บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1335: ภาพนิมิตสะท้านภพ
ตอนที่ 1335: ภาพนิมิตสะท้านภพ
เตาหมื่นเลิศล้ำคำรามก้อง เพลิงแสงเดือดพล่านเยี่ยงคลื่นหนาหนัก
เพลิงวิถีเก้ากระจ่างสว่างไสวลุกโชนถึงที่สุด
ในเตาเหลือเพียงกลุ่มแสงตระการสีขนาดราวชามกลุ่มเดียวปรากฏอย่างคลุมเครือ ดูเยี่ยงตะวันแรกฉาย
ลวดลายวิถีลี้ลับเกินประมาณนับไม่ถ้วนวูบไหวรอบ ๆ กลุ่มแสงราวผีเสื้อโผระบำ วจีวิถีเคร่งขรึมดังออกมาจากกลุ่มแสงเป็นจังหวะเฉพาะ
ช่างแสนประหลาด
มันดูราวหลอมรวมวาสนาสุดขั้วทั่วแดนหล้า ปกคลุมด้วยจิตวิญญาณอันมิอาจพรรณนา
ราวกลุ่มแสงเหล่านี้จะก่อเกิดชีวิตได้ทุกเมื่อ
ซูอี้นั่งขัดสมาธิอยู่หน้าเตา สีหน้าเยือกเย็นตั้งใจ สิบนิ้วแปรผันรวดเร็ว ควบคุมเพลิงวิถีเก้ากระจ่างและเตาหมื่นเลิศล้ำหลอมโครงดาบที่ถูกหล่อหลอมโดยต่อเนื่อง!
“เคล็ดตีดาบสิบสองบท สมบัติดุจสวรรค์สร้าง วิถีบุคคลสอดคล้อง”
“ยามนี้ แค่ตีโครงดาบยังสร้างเป็นนิมิต หากไร้อุบัติเหตุอื่นใด เกรงว่าผู้คนจากเมืองชลาสินธุคงหันมาสนใจที่นี่กันหมดแล้ว”
ซูอี้ขมวดคิ้วน้อย ๆ
ด้วยความแข็งแกร่งของจิตสัมผัสของเขา ทำให้ซูอี้ตระหนักทันทีว่าขณะตีดาบเล่มนี้ เขาได้กระตุ้นให้เกิดนิมิตทั่วฟ้าดินเกินคาดหมาย
มีเมฆสายฟ้าสีครามทองปรากฏเหนือนภา ส่องประกายเพลิงอสนีแปลบปลาบทั่วทศทิศ!
และนั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น
ด้วยกาลผ่าน นิมิตใต้ท้องนภาก็แปรเปลี่ยนอย่างน่าตกใจ
นี่เป็นสิ่งที่ซูอี้มิได้คาดหมายไว้เลย
ต้องทราบว่ายามทัศนาจารย์ตีดาบแห่งโลกา เขาหาสร้างปาฏิหาริย์น่าประหลาดใจทั่วฟ้าดินเช่นนี้ไม่
ซูอี้ไร้ช่วงกาลให้ครุ่นคิดเรื่องนี้
การตีดาบมาถึงช่วงเวลาสำคัญ หากไขว้เขวเลินเล่อแม้สักนิด ความสำเร็จก่อนหน้านี้จะมอดมลายสิ้น
“ไป!”
ซูอี้สะบัดแขนเสื้อโยนวัตถุดิบศักดิ์สิทธิ์ที่เหลือลงสู่เตาหมื่นเลิศล้ำ
จากนั้น ด้วยนิ้วมือกวาดวาด โลหิตขั้วหัวใจหนึ่งหยดก็ปรากฏขึ้น ซูอี้ใช้นิ้วแทนพู่กันวาดโลหิตเยี่ยงหมึก วาดลวดลายขึ้นบนอากาศอย่างรวดเร็ว
ครู่ต่อมา ลวดลายประกาศิตลึกลับก็ปรากฏขึ้นบนอากาศ ดูราวฮุ่นตุ้นแรกกำเนิด มอบความรู้สึกอันมิอาจจับต้อง เกินบรรยายใด ๆ
ประกาศิตฤทัยแปรเทพ!
