่างที่สุดอีกด้วย จนจำเป็นต้องร่นถอย
ถอยไปจนถึงประตูห้องโถงใหญ่!
เลือดลมทั่วร่างพลุ่งพล่านขึ้น รู้สึกอึดอัดจนแทบจะกระอักเลือด
ซูอี้ถึงกับหน้าเปลี่ยนสี
วิถีเต๋าของคนผู้นี้ ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย!
ตามที่รู้กันว่าด้วยวิถีเต๋าของผู้แข็งแกร่งขอบเขตจิตทารกขั้นต้น ภายใต้สถานการณ์ที่มีการขับเคลื่อนกฎเกณฑ์วัฏสงสาร มันย่อมเพียงพอที่จะสังหารนักดาบเยี่ยมยุทธ์อย่างมู่อวิ๋นอันได้อย่างง่ายดาย
ทว่าเวลานี้ เขากลับถูกแรงจู่โจมของฝ่ายตรงข้ามซัดจนต้องถอยร่น
ทว่ายังดีที่พลังแห่งวัฏสงสารสามารถสยบอีกฝ่ายได้ สุดท้ายจึงคลาดแคล้วจากการจู่โจมทั้งหมดทั้งมวลของอีกฝ่ายได้!
“สหายเต๋า พวกเราทั้งสองไม่ได้มีความแค้นอันใดต่อกัน หยุดรามือเพียงเท่านี้ เจ้าคิดอย่างไร?”
ในห้องโถง หวังผูเอ่ยขึ้น “เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจ เจ้าต้องการรู้เรื่องอันใด ข้าจะบอกให้เจ้าฟังทั้งหมด”
ซูอี้กล่าว “ได้ หากว่าเจ้าออกจากร่างของหวังผู ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะพูดคุยกับเจ้า”
หวังผูนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวขึ้น “เมื่อสักครู่ข้าได้บอกไปแล้ว เขาเป็นฝ่ายให้ข้าสิงเอง”
ครั้งนี้ไม่ต้องรอให้ซูอี้ถาม เขาก็เอ่ยถึงสาเหตุของเรื่องนี้ “เมื่อหนึ่งปีก่อน คนของตระกูลโจวบุกเข้ามายังโรงหลอมเทวะ ฆ่าทุกคนที่นี่ เพื่อปกป้องตัวเอง หวังผูจึงเลือกที่จะร่วมมือกับข้า โดยให้ข้าสิงสถิต และสังหารคนเลวเหล่านี้”
ซูอี้ร้องอ้อขึ้นมาทีหนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้อธิบายใหม่อีกครั้ง หากว่ายังไม่พูดความจริงอีก ข้ารับรองได้ว่า เจ้าจะต้องตายอย่างน่าสมเพช!”
วิญญาณอาสัญใดก็ตามที่มีปัญญา ถึงแม้ตอนมีชีวิตจะอ่อนแอที่สุด แต่ก็ยังเป็นยอดคนจุติสรวง เหตุใดต้องยอมให้สิงสถิตด้วย?
เห็นได้ชัดว่ามันกำลังพูดโกหก!
หวังผูส่ายหน้าพลางกล่าว “ความจริงก็เป็นเช่นนี้ ถึงแม้ข้าจะเป็นวิญญาณอาสัญ แต่ค่อนข้างพิเศษ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ร่างวิญญาณของข้าถูกผนึกอยู่ใน ‘ศิลาเสริมชะตาสวรรค์’ มาโดยตลอด ยังไม่ถึงเวลาที่จะตื่นขึ้นบนโลก”
“แต่เมื่อหนึ่งปีก่อน โรงหลอมเทวะประสบเคราะห์หนัก เพื่อช่วยหวังผู ข้าจึงจำเป็นต้องตื่น ทลายด่านออกมาจากศิลาเสริมชะตาสวรรค์”
“ด้วยเหตุนี้ ข้ายังต้องสูญเสียอย่างแสนสาหัสอีกด้วย”
พูดจบ เขาก็ถอนใจหนัก
ซูอี้กล่าวอย่างใช้ความคิด “ศิลาเสริมชะตาสวรรค์? หรือว่าจะเป็นหินศิลาประหลาดที่เฝ้าอารักขาอยู่นอกประตูใหญ่ของโรงหลอมเทวะก้อนนั้น?”
