บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1334: วิถีจุติสรวงคืนโลกา
ตอนที่ 1334: วิถีจุติสรวงคืนโลกา
สิบวันถัดมา
เตาหมื่นเลิศล้ำกู่คำราม แสงศักดิ์สิทธิ์เจิดจ้าเยี่ยงเปลวเพลิง สาดส่องสว่างไสวในโถง
ภายในเตามีกลุ่มแสงนับร้อยวูบไหว
กลุ่มแสงแต่ละกลุ่มมีสีสันแตกต่างกัน เจิดจ้าจรัสแสงดุจกลุ่มตะวันเล็กจ้อยประชันโฉม
กลุ่มแสงทั้งหลายจัดเรียงอัศจรรย์พิเศษเฉพาะ ล้อมกลุ่มแสงโกลาหลกลุ่มหนึ่งไว้ตรงกลาง
มันคือกลุ่มแสงอันแปรเปลี่ยนจากการหลอมดาบแห่งโลกา!
กลุ่มแสงอื่น ๆ นั้นประกอบด้วยเถาวัลย์มารดาฟ้าดิน โครงดาบคลื่นดารา ตราประทับบรรพตทักษิณและวัตถุดิบสมบัติจุติสรวงต่าง ๆ นับร้อยชนิด
ตรงหน้าเตาหมื่นเลิศล้ำ ซูอี้ผ่อนหายใจยาว รู้สึกเพียงความเหนื่อยล้า
สิบวัน
เขาไม่ได้หลับนอนพักผ่อน ทุ่มเทหัวใจใช้เคล็ดตีดาบสิบสองบทเป็นตัวนำหลอมวัตถุดิบทั้งหลายอันต้องใช้ในการตีดาบ
กลุ่มแสงเหล่านั้นดูเรียบง่าย ทว่าพวกมันสลักประกาศิตลึกลับ ค่ายกล ลวดลายและอักขระต่าง ๆ ไว้เต็มไปหมด
ซับซ้อนหนาแน่น
แม้พลังจิตวิญญาณและการฝึกฝนของซูอี้จะร้ายกาจเทียบได้กับตัวตนขอบเขตจิตทารกขั้นต้น ทว่าเขาในครานี้ก็ยังแสนล้าทั้งภายในและภายนอก
และนั่นเป็นเพียงขั้นตอนแรก!
ต่อมาคือจุดสำคัญของการตีดาบ ทุกขั้นตอนมิอาจเลินเล่อ
ซูอี้หยุดการเคลื่อนไหวมือ นำโอสถทิพย์ออกมากลืนพักผ่อน
จนสามวันถัดมา เมื่อเขาฟื้นกายถึงจุดสมบูรณ์พร้อม เขาจึงลุกขึ้นออกจากโถง
วันเดียวกันนั้น ซูอี้ใช้ธงค่ายกลสำริดสี่ผืนเป็นฐาน สร้างค่ายกลขึ้นที่ทางเข้าถ้ำลับใต้ดินนี้
ธงค่ายกลทั้งสี่คือสินสงครามจากสตรีในชุดกระโปรงสีทับทิบจากพรรคเซียนเร้นราตรี มันสามารถสร้างค่ายกลสังหารในขอบเขตจุติสรวงนาม ‘ค่ายกลโลกาถล่มภูผาฝังสมุทร’ ได้
ไม่จำเป็นต้องเรียกใช้ เพียงร่างค่ายกล พลังของมันก็เพียงพอจัดการกับผู้ฝึกตนจุติสรวงในขอบเขตจิตทารกได้!
และในวันเดียวกันนั้น ซูอี้ก็เริ่มตีดาบ!
……
กาลเวลาผ่านไป
ครึ่งเดือนเคลื่อนผ่านนับแต่ซูอี้เข้าสู่โรงหลอมเซียน
ในระหว่างนี้ โลกหล้าปั่นป่วน เหตุชวนระทึกใจปรากฏขึ้นติด ๆ กัน
ในดินแดนต้องห้ามอันตรายบางแห่งทั่วจักรวาลพร่างดาว วิญญาณอาสัญกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าปรากฏกาย ทั้งผู้ฝึกตนปีศาจ ผู้ฝึกตนมาร ผู้ฝึกดาบ ผู้ฝึกฌาน… พวกเขาเริ่มออกมามีบทบาท ปรากฏสู่โลกหล้าผู้ฝึกตน!