หนึ่งในสามมหาประกาศิต ‘จารึกวิญญาณ’ ซึ่งถูกบันทึกในเคล็ดตีดาบสิบสองบท
ฤทัยก็คือหัวใจ
แปรเทพ แปรเปลี่ยนเคล็ดแห่งธรรมชาติอันศักดิ์สิทธิ์
แก่นกลางความลึกลับของประกาศิตนี้อยู่ที่การรวบรวมพลังงานและจิตวิญญาณแห่งหนึ่งบุคคลเข้ากับโลหิตขั้วหัวใจ วาดเป็นลวดลายธรรมชาติอันศักดิ์สิทธิ์ดุจสวรรค์สร้างซึ่งจะกลายไปเป็นแก่นพลังที่มาของโครงดาบ เมื่อดาบถูกตีขึ้น มันจะเหมาะสมกับสภาพจิตใจและวิถีเต๋าของคนผู้นั้นที่สุด
หลังวาดประกาศิตเสร็จ ความเหนื่อยล้าก็ปรากฏบนสีหน้าของซูอี้อย่างช่วยไม่ได้
เพียงประกาศิตนิดหน่อยกลับดูดซับพลังจิตวิญญาณของเขาไปเสียแทบหมด ช่างน่ากลัวจริง ๆ!
ซูอี้สูดหายใจลึก ๆ นิ้วของซูอี้ก็เคลื่อนไปบนอากาศขณะตะโกนบริกรรม
“สวรรค์บังเกิดวิญญาณ ข้าบรรจุวิญญาณ สรรค์สร้างแปรเปลี่ยน พิสูจน์ฤทัย!”
ด้วยวจีวิถีคำรามก้อง ประกาศิตฤทัยแปรเทพก็แปรเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งเข้าไปยังเตาหมื่นเลิศล้ำ
โครงดาบคลื่นดาราขยายขนาดอย่างบ้าคลั่ง ส่งวจีเกินเข้าใจเป็นจังหวะราวได้รับหัวใจเพิ่มขึ้นมาอีกดวง
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
ทุกท่วงทำนองเหมือนเช่นกลองใหญ่ในมือเทพสวรรค์ ส่งผลให้เตาหมื่นเลิศล้ำสะท้านสะเทือน เพลิงวิถีเก้ากระจ่างระริกรุนแรงตามจังหวะ
ทั้งโถงอัดแน่นไปด้วยอำนาจดาบร้ายกาจ
ซากศพและสิ่งตกแต่งกระจัดกระจายทั่วโถงล้วนพังทลาย กระทั่งอำนาจค่ายกลบนผนังสี่ทิศยังสะท้านสะเทือนร้ายกาจราวมิอาจรับพลังกฎเกณฑ์จากโครงดาบนี้ได้
สิ่งที่เกินความคาดหมายของซูอี้ก็คือ กระทั่งเตาหมื่นเลิศล้ำยังกระฉอกสะเทือนสั่นไหว ราวเป็นสัญญาณว่ามิอาจทานทนได้ต่อ!
“นี่…”
หัวใจของซูอี้รัดตัวแน่น
นี่หาใช่ข้อผิดพลาดระหว่างตีดาบไม่ แต่โครงดาบที่ใช้นี้ดีเกินไป ก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนเป็นดาบวิถีไปจริง ๆ พลังของมันก็แปรเปลี่ยนไปอย่างสะท้านโลกาเสียแล้ว เตาหมื่นเลิศล้ำซึ่งก็เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ฮุ่นตุ้นกำลังจะสู้พลังของมันมิไหว!