หวังผูพยักหน้าพลางกล่าว “ไม่ผิด”
ซูอี้จึงเข้าใจได้ในทันใด
เมื่อนานมากแล้วว่ากันว่าไม่มีใครสามารถเคลื่อนย้ายหินศิลาก้อนนั้นได้ มันดึงดูดสายตาคนในใต้หล้า ไม่รู้ว่ามีราชันแห่งภูมิมากมายเท่าใดมาทดลองเคลื่อนย้าย แต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้กลับไป
ในตอนนั้นมีเพียงทัศนาจารย์เพียงคนเดียวที่สามารถทำลายสถิตินี้ และสามารถเคลื่อนย้ายหินศิลาก้อนนี้ได้อย่างง่ายดาย
แต่ซูอี้ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าภายในหินศิลาซึ่งมีที่มาลึกลับซับซ้อนก้อนนั้น ที่แท้แล้วยังผนึกวิญญาณอาสัญที่รอดชีวิตมาได้จากยุคสิ้นกฎเกณฑ์!
อีกทั้งวิญญาณอาสัญตนนี้ไม่เพียงแต่สิงสถิตหวังผูเท่านั้น ทั้งยังฆ่าผู้แข็งแกร่งของตระกูลโจวจากตระกูลโบราณอารักษ์วิถีเหล่านั้นอีกด้วย!
เมื่อลองคิดแล้ว ซูอี้ก็กล่าวขึ้นว่า “เจ้าจงออกจากร่างของหวังผู ให้ข้าตรวจสอบดู ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าที่เจ้ากล่าวมานั้นโกหกหรือไม่”
หวังผูขมวดคิ้วพลางกล่าว “หากว่าข้าออกไปแล้ว มีแต่จะสูญเสียหนักยิ่งขึ้น สหายเต๋าทำเช่นนี้ ทำให้ข้าต้องลำบากใจ”
“ข้าจะช่วยเจ้า”
ว่าแล้ว ซูอี้ก็เดินไปหา
ดวงตาของหวังผูผุดประกายโกรธเกรี้ยวขณะกล่าวขึ้นมาว่า “ข้ายอมอ่อนข้อให้มากพอแล้ว แต่เจ้ากลับ…”
ยังไม่ทันพูดจบ พลังดาบอันเรืองรองแสบตาก็ฟันลงมา
พลังของวัฏสงสารเปรียบได้กับคลื่นทะเลอันยิ่งใหญ่ จากนั้นพลังดาบนั้นก็ถาโถมครอบงำตัวหวังผู
“ฮ่า ๆๆ ในเมื่อเจ้ารนหาที่! ถ้าเช่นนั้น… ข้าก็จะให้เจ้าได้ลิ้มลองสักหน่อยว่ารสชาติการถูกสิงสถิตนั้นมันทรมานมากเพียงใด!”
หวังผูเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง ในสายตาผุดประกายความโหดเหี้ยมอำมหิต
ครืน!
ร่างของเขาระเบิดแสงทิพย์สีเขียวอันเจิดจรัส จากนั้นก็หายลับไปอย่างไร้ร่องรอย
ครู่ถัดมา เขาก็ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าซูอี้
จิตดั้งเดิมสีเขียวของแสงเซียนที่ดุดันผุดออกจากร่างของหวังผู เพียงแค่ชั่วครู่เดียวก็พุ่งเข้าไปในจิตวิญญาณของซูอี้ราวกับลำแสงลำหนึ่ง
ร่างของหวังผูทรุดฮวบลงกับพื้น
“เจ้าหนุ่ม หากคิดจะสู้กับข้า เจ้ายังอ่อนหัดอยู่มาก!”
“ประเดี๋ยวข้าสิงสถิตเจ้าเสร็จ ก็สามารถควบคุมวัฏสงสารได้ สามารถคำสาปในร่าง และนับจากนี้ไป วิญญาณอาสัญทั้งหมดในโลกจะต้องอยู่ใต้ฝ่าเท้าของข้า!”
“ส่วนเจ้า…ฮ่า ๆๆ เพียงแค่โชคชะตาที่ส่งมาให้ถึงที่ก็เท่านั้น คิดว่าข้ากลัวเจ้าจริง ๆ หรือ?”
“แม้กระทั่งสวรรค์ก็ยังต้องเกรงใจข้า ส่งเจ้าให้มาหาข้าถึงที่ เช่นนี้สิจึงเรียกว่าฟ้าลิขิต!”
“บุญพาวาสนาส่งแท้ ๆ!!”
เสียงหัวเราะชอบใจอย่างแรงดังก้องอยู่ในห้วงความนึกคิดของซูอี้
………………..