เบื้องหลังวิญญาณอาสัญเหล่านี้ล้วนแต่มีกลุ่มเต๋าแห่งโบราณกาลหนุนหลังทั้งสิ้น
ตัวตนบรรพกาลบางผู้ตัดสินใจร่วมมือกับกลุ่มเต๋าปัจจุบัน แพร่ขอบเขตอิทธิพลของตนและเรียกรับศิษย์จากโลกภายนอก
ตัวตนบรรพกาลบางผู้ยึดครองแดนศักดิ์สิทธิ์เขาลือนามบางแห่งทันที ประกาศการกลับมาของตน และเริ่มรับศิษย์เช่นกัน
“ในที่สุดยุคใหม่ก็มาถึง! วิถีจุติสรวงคืนโลกา หากกราบอาจารย์ฝึกฝนใต้พวกเขา ไฉนต้องกังวลในภายหน้าว่าจะมิอาจเข้าสู่วิถีจุติสรวงด้วย?”
“ครรลองแห่งกาลก่อนเป็นอารามโงนเงนใกล้ถล่ม โลกหล้าบังเกิดยุคใหม่ในสมัยข้าทั้งที ไฉนเล่าจึงมิใช่ยุคทองแห่งข้า?”
“กลุ่มเต๋าวิถีจุติสรวงซึ่งห่างหายแสนนานต่างหากที่จะได้ครองโลกาในภายหน้า!”
ทั่วจักรวาลพร่างดาวระอุเซ็งแซ่ ไม่อาจทราบได้ว่ามีผู้ฝึกตนมากมายเพียงไรคลั่งไปกับมัน ต่อให้ร่างแหลก พวกเขาก็ต้องกราบกลุ่มเต๋าเหล่านี้เป็นอาจารย์ให้จงได้
กระทั่งขุมกำลังมากมายในโลกหล้ายังเริ่มค้นหาโอกาส หวังว่าคนของพวกเขาจะได้รับการคุ้มครองจากผู้ฝึกตนโบราณเหล่านี้
“อนิจจา วิญญาณอาสัญเหล่านั้นล้วนแต่เป็นตัวตนร้ายกาจอันเหลือรอดจากโบราณกาล และเมื่อยามนี้พวกเขาขยายอาณาเขตออกรับศิษย์ ก็คาดการณ์ได้ว่าโลกหล้าจะวุ่นวายเป็นแน่แท้!”
“กฎระเบียบเดิมกำลังพังทลาย ระเบียบใหม่ยังไม่ทันก่อ ในชั่วกาลอลหม่านนี้ พายุโลหิตคงไม่อาจเลี่ยงได้!”
มีผู้เฒ่ามากมายเป็นกังวล คิดว่าการปรากฏของกลุ่มเต๋าโบราณจะนำมาซึ่งการนองเลือดฆ่าฟันนับไม่ถ้วนในโลกหล้า
ทว่า ไม่ว่าจะยอมรับหรือต่อต้าน ทุกผู้ล้วนรู้ว่ายุคใหม่กำลังมาถึงอย่างไวว่อง!
โลกหล้าในภายหน้าจะเข้าสู่กลียุคดุจกลุ่มวีรชนต้อนกวางเป็นแน่แท้!
เทียบกับความโกลาหลในโลกหล้าแล้ว หกตระกูลโบราณอารักษ์วิถีและยักษ์ใหญ่แห่งจักรวาลพร่างดาวทั้งหลายนั้นสุขุมเยือกเย็นกว่ามาก หาได้ลนลานหัวปั่นกับเรื่องนี้ไม่
อันที่จริง ขุมกำลังสูงสุดแห่งโลกหล้าเหล่านี้ได้เตรียมการรอกลียุคนี้อยู่หลายปีแล้ว
พวกเขายังคาดไว้ว่าเรื่องทั้งหมดจะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว จึงมิระส่ำระสายสับสนด้วยเหตุนี้!