“ข้าเลินเล่อไป นี่คงเกินกว่าที่มันจะรับไหว”
รอยยิ้มแห้ง ๆ ปรากฏบนใบหน้าของซูอี้
เขาหมายมั่นจะสร้างดาบอันภาคภูมิสูงสุดในโลกา แต่ใครเล่าจะคิดว่าแค่หลอมโครงดาบยังเผยอำนาจอหังการเพียงนี้
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เตาหมื่นเลิศล้ำและเพลิงวิถีเก้ากระจ่างจะถูกมันทำลาย!
ทว่า หากหยุดเพียงเท่านี้ ความสำเร็จตลอดมาของเขาก็จะเสียเปล่า
เมื่อขึ้นขี่หลังพยัคฆ์ จะลงนั้นแสนยาก
ตุ้บ! ตุ้บ! ตุ้บ!
จังหวะทำนองจากโครงดาบฟังดูน่าหวาดหวั่นมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เตาหมื่นเลิศล้ำสะเทือนไหวรุนแรง มีกระทั่งสัญญาณใกล้หลุดการควบคุม
ซูอี้ไม่กล้าคิดไปมากกว่านี้ เขากัดฟันทุ่มเททั้งกายใจให้กับการกระทำนี้
……
ขณะเดียวกัน ณ โลกภายนอก
เมฆสายฟ้าสีครามทองแผ่ขยายใต้ท้องนภา อสนีบาตคร่ำครวญสะท้อนทั่วทศทิศ
นิมิตชวนตะลึงปรากฏขึ้นต่าง ๆ นานาบนเมฆา
ทั่วหล้าจรัสแสงโปรยปรายเยี่ยงพิรุณ ท้องฟ้าดูราวใกล้ถล่ม ตะวันจันทราและดวงดาราล้วนอับแสง ฟ้าดินราวถูกหยุดกาลกับที่…
นาน ๆ หนจะบังเกิดเสียงบริกรรมโบราณกึกก้องดุจเสียงสวรรค์ สะท้านลึกถึงหัวใจผู้ฟัง
ภาพนั้นประหลาดเกินไป ทำให้เกิดเสียงเซ็งแซ่ไปทั่วเมืองชลาสินธุ
“กำลังจะมีสมบัติบางอย่างออกมาหรือ?”
บางผู้อุทาน
ผู้เฒ่าอันเจนจัดบางผู้ต่างออกจากที่พำนัก ดวงตามองไกลไปยังจุดที่ตั้งของโรงหลอมเทวะ
ที่มาแห่งนิมิตมาจากที่นั่น!
“โรงหลอมเทวะ… หรือผู้สูงส่งลึกลับผู้นั้นจะขอให้ใต้เท้าหวังผูสร้างสมบัติเลิศวิถีใด?”
บางผู้กล่าวกับตนเอง
เมื่อปีก่อนมีนิมิตสะท้านภพปรากฏขึ้นในโรงหลอมเทวะ ดึงความสนใจจากทุกผู้ทั่วสารทิศ
ไม่นานนัก ตัวตนปริศนาผู้หนึ่งก็เข้าไปในโรงหลอมเทวะ และจากนั้นมา โรงหลอมเทวะก็ปิดตัวลง
และปีต่อมา นิมิตอันสะเทือนทั่วฟ้าดินนี้ก็อุบัติ ทำให้คนอื่นที่ได้ประจักษ์ย่อมคิดเช่นนี้
“เมฆสายฟ้าปกคลุมทั่วบริเวณแปดพันจั้ง นิมิตเปี่ยมด้วยโชคมงคล อาวุธวิเศษเลิศล้ำใดกันที่ดึงนิมิตหายากเช่นนี้มาได้?”
“ข้าได้ยินว่าเมื่อเดือนก่อน มีชายหนุ่มผู้หนึ่งบุกเข้าไปในโรงหลอมเทวะ ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวพันกับเขาหรือไม่”
มีกลุ่มผู้ฝึกตนซึ่งสงวนปราณเก็บตัวเงียบได้มารอในละแวกโรงหลอมเทวะหลายวันแล้ว
ผู้ฝึกตนกลุ่มนี้มีทั้งชายหญิง แต่งกายหรูหรางดงาม แม้จะสงวนปราณอยู่เฉยก็ยังให้ความรู้สึกเปี่ยมพลังอันมิอาจมองเห็น
โดยเฉพาะชายชุดม่วงซึ่งเป็นผู้นำ เขาพิเศษที่สุด
เส้นผมขาวเยี่ยงหิมะทิ้งตัวระเอว ดวงตาเจิดจรัสเยี่ยงดวงดาว ใบหน้าดูหล่อเหลาเยี่ยงชายหนุ่ม ทว่ากลับให้ความรู้สึกเจนจัดผ่านกาลเวลาเนิ่นนาน
“ดูจากนิมิตเช่นนี้ หากสมบัตินี้ออกมาจริง ๆ มันจะต้องเป็นสมบัติจุติสรวงอันแสนเลิศล้ำเป็นแน่แท้!”
ชายชุดม่วงกระซิบ สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนซับซ้อน
“วิญญาณอาสัญที่ซ่อนในศิลาประหลาดนั่นต้องเป็นผู้หล่อหลอมสมบัตินี้แน่!”
ข้างกายเขา ชายชราผมขาวผู้หนึ่งกล่าวอย่างมาดร้าย
พวกเขามาจากสกุลโจว ตระกูลโบราณอารักษ์วิถี
เมื่อไม่นานมานี้ พวกเขาได้รับรู้ว่ามีใครบางคนบุกเข้าไปในโรงหลอมเทวะ และหลังสืบเรื่องเล็กน้อย พวกเขาก็ทราบว่ายอดฝีมือในตระกูลพวกเขาซึ่งเข้าไปในโรงหลอมเทวะเมื่อปีก่อนน่าจะตายกันหมดแล้ว!
หากไม่ใช่เพราะชายชุดม่วงรั้งไว้ พวกตนคงได้บุกเข้าไปใน อุโมงค์ลึกลับใต้ดินกันแล้ว!
ในใจพวกเขาถือว่าตัวการคือหวังอวิ๋นเฮ่อผู้ตื่นขึ้นจากในศิลาเสริมชะตาสวรรค์โดยมิรู้ตน
“ผู้ที่กล้าฆ่าคนสกุลโจวของเรา ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด หนนี้มีปัญหาแน่!”
น้ำเสียงของชายชุดม่วงนั้นราบเรียบเย็นชา
นามของเขาคือโจวเทียนหลี่ ตัวตนบรรพกาลในขอบเขตไร้ขีดจำกัดขั้นสมบูรณ์ของตระกูลโจวโบราณ
สองสามปีมานี้ ทางตระกูลได้เตรียมทรัพยากรให้เขาทะลวงสู่วิถีจุติสรวง จึงไม่แปลกที่เขาจะข้ามขอบเขตทันทีที่วิถีจุติสรวงปรากฏสู่โลกหล้าอย่างสมบูรณ์!
“ถูกต้อง ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นวิญญาณอาสัญผู้รอดชีวิตจากยุคสิ้นกฎเกณฑ์ เขาก็ยังต้องชดใช้!”
ชายชราชุดขาวกล่าวเสียงลุ่มลึก
ตระกูลโจวของพวกเขาถือตนเป็น ‘ทายาทมาร’ มาหลายพันปี มีอำนาจเพียงพอสั่นสะท้านทั่วจักรวาลพร่างดาว
หนนี้ พวกเขาไม่เพียงส่งกลุ่มยอดฝีมือสูงสุดมาเท่านั้น ซ้ำยังมีวิญญาณอาสัญหกตนในขอบเขตจิตทารกลอบตามมาด้วย!
วิญญาณอาสัญทั้งหกนั้นล้วนแต่มาจากกลุ่มเต๋าโบราณ ‘สุขาวดีจรทักษิณ’!
นี่คือขุมกำลังวิถีมารผู้อยู่ในระดับสูงสุดแต่โบราณกาล สร้างเซียนผู้แข็งแกร่งสะเทือนโลกามานักต่อนัก รากฐานร้ายกาจน่าหวาดหวั่น
ตระกูลโจวโบราณของพวกเขาสานสัมพันธ์กับยอดฝีมือจาก ‘สุขาวดีจรทักษิณ’ และตกลงร่วมพันธมิตรกันมาตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อน!