และในครึ่งเดือนผ่านมา ข่าวหนึ่งปรากฏขึ้นดึงความสนใจทุกผู้ แพร่ไปทั่วจักรวาลพร่างดาว…
ตระกูลจงโบราณอารักษ์วิถีประกาศว่าตัวตนบรรพกาลของตระกูลพวกเขา ‘จงเทียนเฉวียน’ ได้ก้าวสู่วิถีจุติสรวงและหวนคืนจากเขตหวงห้ามเซียนละล่องแล้ว!
ข่าวนี้สะเทือนทั่วโลกหล้าในฉับพลัน ไม่อาจทราบได้ว่ามีขุมกำลังหลักมากมายเพียงไรจับตามอง
“หรือนี่จะหมายความว่าตัวตนบรรพกาลตระกูลจงจะเป็นตัวตนแรกผู้ก้าวสู่วิถีจุติสรวงตลอดกาลนาน?”
บางผู้ตัวสั่น
แม้โลกหล้าจะรู้นานแล้วว่าวิญญาณอาสัญผู้ทรงปัญญาล้วนแต่เป็นตัวตนร้ายกาจในวิถีจุติสรวงก่อนตาย
และข่าวการก้าวสู่วิถีจุติสรวงของจงเทียนเฉวียนจะแพร่ไปทั่วจักรวาลพร่างดาวได้สักพักแล้วก็ตามที
แต่ถึงอย่างไร จงเทียนเฉวียนก็ยังไม่ได้กลับมาจากเขตหวงห้ามเซียนละล่องอยู่ดี
ทว่าบัดนี้ จงเทียนเฉวียนกลับมาแล้ว!
การกลับมาของเขาเป็นเช่นโหมโรงแห่งศักราชใหม่ ซึ่งหมายความว่ามีคนในโลกหล้าก้าวสู่วิถีจุติสรวงซึ่งห่างหายแสนนานได้สำเร็จ!
ใครเล่าจะมิตกใจตัวสั่น?
“ผู้อาวุโสจงเทียนเฉวียนอาจไม่ใช่คนแรกในโลกหล้าที่ก้าวสู่วิถีจุติสรวง แต่เขาคือยอดคนจุติสรวงคนแรกซึ่งเป็นที่รู้จักทั่วโลกหล้าในกาลนี้!”
“คาดการณ์ได้เลยว่ายอดคนจุติสรวงแห่งกาลปัจจุบันจะถือกำเนิดขึ้นตาม ๆ กัน!”
“มรดกแห่งตระกูลโบราณอารักษ์วิถีนั้นทรงพลังเกินคาดหยั่งจริงแท้…”
เสียงหารือเช่นนี้ดังไปทั่วทุกแขนงแห่งจักรวาลพร่างดาว
เฉกเช่นกัน ชั่วขณะนี้ ซูอี้ก็กลายเป็นหนึ่งในประเด็นสนทนาสำคัญทั่วจักรวาลพร่างดาวด้วย
เหตุผลนั้นแสนง่าย วิญญาณอาสัญจากกลุ่มเต๋าโบราณอาจจะสามารถทะยานเหนือโลกหล้า อยู่บนจุดสูงสุดแห่งวิถีได้
ทว่าซูอี้ผู้ควบคุมพลังแห่งวัฏสงสารเป็นศัตรูทางธรรมชาติของพวกเขา!
เรื่องนี้แน่นอนตายตัว ซูอี้จะกลายเป็นศัตรูร่วมของเหล่าตัวตนแห่งโบราณกาลแน่!
“สำหรับทัศนาจารย์ ยามเผชิญกลุ่มเต๋าโบราณเหล่านั้นก็เหลือเพียงสองทาง ไม่ยอมแพ้ก็ตาย!”
บางผู้รำพึง
“ถูกต้อง ไม่ว่าทัศนาจารย์จะแข็งแกร่งจนสามารถฆ่าวิญญาณอาสัญขอบเขตจิตทารกได้ แต่เมื่อกาลผ่าน ก็ย่อมมิแคล้วมีวิญญาณอาสัญซึ่งแข็งแกร่งกว่าปรากฏขึ้น ทัศนาจารย์ผู้เดียวจะต้านไหวเช่นไร?”