อันที่จริง เบื้องหลังหกตระกูลโบราณอารักษ์วิถีทุกวันนี้ล้วนกลุ่มเต๋าโบราณอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น
เหมือนเช่นเผ่าภูตหลวนครามซึ่งมีหุบเขาเซียนหมื่นวิญญาณหนุนหลัง
เบื้องหลังตระกูลจงโบราณมีหอเซียนดาบมายา
เรื่องเช่นนี้มิได้หายากเย็นในจักรวาลพร่างดาวปัจจุบัน
“รอให้สมบัติเลิศล้ำอันนำมาซึ่งนิมิตแห่งฟ้าดินกำลังจะออกมา แล้วพวกเจ้าค่อยคิดลงมือ”
ทันใดนั้น เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
ชายวัยกลางคนสวมผ้าคลุมไหล่ ใบหน้าขาวกระจ่างพลันปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ
ดวงตาของเขาเฉิดฉายด้วยประกายสีครามเขียว รอบกายเรืองรองด้วยแสงปีศาจ
จู้ทง
วิญญาณอาสัญในขอบเขตจิตทารกจากกลุ่มเต๋าโบราณ ‘สุขาวดีจรทักษิณ’ ผู้มีความแข็งแกร่งในขอบเขตรวมวิถีก่อนสิ้นใจ ภูมิหลังร้ายกาจยิ่ง
เขาเองยังเป็นผู้นำคณะหกวิญญาณอาสัญติดตามตระกูลโจวโบราณมาในหนนี้ด้วย
“ผู้อาวุโส ท่านคิดว่าข้าควรใช้แผนใดดีขอรับ?”
โจวเทียนหลี่ผู้มีผมสีขาวในอาภรณ์ม่วงเอ่ยถาม
“ไม่ต้องคิดมากหรอก ไปทำลายค่ายกลนี้เป็นพอ”
จู้ทงกล่าวลอย ๆ “มีพวกข้าหกคนตั้งค่ายกวาดล้าง อีกฝ่ายก็ยากจากจรหนีแล้ว”
กล่าวถึงจุดนี้ เขาก็เงยหน้าขึ้นมองนิมิตประหลาดใต้ท้องนภาและกล่าวเตือน “จำไว้ว่าสมบัติสำคัญที่กำลังจะออกมานี้จะเป็นของข้า”
กล่าวจบ เขาก็นำยอดฝีมือตระกูลโจวทะยานสู่นภาอย่างไม่ลังเลอีก
ยามนี้ พวกเขาหาปิดบังพลังปราณไม่ อำนาจแต่ละคนกวาดทะยานเยี่ยงพายุ ดึงความสนใจจากสายตาหลายคู่ในเมืองได้ทันที
“นั่นมัน?”
“พวกผู้ทรงอำนาจจากตระกูลโจวโบราณนี่!”
“สวรรค์ พวกเขาพยายามชิงสมบัติอยู่หรือ?”
…เสียงอุทานดังระงม ไม่อาจทราบว่ามีผู้เปลี่ยนสีหน้ามากมายเพียงไร
ตระกูลโบราณอารักษ์วิถีสกุลโจวคือยักษ์ใหญ่กลุ่มหนึ่งซึ่งสามารถสะเทือนจักรวาลพร่างดาวได้เพียงกระทืบเท้า เป็นหนึ่งในขุมกำลังผู้ฝึกตนสูงสุดในโลกหล้า!
คำร่ำลือของขุมกำลังนี้ล้วนเกี่ยวกับการฆ่าฟันนองเลือด ทำให้ผู้คนครั่นคร้ามยามกล่าวถึง
ทว่าไม่มีผู้ใดคาดว่านิมิตอันเกิดจากโรงหลอมเทวะจะนำมาซึ่งความโลภของตระกูลโจวโบราณ!
………………..