บางผู้วิเคราะห์อย่างเยือกเย็น “อย่าว่าแต่ตระกูลโบราณอารักษ์วิถีและยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ ในจักรวาลพร่างดาวเลย ผู้ที่เป็นปรปักษ์กับทัศนาจารย์มีมากมายไม่ขาด!”
“ข้าว่านะ หากทัศนาจารย์ต้านไม่ไหว… บางทีอาจเป็นจุดจบที่แท้จริงแห่งยุคเก่าก็เป็นได้”
ทว่าไม่นานนักก็มีผู้แย้งมุมมองของเขามากมาย
“ผิดแล้ว! ทัศนาจารย์เวียนวัฏไปนานเพียงไรกัน? อย่าลืมว่าเมื่อไม่กี่ปีก่อนที่ภูมิดาราฟ้าดิน ทัศนาจารย์ยังเป็นผู้ฝึกตนในขอบเขตจักรพรรดิอยู่เลยนะ!”
“และวันนี้ ผ่านไปไม่กี่ปี ทัศนาจารย์ก็เป็นราชันแห่งภูมิในขอบเขตคืนสู่สามัญแล้ว! วิถีเต๋าของเขาเหนือล้ำกว่าอดีตชาติไปไกล กระทั่งวิญญาณอาสัญขอบเขตจิตทารกเหล่านั้นยังไม่ใช่คู่ประลองของเขาเลย หากให้เวลาทัศนาจารย์มากกว่านี้ มีหรือภายหน้าเขาจะเข้าสู่ขอบเขตอันสูงกว่ามิได้? ไฉนต้องกลัวกลุ่มเต๋าโบราณเหล่านั้นด้วย?”
“ข้าว่านะ ภายหน้า ผู้ที่จะปกครองโลกหล้าโกลาหลนี้ยังมิแน่ชัด!”
“ให้เวลาทัศนาจารย์มากกว่านี้หรือ? เฮอะ เจ้าคิดว่ากลุ่มเต๋าโบราณเหล่านั้นจะยอมให้ทัศนาจารย์พัฒนาต่ออย่างรวดเร็วหรือไร?”
“คิดว่ายักษ์ใหญ่แห่งจักรวาลพร่างดาวและตระกูลโบราณอารักษ์วิถีเหล่านั้นจะทนมองทัศนาจารย์แข็งแกร่งขึ้นได้หรือ?”
“กล่าวง่าย ๆ ก็คือ ทัศนาจารย์ทุกวันนี้เป็นศัตรูกับทั่วโลกหล้าอยู่นานแล้ว! ยามเจ้าได้ข่าวทัศนาจารย์ตายตกก็อย่าได้ตกใจแล้วกัน เพราะหนึ่งบุคคลสู้ครรลองแห่งโลกามิได้อยู่แล้ว!”
…สารพัดข้อถกเถียงโต้แย้งปั่นป่วนทั่วโลกหล้า
ลึกเข้าไปในสมุทรมารไร้กำหนด
กระทั่งยมบาลยังได้ข่าวนี้จากปากของสุนัขพื้นเมืองนาม ‘ซิงเชวีย’ และอดเป็นกังวลไม่ได้ นางจึงขอคำชี้แนะจากปราชญ์หงอวิ๋น
“ผู้อาวุโส ท่านอาซูของข้า เขา…จะมิเป็นอันใดหรือไม่เจ้าคะ?”
ปราชญ์หงอวิ๋นกำลังถือกาน้ำชารดน้ำบุปผาอยู่ เมื่อได้ยินเช่นนั้นนางก็ตอบอย่างใจลอย “หากผู้ถือครองวัฏสงสารไม่คิดตาย ขอเพียงเขาไม่ถูกลิดอำนาจวัฏสงสารไป ตายไปก็เวียนวัฏใหม่ได้อยู่ดี ไฉนต้องกังวล?”
ยมบาลผงะไป ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ “ดูจะเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ”
อดีตชาติของซูอี้คือปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน และอดีตชาติของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินก็คือทัศนาจารย์
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาผู้ถือครองวัฏสงสารมิต้องกังวลเรื่องความตายจริง ๆ!
“ข้าล่ะหวังให้เจ้านั่นเพลี่ยงพล้ำจริง ๆ”
สุนัขพื้นเมืองซิงเชวียพึมพำ
มันมิชอบใจซูอี้อยู่นานแล้ว
รู้ทั้งรู้ว่ามันมิใช่สุนัขพื้นเมืองทั่วไป แต่มีเพียงซูอี้ที่ปฏิบัติต่อมันเยี่ยงสุนัขพื้นเมืองอย่างแท้จริง และลูบยีหัวของมันอย่างไร้ความเกรงใจ
รังแกสุนัขชัด ๆ!
ทันใดนั้น สุนัขพื้นเมืองก็ถามอย่างเพิ่งนึกได้ “เจ้านาย ท่านเซียนม่อชิงโฉวเชิญท่านเข้าร่วมเทศกาลประชุมเซียน ท่านจะไปหรือไม่ขอรับ?”
ปราชญ์หงอวิ๋นสนใจแต่เรื่องตน รดน้ำบุปผาราวไม่ได้ยิน
สุนัขพื้นเมืองทราบทันทีว่านายมันหาสนใจเทศกาลประชุมเซียนนี้ไม่ จึงไม่ได้ถามออกมาอีก
……
วัดสรรพสุญตา
“ไฉนพวกเขาเอาแค่หมายหัวนายน้อยของข้า โลกหล้าเป็นอันใดไปหมด?”
เว่ยซานกังวลเล็กน้อย
หลวงจีนคงจ้าวฉีกยิ้มกว้าง “อย่าห่วงไป สหายทัศนาจารย์ของข้าหาเหลาะแหละไม่ ยิ่งมิต้องพูดถึงเรื่องที่บรรพชนข้าและผู้อาวุโสชิงซื่อหนุนหลังอยู่ เจ้าจะยังกลัวอันใด?”
เซียนดาบชิงซื่อและดาบพุทธะสรรพสุญตาซึ่งอยู่ห่างออกไปมองหน้ากัน มุมปากกระตุกอย่างช่วยมิได้
ใช่แล้ว พวกเขาถูกเจ้าคงจ้าวยกมาเป็นหัวโขน!
……
ซูอี้ผู้กำลังตีดาบหารู้เรื่องภายนอกไม่
กาลเวลาเปลี่ยนผัน ผ่านไปอีกครึ่งเดือน
วันนี้เอง
จู่ ๆ ผู้คนในเมืองชลาสินธุก็ได้ยินวจีดาบประหลาดซึ่งดูจะมาจากแสนไกลสุดขอบสรวง สะท้อนกังวานทั่วท้องนภา
ขณะนั้น หัวใจทุกผู้ในเมืองล้วนระส่ำระสายสั่นคลอน ไม่ว่าการฝึกฝนจะสูงต่ำเพียงใด อยู่ ณ หนใด ทำอันใดอยู่ พวกเขาล้วนหยุดการกระทำและเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าโดยเผลอตัวพร้อมเพรียง
พวกเขาต่างเห็นว่ามีเมฆสายฟ้าสีครามทองปรากฏขึ้นเหนือนภาแต่ยามใดมิอาจทราบ ยามแรกมันปกคลุมเพียงในอาณาเขตสิบลี้ แต่เมื่อกาลผ่าน เมฆสายฟ้าครามทองก็ขยายขนาดกว้างใหญ่หนาทึบขึ้น
เพลิงสายฟ้าหลั่งรินในเมฆา
ปราณทำลายล้างน่าสะพรึงกลัวแพร่ออกทั่วฟ้าดิน ปกคลุมทั่วนภาเหนือเมืองชลาสินธุ
และในถ้ำใต้ดิน ซูอี้ก็ถึงช่วงเวลาสำคัญที่สุดแห่งการตีดาบ
สำเร็จหรือล้มเหลว วัดกัน ณ ยามนี้!